ยิ้มกว้างเห็นฟัน ความขบขันและเจ้าเล่ห์ เสน่ห์ของ ‘แบงค์ ธิติ’ กับความสนุกในอาชีพนักแสดง

ยิ้มกว้างเห็นฟัน ความขบขันและเจ้าเล่ห์ เสน่ห์ของ ‘แบงค์ ธิติ’ กับความสนุกในอาชีพนักแสดง
กลับมาขึ้นจอภาพยนตร์อีกครั้งสำหรับ แบงค์ ธิติ มหาโยธารักษ์ นักแสดงหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มสดใสที่หลาย ๆ คนคุ้นหน้าค่าตาจากหลาย ๆ บทบาท ทั้งบทบาท ‘นน’ จากซีรีส์ ‘ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ซีซั่น 2’ บท ‘ไท’ จากซีรีส์ ‘รักฉุดใจนายฉุกเฉิน’ และบท ‘ป๋อง’ จากภาพยนตร์เรื่อง ‘เมย์ไหน..ไฟแรงเฟร่อ’  ซึ่งล่าสุดแบงค์ก็ได้รับบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง ‘อ้าย..คนหล่อลวง’ โดยแสดงเป็น ‘เพชร’ หมาป่าหนุ่มที่หวังตะครุบแกะสาวใหญ่เพื่อปอกลอกเอาเงิน ด้วยรอยยิ้มกว้าง หวานหยดกระชากใจและคำพูดรื่นหูที่ท่องไว้เตรียมหลอกสาวจนจำได้ เรียกได้ว่าเป็นบทบาทสุดเจ้าเล่ห์ที่ ‘หิน’ สำหรับแบงค์อยู่เหมือนกันเพราะเจ้าตัวบอกว่าเกิดมาทั้งชีวิตยังไม่เคยหลอกใครหรือสาวคนไหนมาก่อน วันนี้ The People ชวนแบงค์มานั่งคุยถึงตัวตน ความชอบของเขา และเสน่ห์ของการแสดงที่ต้องเรียนรู้ชีวิตจริงจากบทบาทที่เล่น   The People : อะไรคือเสน่ห์ของการแสดง แบงค์ : สำหรับผมเสน่ห์ของการแสดงคือการที่เราได้เข้าไปศึกษาคาแรกเตอร์แต่ละตัวในแต่ละเรื่องที่มันแตกต่างกันออกไป แล้วก็เรื่องของการที่เราได้ไป explore ความรู้สึกอารมณ์ต่าง ๆ สิ่งที่ตัวละครคิด สิ่งที่ตัวละคร react ออกมา หรือว่าเรื่องราวในชีวิตก่อนที่จะเป็นตัวละครนั้น ๆ ในจอที่ทุกคนจะได้เห็น    The People : มีวิธีเข้าไปสำรวจความคิดของตัวละครอย่างไร แบงค์ : ก็อย่างเช่นถ้าเกิดเป็นตัวละครที่ไกลตัวเรา ผมยกตัวอย่างเรื่อง ‘My Ambulance รักฉุดใจนายฉุกเฉิน’ คือตัวละครของ ‘ไท’ ตอนนั้นที่ผมรับบทก็จะเป็นตัวที่ค่อนข้างจะไกลตัวมาก ๆ เพราะว่าในชีวิตจริงเราอยู่กับครอบครัว เรามีพ่อแม่ มีน้องสาว ส่วนครอบครัวของไทเขาสูญเสียทั้งพ่อแม่ แล้วก็เพิ่งจะสูญเสียน้องสาว คือตัวไทจะเป็นตัวที่ไม่หลงเหลือคนที่เป็นครอบครัวอยู่เลยในชีวิตนี้ เราก็ไปรีเสิร์ชว่าการที่เราสูญเสียคนที่เรารักไปมันจะมีความรู้สึกยังไง หรือว่าการที่เราจะต้องอยู่คนเดียวเราจะต้องใช้ชีวิตอยู่แบบไหน ความรู้สึกตอนนั้นจะเป็นยังไง การโดนพรากสิ่งที่เรารักไป มันจะเป็นยังไงถ้าเกิดเราสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไปจริง ๆ จะมีการ workshop การจินตนาการถึงความรู้สึกนั้น ๆ และเชื่อในสิ่งที่เราจินตนาการไว้    The People : สิ่งที่ได้จากการสวมบทในแต่ละตัวละคร แบงค์ : ได้หมดเลยนะครับ มันเป็นเหมือนเราได้ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มจากการที่เราไม่ต้องลงมือทำในชีวิตจริง อย่างเช่นเราเห็นสิ่งที่สำคัญและสิ่งที่มีค่าก็ต่อเมื่อสูญเสียมันไป ผมไม่เคยสูญเสียน้องสาว แต่ตัวละครไทสูญเสียน้องสาว