อาหมัด จูเดห์ "จะเต้นหรือจะตาย" หนุ่มนักเต้นบนโลกที่ไม่อยากให้เขาเต้น

อาหมัด จูเดห์ "จะเต้นหรือจะตาย" หนุ่มนักเต้นบนโลกที่ไม่อยากให้เขาเต้น
อาหมัด จูเดห์ (Ahmad Joudeh) หนุ่มจากดามัสกัส เมืองหลวงของประเทศซีเรีย เกิดและโตในค่ายผู้ลี้ภัยที่ยาร์มุค ความฝันในวัยเด็กของเขาคือการได้เป็นนักเต้น และบัลเลต์เปรียบเหมือนรักแรกพบของอาหมัด แม้คนในครอบครัวของเขาจะไม่เห็นด้วยกับความรักครั้งนี้ก็ตาม พ่อของอาหมัดต้องการให้เขาเรียนด้านภาษาอังกฤษ หรือโตมาเป็นเภสัชกร “พ่อของผมทำทุกอย่าง เพื่อที่จะไม่ให้ผมได้เต้น เขามองว่าการเป็นนักเต้นบัลเลต์เป็นสิ่งที่น่าอาย และเขาทำสิ่งที่พวกคุณเกินจะจินตนาการได้ว่ามนุษย์คนหนึ่งจะทำเพื่อที่จะหยุดผม ทั้งการตีที่ขาของผมอย่างหนักหลายครั้งจนผมไม่สามารถเต้นได้เป็นสัปดาห์ เขาล็อกประตูเพื่อขังผม เผาชุดเต้นหรือแม้กระทั่งหนังสือของผม ผมเคยบอกเขาไปว่ายังไงผมก็จะเต้น ไม่เต้นก็ยอมตายเสียดีกว่า” ความรักที่มีต่อการเต้นในครั้งนี้ มาพร้อมความลับที่เขาจำเป็นต้องหลบๆซ่อนๆ หลังจากฝึกฝนตัวเองที่ The Enana Dance Theatre มาเกือบสิบกว่าปี เขามักจะใช้เวลาว่างของตัวเองไปกับการสอนเต้นให้กับเด็กดาวน์ซินโดรมที่หมู่บ้านเด็ก เอส โอ เอส สากล ในดามัสกัส “การเต้นไม่ใช่เพียงว่าคุณจะต้องอยู่แค่บนเวที ถ้าผมไม่มีสตูดิโอเอาไว้ฝึก ผมใช้ดาดฟ้าที่บ้านแทนก็ยังได้” ชายหนุ่มผู้หลงรักในการเต้นบัลเลต์หมดหัวใจผู้นี้ ผ่านชีวิตที่ต้องดิ้นรนทำทุกสิ่งเพื่อความฝันและสิ่งที่เขารัก อุปสรรคมากมายที่ถาโถมเขา กลายเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง เมื่อสงครามในซีเรียเริ่มต้นขึ้น ประตูเปิดกว้างสำหรับผู้ก่อการร้าย ไม่ว่าจะเป็น ไอซิส หรือ อัลไคด้า คนกลุ่มนี้พยายามจะทำลายสถานที่ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งโรงเรียนสำหรับการเต้น ตัวอาหมัดเอง ยังเคยถูกข่มขู่หมายปองถึงชีวิตมาแล้ว เขาตัดสินใจไปสักอักษรคำว่า “จะเต้นหรือตาย” ที่บริเวณท้ายทอย โดยเขาบอกว่ามันเป็นจุดที่กลุ่มผู้ก่อการร้ายเห็นได้ตอนที่จะตัดคอเขา อาหมัดเล่าถึงการไปที่ โรมัน เธียเตอร์ ที่เมืองพัลมีร่า สถานที่แสดงงานศิลปะที่ถูกเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ของการฆ่าคน อาหมัด จูเดห์ "จะเต้นหรือจะตาย" หนุ่มนักเต้นบนโลกที่ไม่อยากให้เขาเต้น “ผมได้ไปเต้นที่นั่นเพื่อจะบอกพวกเขาว่า สถานที่แห่งนี้มีไว้สำหรับศิลปะ ไม่ใช่สถานที่เอาไว้ฆ่าคน การกระทำแบบนี้มันเป็นสิ่งที่อันตราย