Post on 13/06/2019
Aladdin: การกลับมาของเจ้าหญิงจัสมิน จนได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงสมัยใหม่

เจ้าหญิงผิวสีน้ำผึ้ง รูปร่างเซ็กซี่ อ้อนแอ้นเหมือนนาฬิกาทราย และมาพร้อมกับนิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเจ้าหญิงจัสมิน (Princess Jasmine) ที่เธอได้รับการตอบรับอย่างดีใน Aladdin ฉบับการ์ตูน เมื่อปี 1992 ที่จัสมิน ผู้ปฏิเสธในสิ่งที่เจ้าหญิงที่ดีควรทำ เพื่อตามหาหัวใจและรักแท้ของเธอเอง และเป็นเพียงเจ้าหญิงที่ถูกพ่อห้ามออกจากพระราชวัง ไม่เคยออกไปไหนมาไหน การได้ออกจากพระราชวังจึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเธอ
แต่ในปี 2019 เธอก็ได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบที่สลัดคราบเจ้าหญิงที่หลายคนคิดว่าควรจะเป็นเหมือนเดิม โดยเฉพาะพ่อของเธอที่คิดว่าเจ้าหญิงควรที่จะอยู่เฉย ๆ “best seen not heard” (ได้เห็นดีที่สุดไม่ใช่ได้ยิน) ไม่ควรกล้าที่จะแสดงความคิดเห็น หรือสร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นหน้าที่ของผู้ชาย คุณพ่อจึงบังคับให้เธอแต่งงานกับผู้ชายที่เหมาะสมทางฐานะ ชาติตระกูล และต้องแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง
จัสมินเวอร์ชันนี้มาในรูปแบบที่เข้าได้ดีกับผู้หญิงสมัยใหม่ มองเห็นความสามารถของตัวเอง เธอมองว่าเสียงของเธอมีความหมาย และสามารถเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์บางอย่างได้ อย่างที่เราเห็นได้ในเพลงประกอบภาพยนตร์ “Speechless” ที่มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า “กฎทั้งหลายที่มีมาในยุคก่อน ไม่เคยโอนอ่อนมาหลายร้อยปี อยู่ให้นิ่งไว้จะดีกว่าอย่าเว้าวอน เรื่องเก่าแบบนั้นมันต้องเลิกที”

เราคงรู้กันว่า ค่านิยมหรือสิ่งที่ปฏิบัติตามกันมาในสังคม เป็นอะไรที่เปลี่ยนได้ยาก และการที่จะมีผู้หญิงจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำคงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่ฝังรากลึกตั้งแต่อดีต แต่จัสมินไม่กลัว เธอกล้าที่จะลุกขึ้นมาแสดงจุดยืนของตัวเองและเธอจะไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี เรียกได้ว่า จัสมิน เป็นเจ้าหญิงที่มีความเป็นนักปฏิวัติ มีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง
นอกจากนักปฏิวัติแล้ว เธอยังเป็นนักการเมืองอีกด้วย นาโอมิ สก็อตต์ (Naomi Scott) ผู้รับบทเป็นเจ้าหญิงจัสมิน ได้กล่าวถึงตัวละครไว้ว่า “จัสมินเป็นนักการเมือง เธอไม่ได้เพียงแค่ยืนสวยอยู่ตรงนั้นเท่านั้น จากเดิมที่เธอต่อสู้เพื่อทางเลือกของเธอ แต่กลับมาครั้งนี้เธอไม่ได้มาต่อสู้เพื่อทางเลือกของตัวเองอย่างการแต่งงาน แต่เธอมาต่อสู้เพื่อทางเลือกของคนอื่นด้วย สำหรับฉันมองว่ามันมีพลังอย่างมาก”
จัสมินรู้ว่าสิ่งไหนดีต่อตัวเธอและประชาชน เธอเชื่อว่าตัวเองสามารถปกครองเมืองอัคราบาห์ (Agrabah) ได้ดี เพราะเกิดที่นี่ รู้จักที่นี่ดีกว่าสุลต่านแสนร่ำรวยจากเมืองไหน ๆ เธอรู้ดีว่าประชาชนต้องการอะไร จึงไม่แต่งงานเพื่อหาคนมาดูแลเมืองของเธอ และยังไม่เชื่อในสุลต่านเหล่านั้นที่ล้วนเข้ามาหาเพียงเพราะแค่ความงามภายนอกของเธอ พวกเขาไม่ได้มีใจรักในเมืองและประชาชน แล้วทำไมเธอถึงต้องยอมให้ใครคนอื่นมาปกครองด้วย ทั้ง ๆ ที่เธอเชื่อว่า “ผู้หญิงก็สามารถปกครองได้” แม้ว่าพ่อของเธอจะไม่เห็นด้วย และไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่เธอก็ยังเชื่อมั่นในจุดยืนตัวเอง
เจ้าหญิงจัสมินมีจุดยืนที่มั่นคงในเรื่องการทำเพื่อประชาชน เช่น ฉากที่เธอได้กล่าวกับอะลาดิน (Aladdin) ว่า “แม่ของฉันคงผิดหวัง ถ้าได้เห็นวิธีที่เมืองนี้กระทำกับประชาชน” แสดงได้ถึงความเห็นใจที่เธอและแม่ (ซึ่งเป็นเพศหญิงทั้งคู่) มีให้กับประชาชน

เรื่องที่ย้ำซ้ำความเป็นนักปกครองที่ดีอีกอย่างหนึ่งในเวอร์ชันนี้คือ เธอไม่ใช่เจ้าหญิงวัยใสที่ต้องการเห็นโลกกว้างเพียงอย่างเดียว พอได้ออกมาเห็นโลกนอกกำแพงวัง ทำให้เธอได้เห็นโลกที่แท้จริงว่านอกเหนือจากความเป็นเจ้าหญิงนั้นเป็นอย่างไร ประชาชนไม่ได้มีชีวิตเหมือนกับเธอ ภาพที่เห็นได้จุดประกายความอยากเป็นนักปกครองที่ดีออกมา คือการที่เธออยากจะทำให้เมืองอัคราบาห์ดีขึ้น ถ้าเป็นจัสมินคนเก่าเวอร์ชันการ์ตูน เธอต้องการเพียงอยากรู้ว่านอกวังนั้นมีอะไร ทว่าเวอร์ชันนี้เธอได้เปลี่ยนไปแล้ว และยังได้รู้อีกว่าการที่พ่อไม่ให้เธออกไปนอกกำแพงวังเพราะไม่ต้องการให้เธอได้รู้ความต้องการของประชาชน ถ้าไม่รู้ก็จะไม่สามารถช่วยพวกเขาเหล่านั้นได้
ไม่เพียงเท่านั้น การออกนอกวังของจัสมินยังมาในรูปแบบของ “ฮีโร” เพราะยามที่เมืองอัคราบาห์ถูกรุกราน จัสมินก็ไม่ทิ้งประชาชน เธอจึงพยายามปกป้องเมืองด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและไม่ยอมให้ตกไปอยู่ในมือของใคร
อย่างไรก็ดี เธอก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องความรักไปเลย จัสมินไม่ได้สนใจแต่เพียงการเมืองจนมองข้ามเรื่องความรัก เธอยังกล้าที่จะปฏิเสธการคลุมถุงชนเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ฟังเสียงหัวใจตัวเองและปล่อยใจไปรักกับอะลาดิน เธอยังเชื่อในรักแท้ และความโชคดีของเธอ ที่อะลาดินคอยช่วยเหลือในทุกความสำเร็จ และเขายังมั่นใจในตัวจัสมินว่า เธอจะเป็นผู้ปกครองที่ดี
สำหรับ กาย ริชชี่ (Guy Ritchie) ผู้กำกับภาพยนตร์ Aladdin (2019) กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงที่มากที่สุดในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือตัวเจ้าหญิงจัสมิน เนื่องจากเขาได้ใส่บทบาทที่มากขึ้นให้กับเธอและยังเพิ่มแรงจูงใจที่ยิ่งใหญ่ให้กับตัวละคร เขายังเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงของเจ้าหญิงจัสมินเวอร์ชั่นนี้จะสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ชมอย่างแน่นอน
“ถ้ามีบางสิ่งที่ต้องเปลี่ยนเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งนั้นควรจะเป็นการมีพลังขึ้นมาของเจ้าหญิงจัสมิน”

กล่าวได้ว่าจัสมินเป็นหนึ่งในตัวละครที่ทำให้เราเห็นว่า สังคมในโลกมีการยอมรับสิทธิ์ของผู้หญิงในฐานะผู้นำมากขึ้น และภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นทั้งตัวสะท้อนสังคมและเป็นอีกหนึ่งตัวกระตุ้นความเป็นผู้นำให้กับคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นคนในวัยใดก็ตาม
ตัวละครจัสมินเกิดขึ้นมาจากการ์ตูนในปี 1992 ต้องยอมรับว่าสมัยนั้นยังไม่ได้มีการเข้ามาพูดถึงสิทธิและเสรีภาพของผู้หญิงมากนักเท่ากับช่วงปี 2019 นี้ แต่ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ในช่วงเวลาที่ผ่านมาผู้หญิงได้มีบทบาทในสังคมมากยิ่งขึ้น และได้มีผู้นำผู้หญิงจากประเทศต่าง ๆ มากขึ้นในทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็น อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) นายกรัฐมนตรีประเทศเยอรมัน ที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2005 หรือ เทเรซา เมย์ (Theresa May) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เมื่อปี 2016 อาจเป็นเพราะด้วยบริบททางสังคมนี้ เลยส่งผลให้ตัวละครจัสมินมีความเป็นผู้นำมากขึ้น มีความยึดมั่นในจุดยืนของตัวเอง เราจึงได้เห็นเธอได้เติบโตขึ้นมา เป็นจัสมินเจ้าหญิงสมัยใหม่ในปี 2019
ข้อมูลจาก
เรื่อง: อนัญญา นิลสำริด (The People Junior)