สัมภาษณ์ บีบี – เอกนรี วชิรบรรจง สาวสวยลุคสุดเท่

สัมภาษณ์ บีบี – เอกนรี วชิรบรรจง สาวสวยลุคสุดเท่
     สาวสวยลุคสุดเท่และมาดมั่นตามแบบฉบับคนรุ่นใหม่คนนี้ เป็นอีกหนึ่งสาวที่น่าจับตามองในหลายๆ ด้าน ทั้งโปรดิวเซอร์กองถ่ายละครน้ำดี นางแบบและนักศึกษาด้านศิลปะที่ชื่นชอบการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ เรียกได้ว่าเธอมีความเป็นศิลปินอยู่ในสายเลือดเต็มเปี่ยม ถือเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นของผู้กำกับชั้นแนวหน้าอย่าง ออฟ – พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง และผู้จัดละคร แดง – ธัญญา โสภณ และตำแหน่งงานของเธอตอนนี้คือ Co – Producer แห่งบริษัท Act Art Generation        ล่าสุดเธอรับหน้าที่ Curator นำทีมเหล่า KOLS คนดัง ศิลปิน และนักคิดสร้างสรรค์หลากหลายวงการ ร่วมแคมเปญ กับ CPS Chaps ที่มีคอนเซ็ปต์ #WHATISYOURCPS ในส่วนของโปรเจ็กต์ Creativity เพื่อรวมพลังแสดงให้คนรุ่นใหม่และผู้คนในสังคมมองเห็นและสัมผัสถึงความหมายของคำว่า “ครีเอทีฟ” รวมไปถึงขั้นตอนและกระบวนการทางความคิดสร้างสรรค์ที่น่าสนใจ รวมไปถึงการแก้ปัญหายามเผชิญอุปสรรค ผ่านมุมมอง ประสบการณ์และการใช้ชีวิตในแบบที่แตกต่างอย่างสร้างสรรค์         “แรงบันดาลใจของบี เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกเมื่อ กับทุกคน บีว่ามันคือการได้สร้างสิ่งใหม่ๆ ความคิดที่นอกกรอบ เริ่มต้นจาก inspiration ถ้าเรามองให้มันเป็นสิ่งที่แปลกไปจากเดิม จากที่คนอื่นเคยตีความไว้ เราก็จะคิดนอกกรอบ อุปสรรคมีอยู่ทุกที่ มันทำให้เราโตขึ้น มันทำให้เราเรียนรู้มากขึ้น ถ้าเราเจอสิ่งเดิมๆ อุปสรรคเดิมๆ เราก็จะก้าวข้ามพ้นผ่านไปได้ด้วยดี” จากคำพูดของเธอผ่านแคมเปญ นั่นยิ่งทำให้หลายๆ คนอยากรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธอให้มากกว่าเดิม ในวันที่แดดล่มลมตกของเย็นวันอาทิตย์ที่เธอว่างและปราศจากคิวงานกองถ่าย จึงเกิดการนัดพบ ณ ร้านกาแฟย่านสาทร ในบรรยากาศสบายๆ พบปะ พูดคุยกันด้วยเรื่องราวง่ายๆ ในชีวิตผ่านรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบเป็นกันเอง  สัมภาษณ์ บีบี – เอกนรี วชิรบรรจง สาวสวยลุคสุดเท่ รู้สึกอย่างไรกับแคมเปญของ CPS ที่ได้เข้าร่วม “ รู้สึกดีใจที่มีส่วนร่วมในครั้งนี้ค่ะ บีเองอยู่ในพาร์ทของ Creativity ซึ่งพี่ๆ หลายคนส่วนมากเป็นศิลปิน มีความครีเอทีฟสูงมากๆ บีเองก็ยังเป็นเด็ก เป็นน้องใหม่ ก็ดีใจที่ได้ร่วมแชร์ไอเดียและแนวคิดของเรา แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน มันเป็นเรื่องที่ดี” “บีบี” มีมุมมองกับคำว่าครีเอทีฟอย่างไร “ บีมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือ เรื่องความครีเอทีฟ ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงต้องเป็นงานด้านศิลปะเท่านั้น มันคือการใช้ชีวิต คุณเปิดรับความใหม่ในชีวิตมากแค่ไหน ไม่ใช่แค่อยู่ในมุมของตัวเอง แล้วก็พอใจอยู่ตรงนั้น โอเคมันก็ทำได้แหละ แต่มันจะไม่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้น ไม่สนุก ไม่มีสีสัน แทบทุกอาชีพก็ต้องครีเอทีฟ  เชฟทำอาหารก็ดีไซน์ จัดจาน คัดสรรวัตถุดิบ นักธุรกิจมองหาอะไรใหม่ๆ ที่คนนึกไม่ถึง นักวิทยาศาสตร์ปรุงอะไรให้มันเกิดออกมาเป็นสิ่งใหม่ แค่ทำให้ทุกอย่างมันใหม่ แปลกหรือดีไปกว่าที่เคยมี เพียงแต่คนส่วนใหญ่ที่มองมักคิดว่าจะต้องเป็นงานด้านศิลปะเท่านั้น ทั้งที่จริงมันคือทุกสาขาในชีวิต ไม่ได้หยุดแค่ที่ศิลปะ” เป็นอย่างไรบ้างกับงานโปรดิวเซอร์ที่ทำอยู่ตอนนี้  “ บีเพิ่งเริ่มงานไม่นาน เกือบปีเองค่ะ ตอนนี้ทำงานกับพี่โปรดิวเซอร์ที่มีประสบการณ์อยู่ เราก็เหมือนได้ฝึกงานไปด้วย ต้องทำงานกันเป็นทีม เค้าก็สอนงานเรา แนะงานเรา เราก็แอคชั่นตรงนั้นไป เราโตมากับกองถ่าย คิดว่าทำงานกองถ่าย งานอะไรก็ได้อยู่แล้ว เราไปจนชิน คุ้นเคย เพราะว่างก็ไป แม่ก็จะคอยบอกไปกองถ่ายสิ เลยค่อนข้างสนิทกับทีม รู้สึกว่าชอบบรรยากาศในกองถ่าย คุณพ่อกับคุณแม่จะคอยแนะนำ คุณแม่นี่เป็นที่ปรึกษาตลอด ส่วนคุณพ่อเราจะสังเกตหน้ากองว่าเค้าแอคชั่นกับเหตุการณ์ต่างๆ หน้ากองยังไง แล้วแต่เคส แล้วแต่สถานการณ์ที่เจอตอนนั้น คือพอเรียนจบก็มาทำงานสายโปรดิวเซอร์เลย ยังไม่ได้ลองทำงานตามสายที่เรียนจบมาแบบจริงๆ จังๆ ”  เห็นว่าเรียนจบ Fine Art Photography จาก RMIT University แปลว่าสนใจการถ่ายรูปมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า “ เราไม่ได้รู้ว่าชอบอะไรตั้งแต่แรก  แต่ก็รู้ว่าน่าจะมาทางสายอาร์ตชัวร์ๆ พอไปเมลเบิร์น ออสเตรเลียเนี่ย เค้าก็มีให้เลือกเรียนเยอะ เราก็เลือกลงเรียนศิลปะหมดเลย สาขาที่เรียนไม่ค่อยมีคนไทยไปเรียนเท่าไร เรียนไปเรียนมาก็เริ่มรู้ว่าเราชอบโฟโต้ แต่มันก็ยังไม่ถึงที่สุดนะ พอเข้ามหาลัยเนี่ย เลือกเรียนไปสามวิชา มีดีไซน์ มีถ่ายรูป มีวาดรูป ลองถ่ายรูปไปแล้วเราโอเคมาก งานเรียนที่เราทำมีสองแบบ คือ Fashion Photograpy กับ Fine Art