ด้วยอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียสในตอนนั้น ไม่มีใครที่สามารถอยู่ได้เกินชั่วโมงหรอก แต่ผมต้องทำมัน เพราะผมไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสทำมันอีกไหม” นักข่าวชาวดัทช์ที่ชื่อ รูสเบห์ คาโบลี (Roozbeh Kaboly) เจออาหมัดทางเฟสบุ๊ค ในขณะที่เขากำลังมองหาคนที่เป็นนักเต้นในซีเรีย โดยเขาเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นว่า “ตอนที่เขาติดต่อมาที่ผม เขาพูดว่าผมจะไปหาคุณแล้วจะทำสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของคุณ ผมตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แล้วตอบกลับไปว่านี่คุณล้อผมเล่นใช่ไหม จากฮอลแลนด์มาซีเรียเนี่ยนะ อย่าๆ อย่ามา เขาตอบผมกลับมาว่า ยังไงเขาก็จะมาอยู่ดี” รูสเบห์ บินจากอัมสเตอร์ดัมลงมาที่ซีเรียจริง ๆ และได้ถ่ายทำเรื่องราวของอาหมัดจนเสร็จ ซึ่งหลังจากสารคดีนี้ถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก ก็ไปเข้าตาของผู้อำนวยการสถาบันบัลเลต์แห่งชาติฮอลแลนด์เข้า ผู้อำนวยการคนนี้ชื่อว่า เท็ด แบรนด์เซน (Ted Brandsen) เท็ดได้ติดต่อไปยังอาหมัดว่า “เราต้องการให้คุณมาอยู่ที่นี่ เราจะช่วยคุณ” ในตอนนั้นตัวอาหมัดเองไม่มีแม้กระทั่งหนังสือเดินทางที่จะออกนอกซีเรีย เขาตอบกลับเท็ดทางอีเมลว่า “คุณจะหาวีซ่าในยุโรปให้ผมได้อย่างไร” เท็ดตอบกลับอาหมัดสั้นๆ ว่า “เราจะทำให้มันเกิดขึ้น” และสิ่งที่เท็ดพูดก็เกิดขึ้นจริงๆ อาหมัด จูเดห์ "จะเต้นหรือจะตาย" หนุ่มนักเต้นบนโลกที่ไม่อยากให้เขาเต้น หลังจากที่อาหมัดได้รับจดหมายเชิญจากสถาบันบัลเลต์แห่งชาติฮอลแลนด์ เขารู้สึกดีใจอย่างมากที่ได้รับโอกาสในครั้งนี้ “ผมรู้สึกดีใจและประหลาดใจไปในเวลาเดียวกัน แต่ตอนนั้นผมบอกกับแม่ว่า จะไม่ไปไหน ผมจะไม่ทิ้งใครไปทั้งนั้น” กลับกันแม่ของอาหมัด สนับสนุนให้อาหมัดคว้าโอกาสครั้งนี้เอาไว้ “วันหนึ่งยังไงลูกก็ต้องทิ้งแม่อยู่ดี ไม่ว่าจะต้องไปรบหรือไปที่อัมสเตอร์ดัม แต่มันจะดีกว่าไหมถ้าลูกเลือกไปตามความฝันของตัวเอง’’ หลังจากที่อาหมัดได้มาที่อัมสเตอร์ดัม เขารู้สึกมีความสุขอย่างมากที่ได้มาอยู่ที่นั่น มันคือสถานที่ที่เขาจะได้ทำในสิ่งที่เขารัก แต่ตัวอาหมัดก็รู้สึกผิดกับตัวเองที่รู้สึกมีความสุขแบบนั้น เพราะเขาตะหนักถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเขาตอนสมัยอยู่ที่ซีเรีย “ทุกๆ ครอบครัวในซีเรีย จะต้องสูญเสียใครสักคน ตอนที่ผมอยู่ในคลาส อยู่ดีๆ ผมก็นึกถึงเรื่องราวในซีเรีย ผมรู้สึกว่าร่างกายผมอยู่ที่นี่ แต่ใจผมมันกลับไปอยู่ที่นั่น มันน่าเศร้านะที่อดีตที่เลวร้าย คอยมาทำร้ายจิตใจคุณตลอดเวลา ขณะที่ตัวคุณเองพยายามจะเริ่มต้นชีวิตใหม่” อาหมัดได้พบกับพ่อของเขาที่ค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศเยอรมนี หลังจากที่ทั้งคู่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลากว่า 11 ปีแล้ว “ผมเคยเกลียดสิ่งที่พ่อเคยได้ทำกับผม แต่การมาที่นี่ ผมต้องการที่จะเริ่มต้นใหม่โดยปราศจากความเกลียดชัง ดังนั้นผมยกโทษให้กับทุกคนที่เคยมาขัดขวางความฝันของผม มันไม่ง่ายเลยที่จะเจอหน้าพ่ออีกครั้ง พูดตามตรงผมไม่รู้สึกว่าเขาเป็นพ่อของตัวเอง ผมได้ยก Oud (เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ของชาวอาหรับ) ให้เขาสำหรับเพื่อไปเล่นดนตรี นี่คือตัวแทนคำพูดของผม พ่อพยายามยึดศิลปะไปจากผม แต่วันนี้ผมขอยื่นมันกลับไปให้เขา นี่เป็นครั้งแรกที่เราทั้งคู่ได้กอดกัน พ่อของผมร้องไห้ออกมา พร้อมกับบอกว่าเขาภูมิใจในตัวผมมากขนาดไหน และขอโทษในสิ่งที่เขาเคยทำลงไป” ที่สถาบันบัลเลต์แห่งชาติฮอลแลนด์ มีนักเต้นบัลเลต์มากมายหลายเชื้อชาติ การเป็นนักเต้นอาหรับคนเดียวในคลาสเป็นเรื่องที่อาหมัดมองว่า เป็นสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบมากขึ้น “พวกเขาจะไม่ข่มขู่คุณ ไม่ว่าคุณจะมาจากที่ไหน ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาใด พวกเราแค่อยู่ด้วยกัน เต้นร่วมกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน นั่นเป็นสิ่งที่สวยงามมากๆ ดังนั้นเราทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข”  อาหมัดรักงานสอนของเขาที่สถาบันแห่งนี้มาก เพราะเขาเรียนรู้ความโศกเศร้าที่เคยผ่านมาในอดีต มันคือการสร้างสะพานร่วมกันระหว่างสองวัฒนธรรม “ถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่ผมตั้งใจจะสอน คำตอบคือ การเต้นสามารถเปลี่ยนชีวิตคุณได้ การเต้นสามารถทำให้คุณเข้มแข็ง และกล้าหาญ การเต้นให้ความกล้าหาญแก่ผมเพื่อเผชิญกับสงครามในซีเรีย ผมพยายามให้หนักที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพื่อจะเป็นคนที่เหมาะสมกับโอกาสครั้งนี้ มันคือความรับผิดชอบที่ใหญ่หลวง ผมต้องทำทุกอย่างให้ดีกว่าที่สุดของตัวเอง ไม่มีแม้กระทั่งเวลาป่วย หรือเวลาที่ไปไหนมาไหน หรือทำสนุกๆ ไม่มีเวลาที่จะทำอะไรอย่างอื่นนอกจากการเต้น เพราะผมคือความหวังของครอบครัว และนักเรียนของผมที่ซีเรีย”