01 ก.พ. 2565 | 14:00 น.
(ภาพจากสารคดี The Vanishing At The Cecil Hote)
เธอใช้ระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี ในโรงแรมที่เต็มไปด้วยสิ่งผิดปกติ และเผชิญหน้ากับปัญหาที่ถาโถมเข้ามาไม่เว้นแต่ละวัน ในช่วงปี 2007 - 2017 การเผชิญหน้ากับปัญหาด้านความปลอดภัย และการรักษาความปลอดภัยมากมาย เป็นสิ่งที่เธอต้องเจออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ในตลอด 10 ปีที่ฉันทำงานที่นั่น เราต้องโทรฯ แจ้งตำรวจเป็นพัน ๆ ครั้ง” เอมี่กล่าว และในพัน ๆ ครั้งนั้น โดยเฉลี่ยแล้วทางสถานีตำรวจได้รับสายจากทางโรงแรมมากถึง 3 ครั้งต่อวัน ด้วยเรื่องแปลกประหลาดอันน่าเหลือเชื่อ ตั้งแต่การเผาทางเดิน เล่นยา แทงกัน ไปจนถึงการพบศพขึ้นอืดอยู่ภายในห้องพัก ถึงแม้ว่าในระยะเวลาที่เธอดูแลอาณาจักรเล็ก ๆ นี้ เอมี่จะพยายามทำทุกอย่างเท่าที่เธอจะทำได้เพื่อคงสภาพมันไว้อย่างดี แต่ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น มักทำให้คนข้างนอกมองเข้ามาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม รวมไปถึงทฤษฎีสมคบคิดจำนวนมากที่กล่าวหาว่าเธอรู้เห็นกับการตายของเอลิซ่า แลม สิ่งนี้เองที่สุดท้ายกลายเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอตัดสินใจให้สัมภาษณ์กับทางสารคดี เพื่อส่งเสียงถึงความอยุติธรรมที่เธอได้รับตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พลิกโฉมทำกำไร สร้างสองโรงแรมในตึกเดียว ก่อนที่เอมี่จะเริ่มต้นทำงานในโรงแรม เธอไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเธอจะต้องเข้ามารับรู้ถึงเรื่องการจัดการศพ หรือพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพและตำรวจ “นั่นเป็นสิ่งที่เปิดโลกของฉันจริง ๆ” เพราะนั่นไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่เธอเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่เป็นมาโดยตลอดระยะเวลาที่เธอทำงานในโรงแรมแห่งนี้ มีคนตายประมาณ 80 คน ในช่วงที่เธอทำงาน นั่นคือสิ่งที่เธอบอกในสารคดี และด้วยภาพลักษณ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ ทำให้เธอต้องรับมือกับผู้เข้าพักที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แสวงหาเรื่องลึกลับ หรือแม้แต่การวิจารณ์โรงแรมในโซเชียลฯ ในทางที่แย่มากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นที่มีคนกล่าวว่า “โรงแรมเซซิลคือสถานที่ที่ความฝันจะตายลง” สิ่งเหล่านี้ทำให้เอมี่เริ่มมองหาทางออกให้กับโรงแรมแห่งนี้อย่างจริงจัง จนเกิดเป็น สเตย์ออนเมน (Stay on Main) ขึ้นมาในที่สุด “เราพัฒนาคอนเซ็ปต์โรงแรม 2 แห่งในตึกเดียวขึ้นมา” เอมี่กล่าว สถานที่ใหม่ถูกตั้งชื่ออย่างไม่มีเค้าโครงเดิมว่า ‘สเตย์ออนเมน’ ในปี 2011 เพื่อเป็นโฮสเทลวัยรุ่นสำหรับนักเดินทางสมัยใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลบภาพลักษณ์เดิม ๆ ของโรงแรมเซซิล แต่ในขณะเดียวกัน เซซิลก็ยังคงมีอยู่และคงไว้ซึ่งชื่อเดิม เพื่อเป็นที่พักสำหรับผู้พักอาศัยรายเดือนเดิมและแขกคนอื่น ๆ แล้วทั้ง 2 โรงแรมใน 1 ตึก แยกออกจากกันอย่างไร? คำตอบง่าย ๆ ของเอมี่คือการดึงเอา 3 ชั้นของตึกเดิมแยกออกมาเป็น สเตย์ออนเมน อย่างง่าย ๆ ตึกของโรงแรมเซซิลเดิมทั้ง 15 ชั้น ถูกแบ่งสรรการใช้งานอย่างคุ้มค่า โดยชั้น 4 ถึง 6 กลายเป็นสเตย์ออนเมน ที่มีการตกแต่งใหม่ทั้งหมด และชั้น 2 กับ 3 ถูกใช้เป็นชั้นของผู้เช่ารายเดือนเดิม ส่วนชั้นที่เหลืออยู่ยังคงเป็นของโรงแรมเซซิลตามเดิม และสร้างล็อบบี้ที่แตกต่างกัน 2 แห่งในตึกเดียว(ภาพจากสารคดี The Vanishing At The Cecil Hote)
“ฉันรู้สึกเหมือนได้เห็นอนาคตแล้วว่า โรงแรมนี้จะเป็นอย่างไร” เธอกล่าว ผลลัพธ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผู้ที่เข้าพักในสเตย์ออนเมนเริ่มให้การรีวิวในเว็บไซต์ที่ดีขึ้น จนสามารถพลิกวิกฤตการเงินของโรงแรมขึ้นมาได้ในที่สุด “มันแทบจะเป็นช่องทางการหารายได้ ช่วยต่อชีวิตของเราเอาไว้” แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ก่อนที่จะเกิดวิกฤตขึ้นอีกครั้งในปี 2013 เมื่อเกิดคดีเอลิซ่า แลม และคลิปกล้องวงจรปิดในลิฟต์ที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางขึ้น จนทำให้โรงแรมต้องปิดตัวลงอย่างเป็นทางการในปี 2017 เพื่อทำการปรับปรุงครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่เธอทำงานเป็นผู้จัดการทั่วไปอยู่ที่นั่นนั่นเอง ก่อนที่มันจะถูกสภาเมืองลอสแอนเจลิสกำหนดให้กลายเป็นอนุสาวรีย์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม โดยเรียกอาคารนี้ว่า ‘ตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมโรงแรมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ในอเมริกา’ และ ‘ตัวอย่างสถาปัตยกรรมเชิงพาณิชย์สไตล์โบซาร์’ เพื่อพยายามที่จะลบภาพจำเดิมของโรงแรมออกไป แต่ถึงอย่างนั้น แม้ว่าระยะเวลาจะผ่านมาอย่างยาวนาน และมีการปรับปรุงสถานที่เพื่อกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง โรงแรมแห่งนี้ก็ยังคงลบภาพของความน่ากลัวออกจากใจของคนทั่วโลกไม่ได้อย่างหมดจด และยังคงกลายเป็นสถานที่ที่ถูกบอกเล่าถึงเหตุการณ์อันน่ากลัวต่อไปผ่านสารคดี The Vanishing At The Cecil Hotel ของทาง Netfilx และเอมี่ ไพรซ์ ที่ถูกจดจำในฐานะของผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมเซซิล แม้คดีเอลิซ่า แลมจะถูกไขไปแล้วก็ตาม ภาพ: สารคดี The Vanishing At The Cecil Hotel อ้างอิง: สารคดี The Vanishing At The Cecil Hotel https://www.elle.com.au/culture/cecil-hotel-history-24660