Photography แรกเริ่มเราก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ลงมือทำไปมันก็ทำให้เราเข้าใจคำว่า Fine Art จริงๆ ก็ตอนปี 3 นี้เอง ตอนแรกนี่ไม่รู้ว่าคืออะไร เค้าพูดอะไรกันก็ไม่รู้เรื่องเท่าไร พอปีสามถึงจะเข้าใจ ว่ามันคืออะไร การถ่ายรูปมันได้อะไรมากนะ มันสอนให้เราเปิดโลกที่จะมองอะไรหลายๆ อย่าง มีแนวคิดที่กว้างขึ้น ปรับทัศนคติในการใช้ชีวิตของเราได้ด้วย แต่ถึงตอนนี้ก็ยังตอบไม่ได้ว่าชอบถ่ายอะไรมากที่สุด ยังอยู่ในขั้นค้นหาตนเอง เวลามีโอกาสได้เจอพี่ๆ ที่เค้าเป็นศิลปิน ดูงาน พูดคุย เราก็ซึมซับอะไรของเค้ามาบ้างเพื่อ Adapt ให้เข้ากับสิ่งที่เราเจอ เพราะก็ยังหาแนวของตัวเองไม่เจอ เรายังไม่ได้รู้ลึก ยังไม่เก่ง ยังเป็นเด็กใหม่มากที่ยังหาตัวเองไม่เจอ”  แล้วมีทริปถ่ายรูปบ่อยไหม “ นอกเวลางานก็มองหาทริปถ่ายรูปบ้าง ปลูกต้นไม้อยู่บ้าน เล่นกับหมา ฝึกภาษา เพราะเราชอบคุยกับคน ชอบภาษาที่หลากหลาย ตอนนี้พูดได้แค่สองภาษา แต่เราก็ฝึกไปเรื่อยๆ ฟังได้ อ่านได้ แต่ตอนนี้ก็ตั้งใจเข้มข้นขึ้น เราต้องพูดให้ได้ ในอนาคตตอนนี้ยังไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ เรียกว่ามีโอกาสอะไรเข้ามาเราก็รับหมด ส่วนใหญ่ทริปถ่ายรูปก็เป็นทริปที่ไปเที่ยวกับคุณแม่นี่แหละค่ะ แม่ชอบเที่ยวมาก (ลากเสียงยาว) เค้าจัดทริปไปเที่ยวปีละครั้งสองครั้ง เราก็พ่วงไปด้วย แล้วก็ไปถ่ายรูป บอกแล้วว่าเราถ่ายไปเรื่อย ไม่ได้เจาะจงว่าอยากถ่ายอะไร มีโอกาสได้เจอ Culture เจออะไรสวยๆ เจออะไรแปลกใหม่ที่ไม่เคยเจอก็จะถ่ายเก็บไว้ ส่วนใหญ่เป็นทริปต่างประเทศ”  มีสถานที่ไหนที่ไปแล้วรู้สึกว่าช่วยสร้างแรงบันดาลใจบ้าง “ ยังไม่เจอสถานที่ที่ไปแล้ว impress เราขนาดนั้น เพราะอย่างที่บอกมันเป็นทริปที่คุณพ่อคุณแม่ไป เราก็อยากให้ท่านพักผ่อน ไม่ได้สมบุกสมบันกับเรามากมาย ส่วนทริปกับเพื่อนก็ไม่ค่อยได้ไป เพราะเวลามักไม่ค่อยตรงกัน อีกอย่างเราชอบไปกับครอบครัว กับเพื่อนก็มีไปบ้าง ถ้าเวลาตรงกัน       ทริปที่ไปกับพ่อแม่ จะว่าสบายก็สบายค่ะ จะว่าโหดก็โหด เพราะคุณพ่อคุณแม่ชอบขับรถกันยาวๆ  ไปนอกเมือง ขับสองชั่วโมงสามชั่วโมง ไปดูไปชมธรรมชาติข้างทาง ไปดูความสวยงามของบ้านเมืองวัฒนธรรม แต่ทริปลุยๆ ก็ยังไม่ค่อยมีเท่าไร เพราะไปกับญาติก็จะมีหลานๆ ด้วย ก็เลยเน้นสบายๆ นิดนึง” เอามุมมองจากการถ่ายรูปหรือสิ่งที่เจอมาใช้กับงานไหม “ ก็มีบ้าง จริงๆ เป็นคนไม่ค่อยดูละครเท่าไร เวลาที่ดูเพราะมันเป็นงาน ส่วนใหญ่จะชอบดูหนังมากกว่า