อาลี ดาอี ตำนานอิหร่านขัดใจพ่อ จบวิศวะแต่หันมาเตะบอล

อาลี ดาอี ตำนานอิหร่านขัดใจพ่อ จบวิศวะแต่หันมาเตะบอล

อาลี ดาอี ตำนานนักเตะทีมชาติอิหร่าน ได้ค้าแข้งกับทีมแถวหน้าของยุโรปอย่าง บาเยิร์น มิวนิก แต่เดิมทีแล้ว พ่อของเขาไม่เห็นด้วยกับการเล่นฟุตบอล ทำให้เขาเรียนวิศวะจบแล้วถึงมาเตะฟุตบอล

ทีมชาติอิหร่านถือเป็นหนึ่งในยอดทีมจากตะวันออกกลาง พวกเขาเคยเป็นแชมป์เอเชียถึงสามสมัยติดต่อกัน (1968, 1972 และ 1976) และได้ไปแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 1978 ก่อนประสบปัญหาการเมืองระหว่างประเทศสืบเนื่องจากการปฏิวัติอิสลามในปี 1979 และการทำสงครามกับอิรัก ทำให้อิหร่านห่างหายจากเวทีฟุตบอลนานาชาติอยู่หลายปี จนกระทั่งเข้าสู่ยุค 1990s อิหร่านได้พัฒนานักเตะฝีเท้าดีรุ่นใหม่ขึ้นมาหลายคน แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถผ่านรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 1990 และ 1994 ได้สำเร็จ แต่ก็ไปได้อันดับสามในการแข่งขันชิงแชมป์เอเชียในปี 1996 และผ่านไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้อีกครั้งในปี 1998 ซึ่งทีมทั้งสองชุดต่างก็มี "อาลี ดาอี" กองหน้าตัวเก่งเป็นกำลังสำคัญ อาลี ดาอี มีสถิติในการทำประตูที่น่าเกรงขามมากในการเล่นให้กับทีมชาติ แต่สมัยนั้นทีมจากเอเชียก็ยังมีชื่อเสียงและมาตรฐานที่ต่ำกว่าลีกยุโรปมาก การที่นักเตะจากเอเชียจะไปค้าแข้งในลีกชั้นนำของโลกอย่างพรีเมียร์ลีก กัลโชซีรีอา ลาลีกา หรือบุนเดสลีกาถือเป็นเรื่องยากมากๆ แต่ดาอีก็สามารถฝ่ากำแพงอุปสรรคเป็นนักเตะเอเชียคนแรกๆ ที่ได้ค้าแข้งกับทีมชั้นนำของโลกอย่าง "บาเยิร์น มิวนิก" อาลี ดาอี เกิดเมื่อ 31 มีนาคม 1969 ในเมืองอาร์เดบิลทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ เขาเติบโตมาพร้อมกับพี่ๆ น้องๆ อีกสี่คน ห้าพี่น้องรักการเล่นฟุตบอลมาก พวกเขาเล่นฟุตบอลข้างถนนจนไปเตะตาโค้ชในพื้นที่ที่ชวนไปร่วมทีมประจำเมืองเพื่อประลองแข้งกับทีมต่างถิ่น แต่ดาอีก็ยังห่างไกลจากการแข่งขันระดับอาชีพมาก จนกระทั่งเขาได้ย้ายไปอยู่กรุงเตหะราน หลังสอบติดคณะวิศวกรรมโลหการที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชารีฟ (Sharif University of Technology) ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดังที่สุดในสาขานี้ของประเทศ การเป็นนักฟุตบอลไม่ใช่สิ่งที่พ่ออยากให้ดาอีเป็น เขาเคยพูดถึงพ่อเอาไว้ว่า "พ่อของผมไม่เห็นด้วยกับการเล่นฟุตบอลระหว่างเรียน เขาไม่อยากให้ผมเล่นฟุตบอลเลยจนกว่าจะจบมัธยมปลาย" แต่แม่ของเขาอยากให้ลูกได้สนุกสนานตามวัย บางครั้งที่เขาออกจากบ้านโดยไม่มีอุปกรณ์ลูกบอลอะไรติดตัวมา แม่ของเขาก็ยังแอบเอามาให้ (Team Melli) เมื่อออกจากบ้านเกิดแล้ว เขาได้ทุ่มเทให้กับการเล่นฟุตบอล ได้ติดทีมมหาวิทยาลัย ทำผลงานได้ดีจนได้ไปเล่นกับทีมทาซิรานี (Taxirani) ในดิวิชั่นสอง ก่อนย้ายไปอยู่กับแบงก์เทจารัต (Bank Tejarat) ในดิวิชั่นหนึ่ง และทำสถิติยิงประตูได้ถึง 27 ลูกจาก 30 นัดในปี 1992 และได้ย้ายไปอยู่กับ "เปอร์ซีโปลิส" (Persipolis) ทีมใหญ่ของอิหร่านที่เขาตามเชียร์มาตั้งแต่เด็กๆ ในปี 1994 สามารถคว้าแชมป์กับทีมได้สำเร็จในฤดูกาล 