แอนดรูว์ การ์ฟิลด์: ไอ้แมงมุมยอดชายนาย Amazing

แอนดรูว์ การ์ฟิลด์: ไอ้แมงมุมยอดชายนาย Amazing
การกลับมารับบทเป็น ‘ปีเตอร์ พาร์คเกอร์’ ใน ‘Spider-Man: No Way Home’ ของ ‘แอนดรูว์ การ์ฟิลด์’ ทำให้เขาโดนยกให้เป็น ‘คนหล่อลวง’ ที่สุดแห่งปี 2021 ที่หลายคนอยากจะมอบรางวัลออสการ์ให้ในความสามารถที่พยายามโกหกคนทั้งโลกมาร่วมปี เนื่องจากต้องเก็บไว้เป็นความลับ แต่นอกเหนือจากการกลับมารับบทเป็นสไปเดอร์แมนแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่าน แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักแสดงที่มากฝีมือและรับบทต่าง ๆ ได้หลากหลาย โดยที่ไม่ได้ยึดติดอยู่กับแนวไหนแนวเดียว อีกทั้งยังโชว์ศักยภาพทางด้านการแสดงละครเวทีจนได้รับรางวัล ‘Tony Awards’ จากเรื่อง ‘Angels in America’ ล่าสุด เขายังได้โชว์ทักษะการร้องเพลงเป็นครั้งแรกใน ‘Tick, Tick... Boom!’ ซึ่งความทุ่มเทของเขาครั้งนี้ทำให้ได้รับรางวัล ‘Golden Globes’ ปี 2021 สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ตลก/เพลง และยังมีรายชื่อรอเข้าชิงอีกหลายสถาบัน นอกจากความสามารถทางการแสดงแล้ว บุคลิกส่วนตัว ความน่ารัก เข้าถึงง่าย ติดดิน และถ่อมตัวของเขาก็ทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของแฟน ๆ เขามักได้รับคำชมว่าเหมือน ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ จาก Comic จริง ๆ มีความ ‘Friendly Neighborhood’ เป็นเพื่อนที่ทุกคนอยากมีไว้สักคน ชีวิตของเขายังมีอีกหลายมุมที่น่าสนใจชนิดที่ใครได้รู้จักเขาแล้ว คงจะพูดว่า นายนี่มัน ‘Amazing’ จริง ๆ รวมพลคนหล่อจากเกาะอังกฤษ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ จัดได้ว่ามีผลงานที่น่าสนใจตั้งแต่การแสดงเรื่องแรกของเขาในเรื่อง ‘Boy A’ (2007)  ที่ทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก ‘British Academy Television Award’ มาได้ จากนั้นเขาก็เริ่มมีลู่ทางในฮอลลีวูดในการรับบทเล็ก ๆ ใน ‘Lions for Lambs’ (2007) และ ‘The Other Boleyn Girl’ (2008) ที่ทำให้เขาได้ประสบการณ์ร่วมแสดงกับนักแสดงฮอลลีวูดชั้นนำมากมาย รวมถึงได้แสดงในหนัง ‘The Imaginarium of Doctor Parnassus’ (2009) ของผู้กำกับสุดติสต์ ‘เทอร์รี่ กิลเลียม’ สิ่งที่น่าสนใจในช่วงชีวิตเริ่มไต่เต้าในวงการของแอนดรูว์คือเขามีเพื่อนที่ล้วนแต่เป็นนักแสดงหนุ่มที่กระหายจะเติบโตในวงการฮอลลีวูดด้วยกันทั้งสิ้น ในช่วงประมาณปี 2008 ‘เอ็ดดี้ เรดเมย์น’ ‘เจมี่ ดอร์แนน’ ‘แอนดรูว์ การ์ฟิลด์’ ‘ทอม สเตอร์ริดจ์’ ‘ชาร์ลี ค็อกซ์’ และ ‘โรเบิร์ต แพตทินสัน’ เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามล่าฝันด้วยกันที่ลอสแอนเจลิส