ดูซีรีส์ต่างประเทศมากกว่า ซึ่งมันก็คล้ายละครแหละ แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มดูละครได้หลายเรื่องเหมือนกัน อย่างละครเรื่องกระทิงของคุณพ่อ ก็ไม่คิดเลยนะว่าจะดูจนจบ หนังที่ชอบดูก็ชอบหลากหลายแนว ไม่อยากดูอะไรเครียดๆ ชอบดูการ์ตูน ดูหนังผีแฟนตาซี ดราม่าก็ดูได้บ้างถ้ามันดีจริงๆ แต่ไม่ค่อยชอบดูหนังที่มันบีบๆ หัวใจอะไรแบบนั้น ไม่ได้มีเรื่องไหนเป็นเรื่องโปรด เปลี่ยนไปเรื่อย เรื่องใหม่มาก็ดู บางอย่างที่เราดูหรือเห็นมาก็เอาคิดต่อ บางทีก็เอาไปนำเสนอกับทีมว่าลองแบบนี้ดีไหม ยังไงดี น่าสนใจไหม” คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความครีเอทีฟมากแค่ไหน “เมื่อก่อนตอนอยู่ไฮสคูล คิดว่าเราค่อนข้างครีเอทีฟมาก (ลากเสียงยาวและหัวเราะ) เพราะเราเป็นเด็กไทยหนึ่งในสองคนที่เรียนอาร์ต เราก็จะมีความคิดแปลกๆ เยอะ แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยเนี่ย ความมั่นใจดรอปลงมาก เพราะไปเจอคนที่เค้าเลือกสายเดียวกับเรา แต่ละคนก็มีแนวคิดที่ดีและหลากหลาย แต่เราก็ยังมั่นใจอยู่นะว่าเราครีเอทีฟ คิดอะไรใหม่ๆ อะไรที่มันผิดแผกแตกไปจากมาตรฐานทั่วไปอยู่เหมือนกัน (หัวเราะ)         กระบวนความคิดและแรงบันดาลใจที่มีมักเกิดมาจากการเจออะไรใหม่ๆ การได้พบปะพูดคุยกับผู้คน บีชอบพูดคุยกับคน ชอบการสื่อสาร เพราะมันทำให้เราเกิดไอเดียใหม่ๆ ที่แตกแขนง บางทีอีกฝ่ายพูดอะไรออกมา มาคิดเออทำไมเราคิดไม่ถึงตรงจุดนี้ มันคือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเปิดโลกอีกใบที่เราไม่เคยเจอไม่เคยรู้ เค้าเจอแบบนึง เราเจอแบบนึง เออมันเจ๋งว่ะ        ไอเดียเด็กฝรั่งก็จะต่างจากเรา เด็กฝรั่งเค้าจะมีความดิบมากกว่า ซึ่งมันเข้าถึงได้ง่าย น่าค้นหา น่าทึ่ง ขณะที่เอเชียแบบเราจะมีดีเทลหลายอย่าง ตอนเรียนเป็นเด็กหัวดำคนเดียวในคลาสนะ พอเจอเพื่อนฝรั่งเสนอไอเดียมา บางทีก็เฮ้ย คิดได้ไงวะ มันดูเป็นเบสิกพื้นฐานของชีวิต ดูมีความเป็นมนุษย์ แต่เด็กสายอาร์ตส่วนมาก เค้าก็จะไม่ได้สุงสิงอะไรกันมาก  ยิ่งงานที่เรียนเป็นงานเดี่ยวพอเลิกคลาสก็แยกย้ายกันไปทำงานรับผิดชอบชีวิตตัวเองกันไป        งานจบมีสองชิ้น งานเกี่ยวกับเด็ก จินตนาการเด็กชิ้นนึง อีกชิ้นนึงเป็นเรื่องโซเชียลมีเดีย ชิ้นเด็กนี่อาจเพราะเรามี Innerchild เยอะมาก ชอบเล่น ชอบอะไรแบบเด็ก นิสัยเราด้วยแอ๊บเด็ก มีความเป็นเด็ก ส่วนตัวคิดว่าความเป็นเด็กมันมีความจริงอยู่ ไม่ต้องกลั่นอะไรมากมาย