1995-96 ก่อนย้ายไปอยู่กับอัลซาดด์ในกาตาร์ และสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมในช่วงปลายปีกับรายการเอเชียนคัพ 1996 ด้วยการเป็นดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ ทำประตูได้ 8 ประตู โดยเฉพาะเกมกับเกาหลีใต้ซึ่งอิหร่านขึ้นนำไปก่อนสองครั้ง และเป็นดาอีที่ปลดล็อกเกมที่เสมอกันอยู่ 2-2 ด้วยการซัดคนเดียวสี่ประตู ทำให้อิหร่านชนะไป 6-2 ด้วยฟอร์มที่เตะตาทำให้เขาได้รับโอกาสสำคัญในการค้าแข้งกับทีมในยุโรปในปีต่อมา เริ่มต้นกับ อาร์มีเนียบีเลเฟลด์ ทีมเล็กๆ ที่ขึ้นๆ ลงๆ ดิวิชันสูงสุดของเยอรมนี แต่ปัญหาการจัดตารางการแข่งขันของฟุตบอลทีมชาติในเอเชียที่ไปตรงกับการแข่งของสโมสรในยุโรป ก็ทำให้เขาพลาดการลงเล่นให้กับทีมไปหลายนัด แต่ก็ยังทำประตูได้ 7 ประตู ช่วยให้ทีมหนีการตกชั้นได้สำเร็จ แม้ผลงานจะไม่ได้เปรี้ยงปร้างมากมาย แต่เขาก็ถูกซื้อตัวไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิก ทีมใหญ่อันดับหนึ่งของลีกด้วยค่าตัวสี่ล้านมาร์ก และคว้าแชมป์ได้สำเร็จตั้งแต่ฤดูกาลแรก แม้เขาจะไม่ใช่ตัวเลือกต้นๆ ของทีม แต่ก็มีโอกาสได้เล่นกับเกมใหญ่ๆ อย่างเช่นเกมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในแชมเปียนส์ลีก ทำให้เขาเป็นนักเตะเอเชียคนแรกที่ได้ลงเล่นในการแข่งขันที่ใหญ่ที่สุดในระดับสโมสรของยุโรป ปีต่อมาเขาตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ แฮร์ธา เบอร์ลิน ด้วยหวังว่าจะได้รับโอกาสในการลงเล่นมากขึ้น ซึ่งก็ดีกว่าการอยู่กับบาเยิร์นที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ แต่ก็ยังไม่สามารถเค้นฟอร์มทำประตูได้ระดับเดียวกับที่ทำได้ในทีมชาติ (ในปี 2000 เขาทำประตูให้อิหร่านได้ 20 ประตูจากการลงเล่น 19 นัด แต่กับแฮร์ธา เบอร์ลิน เขาทำได้เพียง 3 ประตูในลีก จากการเล่น 28 นัด) เขาอยู่กับทีมหญิงชราได้สามฤดูกาลก็ย้ายทีมอีกครั้งไปอยู่กับอัลชาบับในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หลังมาอยู่ในตะวันออกกลาง อาลี ดาอี กลับมาทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำอีกครั้ง เขาพยายามเค้นฟอร์มด้วยหวังพาอิหร่านไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายอีกครั้งที่เยอรมนี (2006) หลังจากที่ทีมของเขาพลาดท่าทำไม่สำเร็จในคราวที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน (2002) และนั่นก็คือแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เขาเล่นไปจนอายุ 38 ปี อาลี ดาอี สามารถทำได้สำเร็จตามหวัง อย่างไรก็ดี ผลงานของเขาไม่ได้ดีนักในสายตาแฟนๆ ด้วยอายุที่มาก ความฟิตที่ลดลง จึงมีเสียงเรียกร้องให้เขาเลิกเล่นทีมชาติ แม้จะลาจากทีมชาติแบบไม่สวยเท่าไหร่ แต่ อาลี ดาอี คือตำนานตัวจริงของวงการฟุตบอลอิหร่านและเอเชีย นอกจากนี้แล้วเขายังเป็นเจ้าของสถิติที่นักฟุตบอลระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียโน โรนัลโด, ลีโอเนล เมสซี, เนย์มาร์, เปเล หรือมาราโดนา ก็สู้ไม่ได้ (ถึงตอนนี้) ก็คือสถิติทำประตูสูงสุดในระดับทีมชาติ ซึ่งดาอีสามารถทำได้ถึง 109 ประตู จากการลงเล่น 149 นัดในนามสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน