แม้จะผ่านมามากกว่ายี่สิบปีแล้ว แต่ท่วงทำนองของเปียโนในเพลงบัลลาดร็อกอย่าง ‘I Don’t Want to Miss a Thing’ นั้นยังถูกเล่นซ้ำไม่ต่างจากวันแรกที่ภาพยนตร์ ‘Armageddon’ เข้าฉายในโรงหนังเมื่อปี 1998‘I Don’t Want to Miss a Thing’ ทำลายกำแพงที่ Aerosmith เคยมองว่าสูงเสียดฟ้า เมื่อเพลงนี้กลายเป็นเพลงแรกของพวกเขาที่โผขึ้นอันดับหนึ่งบิลบอร์ดชาร์ต แซงหน้า ‘Dream On’ และ ‘Walk This Way’ เพลงดังจากยุค 70s ที่เคยขึ้นเลขสองหลักในชาร์ตเดียวกันไปแบบไม่ทิ้งฝุ่นนี่คือเรื่องราวและบทเพลงของ ‘Aerosmith’ วงดนตรีที่ได้รับฉายาว่า ‘the Bad Boys from Boston’ จากสีสันของตัววงที่ครบครันไปด้วยดนตรี ผู้หญิง และเหล้ายา ตามแบบร็อกสตาร์ขนานแท้ รวมไปถึงการ ‘เอาตัวรอด’ จากอุตสาหกรรมดนตรีและยาเสพติดของ ‘สตีเวน ไทเลอร์’ นักร้องปากกว้างเจ้าของเสียงแผดสุด iconic ประจำวงDream On: ก้าวแรกแห่งความฝันถ้าจะถามคอเพลงร็อกถึงเพลงที่เล่าเรื่องความฝันได้เปี่ยมแรงบันดาลใจที่สุด ใครหลาย ๆ คนคงอดใจที่จะตอบเพลง ‘Dream On’ ของ Aerosmith ออกมาไม่ได้ /Sing with me, sing for a yearSing for the laughter, and sing the tearSing with me, if it's just for todayMaybe tomorrow, the good Lord will take you away /เนื้อเพลงที่บอกให้หนุ่มสาว ‘ร้องเพลง’ ในวันนี้ เพราะ ‘พรุ่งนี้พระเจ้าอาจจะมารับคุณไปสู่ปรโลก’ นั้นฟังดูลึกซึ้งและมีพลัง จนยากจะเชื่อว่าไทเลอร์แต่งเพลงนี้ด้วยการมอมตัวเองให้เมาที่สุดเท่าที่จะเมาได้ เขาเขียนมันในช่วงวัย 17 หรือ 18 ปีก่อนที่เขาและสมาชิก Aerosmith จะเจอกันและเริ่มฟอร์มวง“ผมเขียน ‘Dream On’ จากเมโลดี้ที่เล่นวนในหัวมาหลายปี ตั้งแต่วันที่พ่อผมที่เป็นนักดนตรีนั่งอยู่หน้าเปียโน เขาเล่นและร้องเพลงบางอย่าง ผมครุ่นคิดเกี่ยวกับมันอยู่เสมอแต่ไม่เคยคิดว่ามันจะกลายเป็นเพลงได้ด้วยซ้ำเพราะผมไม่รู้วิธีแต่ง จนกระทั่งหกหรือเจ็ดปีให้หลังนั่นแหละมันถึงกลายเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา”ด้วยเสียงแผดสูงของไทเลอร์รับกับท่วงทำนองบัลลาดร็อกติดหู ด้วยพาร์ทดนตรีที่กลมกล่อมผสานกับเนื้อร้องที่มีพลัง เป็นส่วนละอันพันละน้อยที่ผลักดันให้ ‘Dream On’ (1973) เพลงแจ้งเกิดของวงนี้สร้างแรงกระเพื่อมในวงการดนตรีช่วงนั้นไม่น้อย แรงกระเพื่อมนั้นบอกกับไทเลอร์และเพื่อนร่วมวงของเขาให้รู้ว่า ความฝันใฝ่ในอุตสาหกรรมดนตรีของ Aerosmith เริ่มขึ้นแล้ว แม้จะเป็นฝันที่ยังไม่อาจกวาดอันดับต้น ๆ บนชาร์ตใดมาไว้กับอกได้ก็ตาม“เพลงนี้เล่าถึงการคว้าฝันของวัยเยาว์ บางครั้งเราก็ไม่พอใจในตัวเอง บางครั้งเราก็ฝันอยากเป็นใครสักคน...จงฝันและฝันจนกว่าจะทำฝันนั้นเป็นจริงได้”Walk This Way: แบดบอยมาแล้วจ้า/ She starts, swingin' with the boys in, tuneAnd her feet just fly up in the air Singin' hey diddle diddle with a kitty in the middleAnd they swingin' like it just don't care/ริฟฟ์กีตาร์ของเพลง ‘Walk This Way’ จากอัลบั้ม Toys In The Attic ที่ฟังสนุกสนานและรับกับเสียงร้องของไทเลอร์ได้เป็นอย่างดี นั้นเป็นฝีมือของ ‘โจ เพอร์รี’ (Joe Perry) เพื่อนซี้มือกีตาร์ที่เข้าขากับไทเลอร์ประหนึ่งคู่หูนักดนตรี ‘แจ็กเกอร์ – ริชาร์ด’ หรือ มิก แจ็กกอร์ (Mick Jagger) กับ คีธ ริชาร์ด (Keith Richards) สองปู่รุ่นเก๋าจากคณะหินกลิ้ง The Rolling Stones อย่างไรอย่างนั้นสองคู่หูนักร้อง - มือกีตาร์ จาก Aerosmith ก็ไม่ต่างกัน นอกจากนั้น พวกเขายังเป็นสองนักดนตรีที่รู้ใจกันมากกว่าเรื่องเพลงเสียด้วย เมื่อไทเลอร์ - เพอร์รี ถูกขนานนามว่า ‘Toxic Twins’ หรือสองคู่หูนักพี้ ที่พี้ยามาแล้วทั่วสหราชอาณาจักร พวกเขาสูดผงเข้าปอดด้วยกัน get high ด้วยกัน และขึ้นไปปล่อยผีบนเวทีอย่างบ้าระห่ำพร้อมกับสมาชิกในวงอีกสามคนที่เมาเละไม่ต่างกัน เรียกได้ว่าพฤติกรรมของพวกเขานั้น ‘เกเร’ ตามฉบับวงร็อกเต็มขั้น สมกับวลี ‘the Bad Boys from Boston’ ที่พวกเขาถูกขนานนามเช่นเดียวกับ ‘Dream On’ ชาร์ตของ ‘Walk This Way’ เมื่อแรกปล่อยในปี 1975 ไม่ได้สูงมากนัก แต่ภายหลังเพลงนี้กลับกลายเป็นไอคอนแห่งความหลากหลายและการทำลายอีกหนึ่งกำแพง เมื่อปี 1986 วงฮิปฮอป ‘Run-DMC’ ได้หยิบเพลงนี้ไปทำใหม่ให้กลายเป็นเพลง แรป - ร็อก ที่เอาริฟฟ์กีตาร์ตามฉบับ Aerosmith มามิกซ์กับบีทอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมด้วยท่อนแรปตัดสลับกับฮุคเดิมในเพลง‘Walk This Way’ ที่ถูกรีมิกซ์คือบทเพลงที่ทำลายความต่างของสีผิวในอุตสาหกรรมดนตรี และกลายเป็นเพลงที่ฟังทุกบ้านตั้งแต่ชาวร็อกไปถึงชาวแรป ไม่ว่าคุณจะเป็นคนขาวหรือคนดำ แต่งตัวแบบพังก์ สะพายกีตาร์ หรือใส่ยีนส์ตัวโคร่งถือสเก็ตบอร์ดแบบเด็กฮิป เพลงนี้ก็อยู่ในลิสต์ท็อปเท็นที่หนุ่ม ๆ สาว ๆ ในยุคนั้นล้วนเปิดกันให้ลั่น USAI Don't Want to Miss a Thing: เพลงเพลงนี้ที่ได้ฟังนั้น ฉัน (Aerosmith) ไม่ได้แต่งแม้โดยมากสมาชิก Aerosmith จะแต่งเพลงกันเอง หลาย ๆ เพลงดังของพวกเขาล้วนเกิดจากปลายปากกาของไทเลอร์หรือเพอร์รี ไม่ก็เป็นสองคนนี้ร่วมกันแต่ง แต่เพลงฮิตของพวกเขาไม่ว่าจะเป็น ‘Crazy’, ‘Cryin’ หรือ ‘Janie Got a Gun’ ก็ไม่เคยพา Aerosmith ไปถึงฝั่งฝันที่ชื่อว่า ‘อันดับหนึ่งของชาร์ตเพลง’ ได้เลย กลับกัน เพลงที่ทำแบบนั้นได้ กลับกลายเป็นเพลงที่พวกเขาไม่ได้แต่งปี 1998 เพลงที่ทำให้ Aerosmith ไปถึงจุดนั้นได้คือ ‘I Don’t Want to Miss a Thing’ เพลงประกอบภาพยนตร์ ‘Armageddon’ ที่ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ ‘ลิฟ ไทเลอร์’ ลูกสาวของสตีเวน ไทเลอร์ รับบทนางเอกด้วย ซึ่งในตอนแรกนักร้องนำตัวดีของเราก็ไม่ค่อยชอบเพลงนี้สักเท่าไรนัก“ผมรู้ว่ามันเป็นเพลงที่ดี แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะเข้ากับ Aerosmith อะไรมากมาย”คือคำที่ไทเลอร์เคยพูดไว้ ในวันที่ยังไม่รู้ว่าเสียงร้องของเขาในเพลงนี้นี่แหละ ที่จะถูกเล่นวนจนคนจำได้มามากกว่ายี่สิบปี ขึ้นแท่นอีกหนึ่งตำนานในวงการดนตรีไปแบบไม่ได้ตั้งตัวStill Dream On: ปู่ซ่าบ้าฝัน“ในชีวิตผมไม่เคยเจอใครเสพยาหนักเท่าคุณเลย” “ผมเคยรู้สึกว่าตัวเองเท่เป็นบ้าตอนได้ยินว่าผมเป็นนักเสพยาตัวฉกาจ แต่ตอนนี้มันน่าเจ็บปวดมากกว่า”เหล่านี้คือบทสนทนาระหว่างผู้สัมภาษณ์และไทเลอร์ เป็นที่รู้ดีจากหนังสืออัตชีวประวัติ ‘Does the Noise in My Head Bother You?’ ว่าเขามีปัญหาเกี่ยวกับเหล้าและยามาอย่างยาวนานตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าวงการร็อกแอนด์โรลล์ด้วยซ้ำ เมื่อห้าสิบกว่าปีก่อนหน้า สตีเวน ไทเลอร์ในวัยหนุ่มมองว่าการเสพยาเป็นเรื่องเท่“ยาเสพติดทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นร็อกสตาร์ก่อนที่ผมจะได้เป็นจริง ๆ ผมคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ร็อกสตาร์ต้องทำ – fake it till you make it น่ะ”การเสพยาอย่างหนักและทัวร์คอนเสิร์ตอย่างบ้าคลั่งได้เล่นงานสุขภาพสมาชิกในวงไปไม่น้อย แต่โชคดีเหลือเกินสำหรับแฟน ๆ Aerosmith เพราะหลังจากการบำบัดอาการติดยาในสมาชิกบางคน (แน่ล่ะ รวมทั้งไทเลอร์ด้วย) พวกเขาในวัยหกสิบปลาย ๆ – เจ็ดสิบต้น ๆ ยังคงมีลมหายใจและมีแพสชันในการทำดนตรีที่เหลือเฟืออยู่“แม้จะอยู่ท่ามกลางความโกรธเกรี้ยวและเกลียดชัง แต่ผมก็เอาชีวิตรอดในธุรกิจดนตรีมาได้ ผมรอดตายจากการเสพยา มีหลายเหตุการณ์ในชีวิตที่ทำให้ผมได้เห็นปัญหา ที่ชี้ให้เห็นว่าบางทีมันก็ไม่ค่อยสนุกที่ผู้คนจะมาข้องเกี่ยวกับผม”ท่ามกลางโลกดนตรีที่หมุนไวขึ้นในทุกวัน สตีเวน ไทเลอร์ที่บางครั้งบางคราวก็แหวกไปแสดงภาพยนตร์ และเป็นกรรมการในรายการประกวดอย่าง ‘American Idol’ ยังคงไม่ทิ้งความรักในดนตรีร็อก Aerosmith กลายเป็นวงร็อกไม่กี่วงจากยุค 70s ที่ยังคงความเก๋าบนเวทีเอาไว้ได้อยู่เรียกได้ว่าไทเลอร์ยังยึดคติการSing if it's just for today. Maybe tomorrow, the good Lord will take you away. เช่นเนื้อเพลง ‘Dream On’ ที่เขาเขียนอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย“ผมขึ้นไปบนเวทีแล้วร้องเพลงที่ผมแต่งตอนยังไม่ยี่สิบดีอย่าง ‘Dream On’ มันเหมือนกำลังนั่งไทม์แมชชีนที่พาผมย้อนกลับไปเมื่อสี่สิบแปดปีที่แล้ว แม้จะมีเรื่องแย่ ๆ มากมาย แต่คุณรู้ไหม ตอนที่แสดงบนนั้นและได้ ‘มีเซ็กซ์กับผู้ชม’ ด้วยบทเพลงน่ะ นั่นมันเยี่ยมที่สุดแล้ว”เรื่อง: จิรภิญญา สมเทพที่มา: https://www.grunge.com/161990/the-tragic-real-life-story-of-aerosmith/https://www.loudersound.com/news/perry-talks-toxic-relationship-with-tylerhttps://www.oprah.com/spirit/oprah-interviews-steven-tyler-aerosmiths-steven-tyler-interviewhttps://www.huffpost.com/entry/steven-tyler-aerosmith-documentary_n_5afa0083e4b0200bcab8027ehttps://www.loudersound.com/features/the-story-behind-the-song-i-dont-want-to-miss-a-thing-by-aerosmithhttps://explorerockmusic.blogspot.com/2013/05/song-meaning-dream-on-by-aerosmith.html