เราก็ได้เรียนรู้จากเขาว่าเวลาสูญเสียคนที่เรารักไปเราจะรู้สึกแย่แค่ไหน แล้วเราควรที่จะทำยังไงในตอนที่เขามีชีวิตอยู่ เราควรที่จะดูแลเขาเป็นอย่างดี จริง ๆ แต่ละตัวละครก็มีเรื่องราวที่สอนแตกต่างกันออกไป มันก็เป็นเหมือนเราได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้นจากตัวละครต่าง ๆ    The People : ถ้าวันหนึ่งต้องเจอตัวละครแบบ ‘ไท’ ที่มีบาดแผลทางจิตใจ คิดว่าเราเยียวยาเขาได้อย่างไรบ้าง แบงค์ : เออ ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยนะ ผมว่าจริง ๆ สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการรับฟัง คนประเภทไทเขาแค่ต้องการคนที่เข้าใจในการสูญเสียของเขา แล้วพร้อมที่จะรับฟังปัญหาของเขา คือถ้าเกิดเราไปพูดว่า ‘ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น’ เขาอาจจะไม่ได้ take คำพูดพวกนั้น อาจจะเป็นการที่เราอยู่ข้าง ๆ เขา แล้วก็รอรับฟังเขาตลอด น่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยเขาได้    ยิ้มกว้างเห็นฟัน ความขบขันและเจ้าเล่ห์ เสน่ห์ของ ‘แบงค์ ธิติ’ กับความสนุกในอาชีพนักแสดง   The People : ตั้งแต่เข้าวงการมาคิดว่าหนังหรือละครไทยเปลี่ยนไปบ้างไหม แบงค์ : ก็เปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ หมายถึงว่ามันก็จะมีตามยุคสมัยของมัน ช่วงนี้คนเขาจะชื่นชอบเรื่องของการเป็นคู่จิ้นใช่ไหม มันก็จะมีหลากหลายกันออกไป ผมรู้สึกว่ามันก็ดีนะที่วงการบันเทิงของไทยเราก็เปิดกว้างที่จะมีหนังหลากหลายรูปแบบ มีความรักหลากหลายรูปแบบให้เราได้เห็นกัน    The People : คิดว่าวงการภาพยนตร์ไทยยังขาดเรื่องอะไร แบงค์ : อาจจะเป็นเรื่องของต้นทุนในการทำ แต่ว่าจะให้ไปเปรียบเทียบมันก็คงไม่ได้ เพราะว่าพอเทียบกับเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง ฮอลลีวูด วิธีการทำงานหรือว่าอะไรของเขามันก็ค่อนข้างที่จะแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของต้นทุนหรือว่าเงินที่นักแสดงเขาได้รับในแต่ละเรื่องที่เขาเล่น แล้วก็ช่วงระยะเวลาการถ่ายทำซึ่งผมก็เคยไปอ่านมาว่าหนังฮอลลีวูดเวลาเขาถ่ายทำ ตัวนักแสดงเขาจะยกเวลาทั้งชีวิตของเขาให้การทำเรื่องนั้นเลยเป็นระยะเวลากี่เดือน กี่ปีก็ว่าไป ซึ่งวงการของไทยเราก็อาจจะยังขาดสิ่งนี้อยู่ เพราะว่าบางทีนักแสดงเรามันมีงานหลากหลายที่เข้ามาให้ทำ มีบางคนอาจจะถ่ายหนังอยู่ด้วยและถ่ายละครอยู่ด้วย ซึ่งก็จะมีการโฟกัสที่แบ่งจุดกันไป  แล้วก็เรื่องของเงินทุนการสนับสนุนวงการภาพยนตร์ด้วย คือผมรู้สึกว่าพอต่างประเทศเขามีการสนับสนุนเลยทำให้เขาสามารถสร้างผลงานที่มันยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ เวลาเราดูเราจะรู้สึกว่า เฮ้ย... โห หนังเรื่องนี้ CG ดีมากเลย ฉากแต่ละฉากคือเรารู้ว่าหนังเขาใช้เงินทุนลงไปในการทำเยอะมาก ซึ่งวงการไทยเราอาจจะขาดจุดนี้อยู่ ขาดการสนับสนุน ส่วนตัวผมมองว่าวงการภาพยนตร์ไทยมีศักยภาพที่จะทำให้ถึงจุดนั้นได้ถ้าเกิดว่ามีการสนับสนุนจากทุกภาคและทุกส่วนอย่างดี    