เวลาที่เด็กพูดอะไร มันไม่มีฟิลเตอร์ ตรงๆ มีอะไรน่าเล่นเยอะ บีคิดว่าบางทีความเป็นผู้ใหญ่มันทำให้เราหลงลืมอะไรตรงนี้ไปเยอะ  ทุกคนมีความเป็นเด็กในตัวเอง เด็กคิดแค่นี้แล้วมันจริง แต่ผู้ใหญ่คิดแล้วปั้นแต่งนั่นนี่โน่น งานก็เลยจะมีความสนุก มีสีสันมาก แต่อีกชิ้นก็จะดาร์กมากเช่นกัน คอนทราสต์กันไปเลย เค้าให้เราทำงานสองชิ้นอยู่แล้ว เราเลยไม่รู้ว่าจริงๆ ชอบแบบไหน ก็สนุกทั้งสองแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นซีรีส์หรือต้องลิงค์กันด้วย ก็สนุกดี           ส่วนงานของเพื่อนๆ ก็แตกต่าง มีแนวคิดต่างกันมาก เรียกว่ามาสิบชิ้นนี่ต่างกันหมด ไม่มีใครเหมือนใครเลย ไม่มีการคุยกันก่อน แต่ก็มีครูที่ปรึกษา ว่าเรามีแนวคิดแบบนี้ ถ้าไอเดียที่เรานำเสนอมันยังดูไม่ใช่ ครูก็จะแนะไปแนวนี้ดีกว่าไหม แบบนี้แบบนี้ งานชิ้นดาร์กเป็นงาน installation พอเรียนจบถึงเก็ตว่างานอาร์ตจริงๆ มันคืออะไร นึกแล้วยังอยากกลับไปเรียนใหม่เลย ตอนเรียนจะแบบไม่เข้าใจ ทำไมนะ ยังไงนะ แต่ทุกกระบวนการเรียนรู้เป็นการปูทางให้เรา เกิดความคิดใหม่ มีความมั่นคงแน่วแน่มากขึ้น”    อะไร คือ อุปสรรคในกระบวนการความคิดด้านครีเอทีฟของตัวเอง “ อุปสรรคน่าจะเป็นไอเดียที่เราคิดว่ายังไม่สุด แล้วก็คิดมันไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ วิธีแก้ไขคือ ต้องมี Second Opinion คือการให้คนอื่นมาช่วยดู ช่วยแนะ จากการดูงานเราว่าเค้าคิดยังไง แต่ไม่ได้เอาความคิดเค้ามาปรับแก้ในงานเรานะ แค่เอามาใช้ในแง่ Adapt ว่ามันเข้าถึงคนหรือเปล่า เข้าใจในงานเราหรือเปล่า ถ้าเออมันดีแล้วก็โอเคตามนั้น แต่ถ้ายังไม่ใช่ ก็มีการปรับแก้ไขต่อไป ก็จะลองถามหลายๆ คน โดยเฉพาะที่บ้าน พ่อ แม่ ญาติ เพราะทุกคนมาสายอาร์ตอยู่แล้ว บางทีอย่างที่บอก เราแบบเอ๊ะมันยังไม่สุด แต่หลายคนบอกแบบนี้สวยแล้ว ก็จะได้กลับมาคิด เออมันพอแล้ว ในงานอาร์ตมันไม่มีข้อกำหนดแน่นอน บางทีมันอาจจะเป็นสเต็ป หนึ่งสองสาม แต่บางทีมันอาจจะสามสองหนึ่งก็ได้ แล้วแต่งาน” ขั้นตอนในการครีเอทงานเป็นอย่างไร “ ส่วนมากเราจดไอเดียแรกเริ่มในโทรศัพท์ ถ้าโทรศัพท์หายก็จบกันไปเลย (หัวเราะ) แต่ถ้ามีเวลาว่างก็ทำเป็นบอร์ดไว้ หาไอเดีย แรงบันดาลใจต่างๆ เก็บในออนไลน์ จะหยิบค้นหาเมื่อไรก็ได้ ทุกวันนี้มันสะดวกดี ชอบนั่งตามร้านกาแฟ เอางานไปทำ เพราะที่บ้านคนอยู่เยอะ บางทีถ้าไม่ได้อยู่ในมุมตัวเองก็อาจจะไม่มีสมาธิได้ ส่วนมากเรามีโกลด์ว่างานนี้ต้องเสร็จเมื่อไร แต่ไม่ถึงกับเซ็ต schedule แค่จะทำให้เร็วที่สุดมากกว่า อย่างอยู่ข้างนอก นั่งทำงานอยู่ ถ้าแม่โทรมาหรือแม่บอกมาขับรถให้หน่อย ก็ตามนั้น improvice ตามนั้น ปรับตามสถานการณ์       กับงานโปรดิวเซอร์ตอนนี้ยังไม่ได้ครีเอทเท่าไร เพราะถ้าเทียบกันระหว่างงานโปรดิวซ์กับงานกำกับ งานกำกับนั้นจะครีเอทมาก อย่างพ่อเนี่ย เค้าจะมีอะไรใหม่ให้วงการตลอดเวลา แต่งานโปรดิวซ์มันมักจะเป็นงานประสาน เป็นงานเปเปอร์เสียส่วนใหญ่ มันจะครีเอทีฟมากไม่ได้ เป็นการ Manage ส่วนใหญ่ แต่ด้วยพื้นฐานเราเป็นคนชอบเสนอไอเดียใหม่ๆ เราก็จะไปเสนอไอเดียให้คุณพ่อฟังว่าเออดูแล้วน่าจะมีอะไรแบบนี้ น่าสนใจไหม หลายๆ ครั้งคุณพ่อก็เอาไอเดียที่เราเสนอไปใส่ในงานละครเหมือนกัน งานที่ทำตอนนี้เหมือนสีสันแต้มให้เค้า ติดไม่ติดเราไม่รู้ เห็นอะไรใหม่ก็เสนอไอเดียไป ” สัมภาษณ์ บีบี – เอกนรี วชิรบรรจง สาวสวยลุคสุดเท่ แล้วในอนาคตจะผันมาทำงานกำกับด้วยหรือเปล่า “   มีคนถามอยู่นะ เมื่อก่อนก็อยากกำกับ แต่อย่างที่บอกว่าเราได้หมด คุณแม่วางไว้ อยากให้เรามาสายโปรดิวซ์ มองน้องชายให้เป็นคนกำกับ ก็แบ่งหน้าที่ชัดเจน ที่สำคัญเราก็กำลังเติบโตในด้านนี้ ไม่ได้เรียนมาโดยตรง เรายังใหม่ แต่คิดว่าเราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ดีพอสมควรในสายนี้ เจอครูดี สอน พี่ที่ทำงานด้วยกันเค้าสอนเราตลอดเวลา สอนให้เป็น เราจะได้แข็งแรงเร็ว ตอนนี้เรายังเบสิก แต่เรามั่นใจว่าเราเข้าใจในเนื้องาน มั่นใจว่าทำได้ สตรองอยู่ แต่ถ้าอันไหนบีคิดว่าไม่ใช่ บีจะบอกเลยทำไม่ได้ อย่างเรื่องเลขเรามั่นใจว่าทำไม่ได้ บอกเลย (หัวเราะ)         แต่เวลามีใครให้ทำอะไรใหม่ก็จะทำก่อนนะทำให้สุดแล้วก็บอกเราทำได้เท่านี้เค้าจะแฮปปี้ไม่แฮปปี้ก็ค่อยว่ากันถ้าไม่ใช่ก็ขอโทษด้วยมีพี่คนนึงที่นำเสนอไอเดียในการโปรโมทละครให้มันดีขึ้นเป็นที่รู้จักมากขึ้นมาบอกเราเพราะเราน่าจะใช้คอมพ์เก่งที่สุดแล้วในบริษัทพอมาบอกเราเราก็เฮ้ยทำไม่ได้หรอกเค้าบอกต้องได้สิเราก็ลองทำพอเสร็จคุณแม่แฮปปี้มันก็จบแต่ถ้ามันไม่ได้สุดจริงๆก็จะบอกตรงๆแต่เราก็จะเริ่มหนึ่งสองให้แล้วให้เค้าไปต่อยอดอีกที        ตอนนี้เราไม่ได้แสวงหาอะไรใหม่ เพราะยังมีงานหลักที่ต้องโฟกัสอยู่ ยังไม่ได้เก่งในด้านโปรดิวซ์ ยังเป็นระดับเบบี๋อยู่ แต่มั่นใจว่าจะทำงานนี้ได้ดี เพราะถ้าไม่ชอบหรืออึดอัดคงออกไปแล้ว ในการทำงานไม่ควรจะฝืนทำ แต่เวลามีโอกาสอะไรเข้ามาเราก็จะลอง ได้ทำอะไรในสิ่งที่ชอบมันคือเรื่องดี บางคนอาจไม่มีโอกาสได้เลือกทำในสิ่งที่ชอบจริงๆ แต่ลองมองในแง่มุมอื่นที่เป็นแง่บวก แง่ดี อย่างน้อยก็ยังมีงานให้ทำ ใช่ไหมล่ะ ต้องมองให้เห็นสิ่งดีๆ ในการทำงาน แม้เราไม่ชอบงานนั้น แต่ถ้ามีโอกาสเลือก แน่นอนไม่มีใครอยากทำในสิ่งที่ไม่ชอบอยู่แล้ว” ถ้าให้นิยามความเป็นตัวเองของ บีบี - เอกนรี วชิรบรรจง เป็นคนแบบไหน “ หมายถึงนิสัยเหรอ เป็นคนชิลล์มาก ไม่อยากทำให้ตัวเองจมอยู่ในความทุกข์ เมื่อก่อนเป็นคนเครียดมาก เครียดกับทุกเรื่อง อย่างนั่งคุยกันอยู่ ก็จะคิดว่า เอ๊ะ พี่เค้าจะโกรธเราไหม โมโหเราไหม แคร์ความรู้สึกคนอื่นมาก อย่างบางวันพ่อนิ่งๆ เราก็จะเอ๊ะ เราไปทำอะไรให้พ่อเครียดหรือเปล่านะ เราคิดมากเสียจนคนรอบข้างไม่เอากับเราแล้ว นอยด์ไปเองว่าคนนั้นจะคิดแบบนั้นแบบนี้ แล้วตัวเราเองก็เหนื่อย นอนไม่ได้ทั้งคืน นั่งคิดก่อนนอน คิดคิดคิด แต่ตอนนี้หลับตาแล้วหลับเลย (หัวเราะ)         หลังจากเปลี่ยนทัศนคติ ชีวิตมันดีขึ้นมากเลย น่าจะมาจากหนังสือที่อ่าน คือ น้องชายบีตอนที่เค้าไปเรียนต่อ เค้าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เค้าบอกพี่บีลองอ่านดูสิ เราก็ไปหาหนังสือแนว self improvement ข้อคิดต่างๆ ในการใช้ชีวิต มันทำให้เรานิ่ง เปลี่ยนได้จริงๆ ทั้งที่ปกติเป็นคนไม่อ่านหนังสือ แต่มีบางเล่มที่เราอ่านจนเกือบจบเลย ปกติอ่านหนังสือยาวๆ ไม่ได้ การ์ตูนน่ะได้ อ่านนิยายยาวๆ นี่ไม่เอาเลย แต่หนังสือที่อ่านมันจะแบ่งข้อความสั้นๆ มาแนะ เช่น มี 50 ข้อควรทำไม่ควรรอเหมือนเป็นโค้ดคำหนึ่งหน้ามีสองข้อสั้นๆอะไรแบบนั้น         พออ่านหนังสือ เรา Shape up idea ดีขึ้น Shape up myself ได้ดีมากขึ้น ก็ต้องขอบคุณน้องชายที่เค้าแนะนำ เราเลยใช้ชีวิตสบายๆ มากขึ้น มองเห็นความร้อนรอบตัวเรา เพราะในกองถ่ายเนี่ย เป็นงานที่คน 40 คนต้องทำงานออกมาเป็นชิ้นเดียวเครียดไปหงุดหงิดไปไม่ได้ช่วยให้ทำงานได้เร็ววิธีแก้คือการปล่อยวางไม่อยากร้อนไปด้วยเราจึงเย็นเครียดได้แต่ต้องปล่อยวางให้เร็วบางทีเครียดไปคนอื่นเค้าไม่รู้หรอกว่าเราแย่เราเด็กสุดด้วยก็เป็นมารยาททางกองถ่ายเนอะแต่เราเสนอไอเดียความคิดใหม่ๆได้เพื่อช่วยพัฒนาบริษัทและงานชิ้นต่อๆไปให้มันดีขึ้นการระเบิดอารมณ์ไปไม่ช่วยอะไรพูดดีๆนิ่งๆเค้าจะฟังไม่ฟังก็แล้วแต่ที่ทำงานมาค่อนข้างโฟลว์ด้วยคุณพ่อคุณแม่เป็นเมนที่แข็งแรงมากๆทุกคนก็จะโฟกัสที่เค้าเราเหมือนกับเป็นส่วนเล็กๆน้อยๆเราจะเห็นได้ว่าคุณพ่อรับฟังทุกฝ่ายทุกคน          บางสิ่งบางอย่างเราอาจจะมองไม่เห็น แล้วเราจ้างเค้ามาแล้ว เราก็ต้องเคารพในสิทธิ์ของเค้าด้วย อย่างเช่น คอสตูม เราคอมเมนท์เค้าไม่ได้ เพราะเค้าก็เก่งในด้านของเค้า เราต้องฟังเค้า ติได้ แต่ไม่ใช่ไม่เอาเลย แล้ว Adapt กัน เป็นการให้เกียรติกันทางสายอาชีพ เพราะทุกคนมีความถนัดความสามารถเป็นของตัวเอง ไม่งั้นเราจะจ้างเค้ามาทำไม ถ้าเราก็ทำได้” เห็นมีงานเดินแบบอยู่บ่อยครั้งเหมือนกัน “ ใช่ ตอนนี้มีโอกาสได้ลองเดินแบบ ตอนเด็กๆ ก็เคยคิดนะว่าอยากทำ เหมือนความฝันวัยเด็กที่เราไม่ได้คิดอะไรมาก รู้ตัวว่าเราไม่ได้เกิดมาเป็นซูเปอร์โมเดลอะไรแบบนั้น แต่พอมีโอกาส ทางป้าตือ (สมบัษร ถิระสาโรช) มาชวน ก็ลองดู ก็สนุกดีนะ แล้วผู้คนก็ให้ความสนใจ ฟีดแบคดี ก็อาจจะดูแปลกๆ ไปบ้างในวงการแฟชั่น (หัวเราะ)”ด้วยลุคดูบอยบอย เคอะเขินไหมในการเดินแบบที่ต้องโชว์ชุดหวานๆ หรือเซ็กซี่ “  คำว่า Unisex มันเปิดโลกมากขึ้น เปิดตลาดมากขึ้น มันเลยมาเป็นเทรนด์ โดยปกติก็แต่งตัวสบายๆ อยู่บ้านก็ง่ายเลยกางเกงเล แต่จะดูงานมากกว่า เราชอบชิลล์มาก แต่เวลาไปเจอผู้ใหญ่ ก็ต้องรักษาหน้าพ่อแม่บ้าง ถ้าอยู่บ้านนี่ชิลล์เลย สบายๆ ถ้าไปเดินแบบ งานคืองาน เค้าให้เราแต่งยังไง เข้าไม่เข้าเราไม่รู้ แต่ถ้าดีไซเนอร์เห็นว่าเราใส่ได้ สวย ก็ได้หมด เพราะเราเชื่อเค้า ว่าจะทำให้ดูดีได้ เค้ารู้จักเสื้อผ้าดีกว่าเรา เรามีหน้าที่แค่พรีเซนต์ให้ออกมาตามคอนเซ็ปต์”มีวิธีดูแลตัวเองอย่างไรบ้าง เพราะผิวค่อนข้างดี หน้าใสเลยทีเดียว “  การพักผ่อน ส่วนมากก็นอน เพราะงานกองถ่ายค่อนข้างหามรุ่งหามค่ำ ถ้าได้พักก็นอนให้เต็มที่เลย วันว่างก็จะอยากอยู่บ้านมากกว่า สกินแคร์บำรุงผิวนี้ก็แล้วแต่ช่วงชีวิต ทาบ้างไม่ทาบ้าง โชคดีที่ผิวโอเค ทั้งที่ไม่ได้ดูแลตัวเองเท่าๆไร เจอแดดเจอยุง เจอความร้อน เมื่อก่อนบ้าออกกำลังกายมากตอนอยู่เมืองนอก แต่พอกลับมาเมืองไทยไม่มีเวลาเลย เอาเวลาไปนอนมากกว่า งานกองถ่ายช่วงเวลาไม่แน่นอน ตอนอยู่เมลเบิร์น เรารู้ตารางของตัวเอง แต่พอมาอยู่ไทยมาทำงานกองถ่าย เวลามันไม่แน่นอน บางวันตื่นเช้ามานึกว่าฟรี อ้าวสายมีงานเฉยเลย ส่วนใหญ่จะไปถ่ายที่หนองแขมส่วนใหญ่ มีไปตามโลเคชั่นบ้าง ส่วนเรื่องอาหารการกิน เป็นคนกินอาหารรสจืด ไม่ได้กำหนดว่าเป็นวีแกน คีโต อะไรยังไง เพราะยังติดนมข้น แต่เมื่อก่อนออกกำลังกายเลยติดลีน เวลาทำอาหารเราไม่ปรุงรสเลยนะ ชินลิ้นกับการกินจืด ถ้าเลือกได้จะชอบเพลนๆ ไม่รสจัด แต่ผัดซีอิ๊ว น้ำพริกอะไรก็กินได้นะ แต่ต้องเป็นเวอร์ชั่นเด็กไม่เผ็ดเท่านั้นเอง”