เจมี่กับเอ็ดดี้อาศัยอยู่บ้านเดียวกัน ส่วนคนอื่น ๆ ก็อาศัยอยู่ใกล้ ๆ พวกเขาไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดเพราะว่าอายุไล่เลี่ยกัน และต้องการในสิ่งเดียวกันคือหางานทำ พวกเขามักจะไปออดิชันด้วยกัน และช่วยกันทำเทปออดิชัน รวมถึงไปเที่ยวด้วยกันแบบยกกลุ่มเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยแอนดรูว์ให้สัมภาษณ์กับรายการ ‘The Late Late Show with James Corden’ ว่า “ตอนนั้นพวกเราไม่มีใครดูเจ๋งเลยนะ เราเป็นพวกผู้ชายที่ชอบไป The Standard Hotel บน Sunset Boulevard เพื่อไปเล่นปิงปองแล้วก็สั่งค็อกเทลแก้วเดียวมากินทั้งกลุ่ม เพราะเราจ่ายมากกว่านั้นไม่ไหว แล้วเราก็อยู่ที่นั่น 6 - 7 ชั่วโมง” ด้านเจมี่เสริมว่า “แต่เราก็ต้องทำตามกฎที่ว่าต้องสั่งอาหารด้วยไม่อย่างนั้นพวกเขาจะไล่เราออกไป เราเลยสั่งเบอร์เกอร์มาอันหนึ่งแล้วแบ่งกันกินคนละคำ” แอนดรูว์มีผลงานที่ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงคือเรื่อง ‘Never Let Me Go’ (2010) ที่เขารับบทนำร่วมกับ ‘แครี่ มัลลิแกน’ และ ‘เคียร่า ไนต์ลีย์’ แต่หนังที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในฮอลลีวูดจริง ๆ คือเรื่อง ‘The Social Network’ (2010) รับบทเป็น ‘เอดูอาร์โด เซเวริน’ ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook ซึ่งเขาเล่นได้ดีมาก ๆ จนได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากหลายสำนัก ก่อนจะได้รับบทบาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคือการรับบทเป็นสไปเดอร์แมน สไปเดอร์แมนจากชุดของคุณแม่ “แม่ของผมทำชุดสไปเดอร์แมนจากผ้ากำมะหยี่ให้ตอนอายุ 3 ขวบ มันเป็นชุดที่เจ๋งที่สุดเลย” ความชอบในซูเปอร์ฮีโร่สไปเดอร์แมนของแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เริ่มมาตั้งแต่เขายังเล็ก แม่ของเขาเคยแต่งตัวเขากับพี่ชายเป็นสไปเดอร์แมนและซูเปอร์แมน ซึ่ง ‘เบนจามิน’ พี่ชายที่แก่กว่าเขา 3 ปี แม้จะไม่ได้มาเป็นนักแสดง แต่เขาเป็นคุณหมอทางด้านโรคปอดที่แอนดรูว์ยกให้เขาเป็นฮีโร่ตัวจริง เพราะเขาคือผู้ที่ทำงานหนักและช่วยเหลือผู้คนมาแล้วมากมาย เบื้องหลังการได้รับบทเป็นสไปเดอร์แมน นอกจากฝีมือการแสดงและเคมีที่เข้ากันกับ ‘เอมมา สโตน’ ทำให้เขาเอาชนะนักแสดงหนุ่มคนอื่น ๆ ที่ไปออดิชันบท The Amazing Spider-Man ได้ แอนดรูว์เชื่อว่าเป็นเพราะแม่ของเขาช่วยผลักดัน เพราะว่าพ่อแม่ของเขาได้ส่งรูปสมัยเด็กที่ใส่ชุดสไปเดอร์แมนให้เอเยนต์ของเขาส่งไปให้ผู้กำกับ ‘มาร์ก เวบบ์’ ดูโดยตรงเพื่อโน้มน้าวจิตใจ “ผมคิดว่าเขาคงจะแบบเออ…ไอ้เด็กนี่มันน่ารักดีนะ ฉันคงต้องให้บทมันแล้วละ ซึ่งผมคิดว่าคงไม่มีใครเอารูปตัวเองตอนอายุ 3 