The People : ปกติเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้วไหม หนังเรื่องไหนเป็นเรื่องโปรดในดวงใจ แบงค์ : ชอบดูหนังครับ ผมยกตัวอย่างเรื่องที่ผมชอบที่สุดเลยแล้วกัน มันอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องที่ acting หรือว่าเป็นเรื่องราวซับซ้อนอะไรมาก ผมชอบหนังเรื่อง ‘The Notebook’ (2004) มันเป็นเรื่องราวที่เล่าเกี่ยวกับความรักที่เป็นความรักในจินตนาการของหลาย ๆ คนที่มองว่าความรักมันคือสิ่งที่อยู่กับเรา ในหนังเรื่องนี้บางคนอาจจะมองว่ามันหวานเกินไป หรือมันดูเป็นความรักที่เพอร์เฟ็กต์เกินไป คือผมก็ไม่รู้นะว่าคนอื่นมองยังไง แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่อยู่ในดวงใจเรา แล้วเราก็ชื่นชอบนักแสดงในหนังด้วย ผมชอบ Ryan Gosling    The People : เวลาดูหนังเคยเอาความเป็นนักแสดงไปจับเพื่อเรียนรู้จากตัวละครไหม แบงค์ : ทุกเรื่อง ผมจะคอยดูว่านักแสดงเขาทำงานยังไง แต่ว่าบางทีเราอาจจะไม่ได้รู้ process ที่แท้จริง เราแค่ดูว่าการสื่อสารอารมณ์ของเขา วิธีการต่าง ๆ ที่เขาใช้ในหนัง ผมอาจจะใช้คำเปรียบเทียบง่าย ๆ เลยการที่เราดูนักแสดงคนเดิม เราดู 2 เรื่องเพื่อเปรียบเทียบกัน เราก็จะเห็นว่าคาแรกเตอร์เขาจะเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดเลยว่า เช่น Ryan Gosling ไปเล่นใน ‘La La Land’ (2016) เขาก็จะเป็น Sebastian ที่แตกต่างจากที่เขาเล่นในเรื่อง The Notebook มาก ๆ คือเราจะคอยสังเกตและคอยจับการสื่อสารอารมณ์ ความรู้สึก การแสดงระหว่างตัวละครในเรื่อง   ยิ้มกว้างเห็นฟัน ความขบขันและเจ้าเล่ห์ เสน่ห์ของ ‘แบงค์ ธิติ’ กับความสนุกในอาชีพนักแสดง   The People : ช่วงนี้มีงานอดิเรกอะไรเป็นพิเศษไหม แบงค์ : ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเวลาว่างทำงานอดิเรกเลย (หัวเราะ) แต่ว่าถ้าเกิดในช่วงเวลาว่างผมก็จะมีอ่านหนังสือบ้าง แล้วก็ฝึกซ้อมเปียโน จริง ๆ ก็ไม่ใหม่หรอก เป็นสิ่งเก่าที่เราเอากลับมาทำใหม่    The People : เป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้วหรือเปล่า แบงค์ : จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบอ่าน คือเราไม่ได้เป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสืออยู่ตลอด แต่ว่าเราอ่านเฉพาะเวลาเราสนใจเรื่องอะไรเราก็จะหาทางศึกษามัน ผมเป็นคนที่พยายามหาความรู้ บางอย่างที่เราไม่สามารถเอาตัวเองเข้าไปอยู่จุดนั้นได้ หรือไปประสบด้วยตัวเองไม่ได้ ผมว่าการเลือกอ่านหนังสือก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับผม    The People : เรื่องไหนที่อ่านมาแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ แบงค์ : ผมจะเลือกสิ่งที่สนใจก่อนแล้วค่อยไปหาหนังสือที่อยากอ่าน อย่างเช่นตอนนี้ผมสนใจเรื่องธุรกิจ ผมก็พยายามศึกษาว่ามันมี process การทำงานยังไงบ้าง วิธีการคำนวณของ Startup มันเป็นยังไงบ้าง แล้วก็วิธีการคำนวณ cost คำนวณต้นทุนนู่นนี่หลากหลายอย่าง มันมีวิธีหรือว่ามันมีอะไรที่เราต้องคอยคำนึงถึง วิธีการคิด วิธีการพูดคุย วิธีการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้า หรือว่าการเลือก target มันก็จะทำให้เราได้รู้สิ่งต่าง ๆ พวกนี้ที่ในมหา’ลัยอาจจะมีสอนแหละ ถ้าเราเลือกลงเรียนบริหาร แต่ผมเรียนนิเทศศาสตร์ไง มันก็ถือเป็นการหาความรู้เพิ่มเติมจากการอ่าน   The People : ความยากง่ายระหว่างการแสดงละครกับแสดงภาพยนตร์? แบงค์ : เรียกว่ามันมีเสน่ห์คนละแบบดีกว่า ละครมันจะอยู่บนจอโทรทัศน์ที่คนดูบางทีเขาอาจจะทำอย่างอื่นไปด้วยแล้วก็ดูละครไปด้วย แต่กับหนังมันจะเป็นการที่คนดูเขาซื้อตั๋วเพื่อเข้าไปนั่งดู ฉะนั้นคนที่อยู่ในโรงก็จะ concentrate มากกว่าคนที่ทำกิจกรรมอื่นกับดูไปด้วย มันค่อนข้างที่จะแตกต่างกันตรงที่ว่าเรื่องของการสื่อสาร แล้วก็ action ของเราใน movement ต่าง ๆ หรือว่าในการแสดงออก ถ้าถามว่าอันไหนยากกว่ากัน จริง ๆ มันก็ยากหมด เพราะทุกอย่างมันอยู่กับความกดดันของเราทั้งหมดเลย  เราอยากจะทำผลงานทุกอย่างที่ได้รับมาออกมาให้ดีที่สุด เราอยากจะทำผลงานดี ๆ มาเพื่อจะให้แฟน ๆ เราที่คอยติดตามอยู่ได้รับผลงานที่ดีจากเรา ซึ่งตอนนี้ผมว่าทำหนังมันก็ยาก เพราะว่าหนังเขาใช้กล้องเดียวในการถ่ายทำ แล้วละครมันก็ยากตรงที่ตอนนี้ผมได้รับเป็นละครบู๊ด้วย มันก็เป็นสิ่งใหม่สำหรับผม    The People : นิยามความสนุกตามฉบับของคุณคืออะไร แบงค์ : ความสนุกของผมคือการที่เราได้สัมผัสมัน อย่างเช่นเราได้ไปสัมผัสความตื่นเต้นตอนที่เราจะกระโดดบันจีจัมพ์ การที่เราไปสัมผัสความรู้สึกที่เราไม่เคยได้รับมาก่อนอย่างเช่นการกระโดด skydrive เราจะรู้สึกว่าตรงนั้นแหละคือความสนุกของเรา แล้วก็การที่เราได้ไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราอยากทำ การได้ไปท่องเที่ยว ไปเจอโลก ไปใช้ชีวิต ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่สนุกสำหรับผม เช่น ไปเล่นสโนว์บอร์ด หรือว่าไปเที่ยวต่างประเทศในที่ที่เราไม่เคยไป เราได้ไปเจอสิ่งใหม่ ๆ เราได้ไปสัมผัสกับความรู้สึก แล้วก็สัมผัสกับผู้คน ไม่ได้เอามือไปสัมผัสเขานะ (หัวเราะ) หมายถึงว่าไปสัมผัสกับความรู้สึกที่เราได้เจอกับผู้คนมากมาย    ยิ้มกว้างเห็นฟัน ความขบขันและเจ้าเล่ห์ เสน่ห์ของ ‘แบงค์ ธิติ’ กับความสนุกในอาชีพนักแสดง   The People : บทบาท ‘เพชร’ ใน ‘อ้าย..คนหล่อลวง’ สะท้อนตัวตนของแบงค์บ้างไหม อย่างไร แบงค์ : จริง ๆ มันไม่ได้ represent ตัวตนของผมนะ เพราะว่าตัว ‘เพชร’ เขาจะใช้เรื่องความรักเป็นเครื่องมือในการหลอกเพื่อหวังผลประโยชน์จากคนอื่น ซึ่งสำหรับผม พอเราไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นมาก่อน และเราไม่เคยคิดว่าจะทำ เราไม่ได้เป็นแก๊ง 18 มงกุฎหรือว่าแก๊งต้มตุ๋นจะไปหลอกเอาเงินใคร  เราก็ต้องดูหนังเรื่องอื่นเพื่อศึกษาคนแบบนี้ ดูพฤติกรรมของคนที่เป็นแบบนี้ ก็จะมีการไปศึกษาทางอื่นด้วย เพราะว่าในยุคปัจจุบันมันมีหลากหลายมากเลย