ขวบมาออดิชันแบบนี้แล้วครับ” รักสไปเดอร์แมนทั้งตัวและหัวใจ หลังจากที่เขาได้เป็นสไปเดอร์แมนแล้ว เขาตั้งใจเตรียมตัวมารับบทนี้แบบทุ่มสุดตัวโดยไปศึกษาการเคลื่อนไหวของแมงมุมจริง ๆ เพื่อนำมาใช้กับการแสดง ฝึกร่างกายหลายอย่างทั้งโยคะและพิลาทิส เพื่อที่จะแสดงฉากผาดโผนด้วยตัวเองได้ และที่สำคัญคือเขามีทักษะการเล่นยิมนาสติกอยู่แล้ว เพราะสมัยเด็กเคยเป็นนักกีฬา ซึ่งลงแข่งมาแล้วมากมายจนได้อันดับ 3 ระดับภูมิภาคของอังกฤษ เขาเลยได้ฤกษ์ปัดฝุ่นความสามารถนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ในงาน ‘San Diego Comic-Con’ งานใหญ่ประจำปีของเหล่าแฟนคอมิกส์ ผู้ที่ได้เข้าร่วม Hall H กว่า 6 พันคน ในปี 2011 นั้นได้พบกับเซอร์ไพรส์ครั้งใหญ่เมื่อแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ปลอมตัวมาในฐานะแฟนคลับสไปเดอร์แมน สวมชุดไอ้แมงมุมแบบถูก ๆ ที่คนหาซื้อกันมาใส่คอสเพลย์ในวันฮาโลวีน ซึ่งทำให้เขาเนียน ๆ เข้างานมาได้โดยไม่มีใครรู้ จนมาเฉลยเอากลางงาน ทำให้ผู้คนตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ เขาอ่านคำสุนทรพจน์ที่เตรียมมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความตื้นตันจนแทบจะร้องไห้ มือของเขาสั่นไปหมด “นี่น่าจะเป็นวันที่ยอดเยี่ยมที่สุดวันหนึ่งของชีวิตผม ผมอยากมาที่นี่มาตลอดในฐานะแฟนคลับ และผมก็มาแล้วในฐานะแฟน “ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ เป็นแรงบันดาลใจให้ผมรู้สึกแข็งแกร่งขึ้น เขาทำให้ผม แอนดรูว์ กล้าหาญขึ้น เขาให้ความมั่นใจกับผมว่าการทำในสิ่งที่ถูกต้องมันคุ้มค่า คุ้มกับการต่อสู้ คุ้มกับความเจ็บปวด คุ้มกับน้ำตา รอยฟกช้ำ และเลือด... เขาช่วยชีวิต เขาช่วยชีวิตผมไว้ ผมติดหนี้เขามาก ๆ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้อยู่ที่นี่มากอย่างที่คุณนึกไม่ถึงเลยละ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม และขอขอบคุณทุกคนที่อยู่กับผมในวันนี้” คำพูดที่แสนจริงใจของเขาทำให้แฟน ๆ ชื่นชอบกันมาก และรู้ได้ด้วยใจเลยว่านักแสดงคนนี้จะทำทุกอย่างเพื่อรับผิดชอบการเป็นสไปเดอร์แมนฮีโร่ขวัญใจทุก ๆ คน ดูคลิปได้ที่ : https://youtu.be/JMcyclphuNs สำเนียงส่อภาษา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นคนอังกฤษ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เคยทำให้แฟน ๆ ตกใจกันถ้วนหน้า เมื่อเขาพูดสำเนียงอังกฤษ ตอนไปร่วมงานประกาศรางวัลออสการ์ เมื่อปี 2017 และทำให้เป็นกระแสพูดถึงอย่างมากในโลกโซเชียลฯ แฟน ๆ ต่างพากันตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงพูดสำเนียงอังกฤษ เขาเป็นคนอเมริกันไม่ใช่เหรอ? ซึ่งเรื่องนี้ถึงกับมีสื่อหลายสำนักต้องทำบทความเปิดประวัติเขากันเลยว่า แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เป็นคนอังกฤษ แม้ว่าเขาจะมาเกิดที่ลอสแอนเจลิส ได้สัญชาติอเมริกา แต่เขาก็ย้ายกลับไปอยู่อังกฤษตั้งแต่อายุ 3 ขวบ และพอเขาได้มาทำงานที่อเมริกา เขาถึงปรับสำเนียงการพูดให้เป็นอเมริกัน เพื่อรับงานต่าง ๆ เรื่องสำเนียงสุดเซอร์ไพรส์นี้ไม่ใช่แค่แฟน ๆ ที่ตกใจเมื่อได้รู้ความจริง อดีตแฟนสาวอย่าง เอมมา สโตน ก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ ShortList  เมื่อปี 2013 ว่าเธอก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแอนดรูว์เป็นคนอังกฤษ แต่มารู้เอาตอนถ่าย The Amazing Spider-Man จบแล้วทำเอาอึ้งไปเลยเหมือนกัน เพราะว่าตลอดเวลาที่เขาแสดง หรือใช้ชีวิตอยู่ในกองถ่าย เขาพูดสำเนียงอเมริกันมาตลอดจนทุกคนชิน แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ใส่ใจกับเรื่องสำเนียงมาก ๆ เพราะเวลาจะรับบทตัวละครใดที่มีสำเนียงพิเศษ เขาจะพยายามพูดให้เป็นธรรมชาติที่สุด และตั้งใจฝึกกับครูสอนการออกเสียงชื่อดังอย่าง ‘ลิซ ฮิมเมลสตีน’ ที่ผ่านมาเขาเคยแสดงเป็นตัวละครที่มีสำเนียงเฉพาะมาแล้วมากมาย เช่น สำเนียง L.A Timbre ในเรื่อง ‘Lion For Lambs’ และ ‘Under the Silver Lake’ และ ‘99 Homes’ เขาพูดด้วยสำเนียง Blue Collar ชนชั้นแรงงาน ใน ‘Never Let Me Go’ เขาพูดสำเนียงผู้ดีโปแลนด์ และใน ‘The Amazing Spider-Man’ เขาพูดสำเนียงวัยรุ่นนิวยอร์ก ในเรื่อง ‘Doctor Who’ เขาพูดด้วยสำเนียง Southern ในเรื่อง ‘Hacksaw Ridge’ เขาพูดด้วยสำเนียงคนเวอร์จิเนีย ใน ‘The Social Network’ เขาพูดภาษาอังกฤษสำเนียงบราซิล ในเรื่อง ‘Silence’ พูดด้วยสำเนียงโปรตุเกส และเรื่อง ‘The Eyes of Tammy Faye’ พูดสำเนียง Midwestern ร้องเพลงดีจนโดนปารองเท้าใส่ “แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ นายร้องเพลงได้ ฉันไม่ต้องหานักแสดงใหม่แล้ว!”  ‘ลิน-มานูเอล มิแรนด้า’ ตะโกนใส่หลังจากที่เขาดีใจจนปารองเท้าเฉียดหน้าแอนดรูว์ไป เมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงที่แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ไปฝึกเป็นพิเศษกับ ‘ลิซ แคปแลน’ ครูฝึกร้องเพลงชื่อดังเป็นเวลานานนับเดือน เพราะพยายามจะจัดการหาเสียงที่เหมาะสมในการร้องเพลงและเตรียมตัวรับบทหนักในหนังมิวสิคัล ‘Tick, Tick... Boom!’ ที่เล่าเรื่องราวชีวประวัติของ ‘โจนาธาน ลาร์สัน’ เจ้าของบทประพันธ์ละครเวทีเรื่อง ‘Rent’ ผู้ปฏิวัติวงการละครเวทีบรอดเวย์ ผู้จากไปก่อนที่จะได้เห็นความสำเร็จของละครเวทีของตนเอง ลินเชื่อมั่นว่าแอนดรูว์จะร้องเพลงได้ก่อนที่เจ้าตัวจะเชื่อเสียอีก เนื่องจากลินได้ไปชมการแสดงละครเวทีเรื่อง ‘Angels in America’ และเชื่อมั่นในศักยภาพของเขา แต่เขายอมให้แอนดรูว์เรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป และเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับบทนี้ และเขาให้เวลาแอนดรูว์ไปเตรียมตัวและฝึกซ้อมทำเวิร์กช็อปจนกว่าจะรู้สึกว่าใช่ “แต่ละเวิร์กช็อปแอนดรูว์ก็เริ่มร้องมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาสามารถก้าวไปไกลกว่าสิ่งที่เรานึกฝันเอาไว้ ข้อพิสูจน์คือสิ่งที่ปรากฏอยู่ในหนังครับ” ด้านแอนดรูว์เผยว่าเคล็ดลับในการจู่ ๆ ต้องมาร้องเพลงทั้ง ๆ ที่ไม่เคยโชว์เสียงมาก่อน แถมไม่ใช่คนที่จะชอบร้องคาราโอเกะเลยด้วยซ้ำว่า เขาตั้งใจจะร้องในหนังเรื่องนี้โดยไม่จำเป็นต้องร้องเสียงที่ดีที่สุด แต่เหมาะสมที่สุดกับเรื่องและต้องร้องออกมาจากใจ “ผมต้องการอยากจะรู้มาตลอดว่า ผมสามารถร้องเพลงในแบบที่รับใช้เนื้อเรื่องและอยู่ในระดับที่เป็นที่ยอมรับได้หรือไม่ เนื่องจากชายคนนี้ร้องเพลงออกมาจากทุกจิตวิญญาณของเขา เขาร้องออกมาจากข้างใน ร้องออกมาด้วยใจทั้งหมด มันทั้งดื้อรั้นและดุร้าย และเต็มไปด้วยการถูกทอดทิ้ง เขาร้องเพลงเพื่อจิตวิญญาณของอเมริกา” การแสดงเพื่อเยียวยาจิตใจ การได้รับบทใน Tick, Tick... Boom! เขายังรู้สึกว่าการแสดงในเรื่องนี้ทำให้ได้เยียวยาจิตใจของตนเองจากการสูญเสียคุณแม่ไปด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนระหว่างที่เขาถ่ายทำหนังเรื่อง ‘The Eyes of Tammy Faye’ ในปี 2019 และเขาได้ใช้เวลาในการถ่ายทำ Tick, Tick... Boom! เพื่อระลึกถึงผู้ที่จากไปทั้งโจนาธาน ลาร์สัน และคุณแม่ผู้เป็นที่รักยิ่งของเขา “ทั้งจอห์นและแม่ของผมต่างเป็นศิลปิน พวกเขาเป็นนักรบแห่งศิลปะ พวกเขารู้ถึงอำนาจของศิลปะ พวกเขารู้ว่ามันจะทำให้โลกนี้สวยงามขึ้นเมื่อเราได้พบมัน เขาจากไปเร็วเกินไป และหนังเรื่องนี้มันก็เหมือนกับนาฬิกาที่เดินติ๊กต่อกไปเรื่อย ๆ อย่างที่เรารู้สึกในใจอยู่ลึก ๆ ว่า ชีวิตนั้นน่าหวงแหน ชีวิตนั้นแสนสั้น และเราควรอยู่เพื่อกันและกันมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ห่วงใยกันที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมได้ร้องเพลงของโจนาธานที่เขียนไม่เสร็จ ในขณะเดียวกันผมก็ได้ร้องเพลงเพื่อแม่ของผมในเพลงที่ยังไม่เสร็จของเธอ ผมเป็นหนี้จอห์นและเป็นหนี้ต่อลิน-มานูเอล มิแรนด้า ผมติดหนี้ทุกคนที่ทำให้ผมก้าวมาสู่จุดนี้ ที่ผมสามารถเชิดชูผู้คนที่งดงามที่ผมเคยได้รู้จักในชีวิตผ่านทางศิลปะ และใช้มันเพื่อการเยียวยา ใช้มันเพื่อเย็บบาดแผลในใจ เพราะนี่มันคือสิ่งที่พวกเราทำใช่ไหมครับ นี่แหละสิ่งที่พวกเราทำ ” กลับมาเชื่อมสายใย การกลับมารับบทสไปเดอร์แมนของแอนดรูว์ การ์ฟิลด์ และโทบีย์ แมคไกวร์ ใน Spider-Man: No Way Home เป็นที่เรียกเสียงฮือฮาจนโลกตะลึง ถึงขั้นที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม เป็นหนังที่ประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ที่สุดของปี 2021 และเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดนับตั้งแต่ยุคโควิด-19 โดยทำรายได้ไปกว่า 1,500 ล้านดอลลาร์ โดยที่ไม่ต้องพึ่งตลาดใหญ่อย่างประเทศจีน แม้ว่าการที่ในอดีต Sony เปลี่ยนทิศทางการสร้างหนังสไปเดอร์แมน ทำให้ The Amazing Spider-Man ของเขาจบลงที่แค่ 2 ภาค แม้ว่าจะเคยมีการพูดถึงการสร้างภาคอื่น ๆ เอาไว้แล้ว แต่ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ตัวละครของเขาได้กลับมา แต่ยังเป็นการสานต่อเรื่องราวที่ยังค้างคาในตัวละครปีเตอร์ พาร์คเกอร์ของเขาที่ต้องสูญเสียเกว็น สเตซี่ (เอมมา สโตน) แฟนสาวไป ซึ่งในภาคนี้เขาเหมือนได้รับการไถ่โทษในสิ่งที่ยังรู้สึกผิดอยู่ในใจให้บรรเทาลง และยังเปิดโอกาสความเป็นไปได้ที่เขาอาจจะกลับมารับบทอีกในอนาคต แต่สิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจกลับมาแสดงเป็นครั้งที่สาม นอกเหนือจากการที่จะได้พบกับโทบีย์ แมคไกวร์ ซึ่งเป็นไอดอลของเขาและน้องเล็กทอม ฮอลแลนด์ ที่เขาชื่นชมผลงานแล้ว ไอเดียหนึ่งที่ซื้อใจแอนดรูว์ การ์ฟิลด์คือ การเป็น ‘ที่ปรึกษา’ (Mentorship) โดยที่ไม่ใช่แค่นำตัวละครของเขามาสวัสดีผู้ชมแล้วก็จากไป “เราพูดคุยเยอะมากเกี่ยวกับการเป็นที่ปรึกษา เราพูดเกี่ยวกับการเป็นพี่น้องกัน มันเป็นอย่างไรถ้ามีพี่ชาย น้องชาย และพี่คนกลาง มันเป็นสิ่งที่ได้เห็นคนที่คุณรักได้เดินในเส้นทางที่คุณได้เดินมาแล้ว และคุณไม่รู้ว่ามันจะนำไปสู่เส้นทางไหน แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องไป” แอนดรูว์ดีใจที่ได้กลับมาเป็นอย่างยิ่ง และเปิดเผยว่าพวกเขาสไปเดอร์แมนทั้ง 3 คนเข้ากันได้อย่างดีแม้ว่าเขาจะมาถ่ายทำแค่ 2 สัปดาห์ แต่พวกเขาก็แชร์ประสบการณ์กันเยอะมากทั้งเรื่องการสวมใส่ชุดสไปเดอร์แมน ซึ่งทันทีที่พวกเขาใส่ชุดครบกัน 3 คน พวกเขาก็มายืนชี้นิ้วกันเหมือนในมีมที่แพร่หลายในอินเทอร์เน็ต และทอม ฮอลแลนด์อิจฉาที่เขามีชุดที่สามารถถอดถุงมือได้ในขณะที่ตัวเองต้องใช้จมูกกดหากจำเป็นต้องใช้มือถือ แอนดรูว์เผยว่าเขามีความสุขมาก ๆ ที่ได้มีทั้งพี่ชายและน้องชายในเวลาเดียวกัน “มีประโยคหนึ่งที่ผมด้นสดในหนัง คือตอนที่ผมมองไปยังทั้งโทบีย์และทอมแล้วบอกพวกเขาว่า ผมรักพวกเขา นั่นเพราะว่าผมรู้สึกรักพวกเขาจริง ๆ ครับ “ผมรู้สึกซึ้งใจ ผมซึ้งใจมาก ๆ ที่ผมได้สามารถกลับมาขมวดปมที่เคยทิ้งเอาไว้ ผมรักตัวละครนี้ และผมขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ผมได้กลับมาทำงานกับนักแสดงที่น่าทึ่ง ผู้กำกับที่น่าทึ่ง และการร่วมงานกับ Marvel และ Sony มันเป็นความสนุก และมีความรู้สึกที่เป็นการปิดฉากให้กับผม คำตอบที่ยังไม่ได้สะสางอีกมากมายสำหรับตัวละครปีเตอร์ของผมที่เราทิ้งเอาไว้ ผมได้กลับมาเพื่อที่จะเยียวยาเขา อีกทั้งยังได้ช่วยสนับสนุนปีเตอร์ของทอม และให้เกียรติตัวละครของเขาได้ปิดไตรภาคอย่างสมบูรณ์ โดยที่ไม่ทำให้เรื่องไขว้เขว หรือแย่งชิงความสนใจ” แอนดรูว์เผยว่าการที่มี 3 สไปเดอร์แมนรวมตัวกันนั้นยังเป็นการช่วยกันส่งต่อสายสัมพันธ์เพื่อที่ตัวละครปีเตอร์ พาร์คเกอร์ และสไปเดอร์แมน จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป “ตัวละครนี้เป็นคนที่แยกความรู้สึกทางจิตใจของเขาออกจากความรู้สึกทางร่างกาย แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากความเปลี่ยวเหงาของเขาถูกขยายเปิดขึ้นและคุณได้เรียนรู้ว่าคุณไม่เคยอยู่คนเดียว ยังมีพี่น้องของคุณที่ผ่านประสบการณ์นี้มาเหมือนกัน มันเป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ทางจิตวิญญาณเลย และจากนั้นเราก็รีดเค้นเอาความสนุกจากมันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ก้าวต่อไปของการแสดง แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ ยังคงมีผลงานที่น่าจับตาต่อไป เขามีโปรเจกต์มินิซีรีส์ ‘Under the Banner of Heaven’ ที่แสดงร่วมกับ ‘เดซี่ เอ็ดการ์-โจนส์’ และ ‘แซม เวิร์ธธิงตัน’ ที่เล่าเรื่องราวของนักสืบในนิกายมอร์มอนที่สืบสวนคดีฆาตกรรมที่พัวพันกับคณะสงฆ์ในนิกาย และซีรีส์ ‘Brideshead Revisited’ เวอร์ชันใหม่ซึ่งกำกับโดย ‘ลูก้า กัวดานีโน’ ที่มีนักแสดงชั้นนำมากมายร่วมแสดงทั้ง ‘โจ อัลวิน’ ‘รูนี่ มาร่า’ และมีข่าวว่ากำลังทาบทาม ‘เรล์ฟ ไฟนส์’ และ ‘เคต แบลนเชตต์’ มาร่วมแสดง ผู้เขียน: ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้ ภาพ:  https://www.imdb.com/title/tt8721424/ https://www.imdb.com/title/tt0948470/  อ้างอิง: https://www.indiewire.com/video/andrew-garfield-lin-manuel-miranda-tick-tick-boom-interview-1234682298/  https://www.whatsonstage.com/london-theatre/news/how-andrew-garfield-tick-tick-boom_55384.html  “I Hope This Grief Stays With Me” - Andrew Garfield Fights Back Tears And Celebrates His Mom  https://youtu.be/_u_TswLQ4ws  Andrew Garfield & Jamie Dornan Go Way Back  https://youtu.be/0RqPI3Tjp5A  https://www.townandcountrymag.com/leisure/arts-and-culture/a38347386/brideshead-revisited-new-bbc-series-cast-trailer-release-date/  https://variety.com/2022/film/news/andrew-garfield-spider-man-no-way-home-1235148458/