ผมเคยเห็นในคอมเมนต์หรือโพสต์ว่าโดนผู้ชายหลอกแล้วก็ทิ้งไป อย่างเช่นคนใกล้ตัวผมก็มี โดนผู้ชายมาแอ๊วแล้วก็ขอให้ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ให้ แล้วสุดท้ายเขาก็หนีไป ผมก็ไปศึกษาจากคนพวกนี้แหละว่าเขาทำยังไง วิธีการที่เขาเข้ามาเขาเข้ามาในรูปแบบไหน แล้วเพราะอะไรถึงยอมให้เขาไป  เราก็จะเก็บสิ่งนั้นมาใช้กับตัวเราในการแสดง    The People : บทบาทแบบไหนที่อยากจะเล่นในอนาคต แบงค์ : โห มีเยอะเลยครับ ถ้าเกิดเป็นตอนนี้ผมอยากเล่นบทที่ร่างกายเป็นผมอายุเท่านี้แหละ 24 ปี แต่ว่าสมองข้างใน วิธีการทำงานทั้งหมดกลายเป็นเด็ก เราอยากลองเล่นเป็นเด็กทารก อาจจะเพราะช่วงนี้ผมดูคลิปวิดีโอพวกน้องเป่าเปา เป่าเป้ย (ลูกกุ๊บกิ๊บ - บี้) หรือเดมี่ (ลูกลิเดีย - แมทธิว) ค่อนข้างบ่อย แล้วผมรู้สึกว่าเด็ก ๆ เขาจะมีเสน่ห์เป็นของตัวเอง  เพิ่งเจอใบไม้ครั้งแรก เพิ่งไปว่ายน้ำครั้งแรก การที่เท้าสัมผัสน้ำครั้งแรก การที่เท้าเขาได้เหยียบทรายครั้งแรก  แววตาเขาจะรู้สึกสงสัยตลอดเวลาว่าสิ่งนี้คืออะไร นี่คืออะไร ๆๆ ทำแบบนี้ได้ไหม ลองผิดลองถูก มันก็เป็นเสน่ห์ที่ผมสนใจในตอนนี้ที่อยากจะลองเล่นดู    The People : คิดว่าตัวคุณในวัย 24 ปีมีความเป็นเด็กอยู่ในตัวมากน้อยแค่ไหน แบงค์ : คิดว่ามี แต่ว่าความเป็นเด็กผมจะอยู่ในพื้นที่ comfort zone ของผม เวลาผมไปข้างนอกก็คงไม่ได้ทำตัวเป็นเด็กเท่าไร แต่ก็เวลากลับไปอยู่คอนโดฯ หรือว่าอยู่กับครอบครัว ผมก็ยังรู้สึกว่าผมก็เป็นเด็กชายธิติคนหนึ่งที่ยังอยากได้รับความรักจากครอบครัวอยู่ ก็มีเหนื่อยบ้าง มีท้อบ้าง ก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่งอยู่    The People : คิดว่าภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้มีเสน่ห์อย่างไรบ้าง แบงค์ : เสน่ห์ของมันคือการมอบความสุข ผมรู้สึกว่าการที่มีภาพยนตร์ที่เป็นคอมเมดี้หรือโรแมนติกอะไรแบบนี้ แล้วพอเป็นเรื่อง ‘อ้าย..คนหล่อลวง’ ผมรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ทำให้คนคลายเครียด ผมคิดว่าถ้าคนได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ก็อาจจะทำให้เขาที่เจอเรื่องเครียด ๆ มาตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ได้ยิ้มได้ หัวเราะได้ มีความสุขไปกับหนังที่เราทำออกมา ผมก็เลยมองว่าคอมเมดี้โรแมนติกมันคือความสุข    The People : อยากฝากอะไรถึงเป็นแฟนที่รอติดตามผลงานไหม แบงค์ : ฝากหนังแล้วกันครับ (หัวเราะ) ก็อยากจะฝากให้ทุกคนได้มาชมภาพยนตร์เรื่อง ‘อ้าย..คนหล่อลวง’ เริ่มฉายวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2563 ทุกโรงภาพยนตร์ ผมเชื่อว่าทุกคนจะสนุกไปกับภาพยนตร์ของเรา เพราะว่าระหว่างถ่ายทำทั้งผม ทั้งใบเฟิร์น ทั้งพี่ณเดชน์ ทั้งพี่แหม่ม ทั้งพี่เผือก ทุกคนต่างมีความสุขทุกครั้งที่เราได้เข้าซีนด้วยกัน แล้วก็สนุกกับมัน สนุกกับการที่เราได้เล่นเป็นคาแรกเตอร์ต่าง ๆ เพราะว่าเราเห็นว่าปลายทางคนที่รอดูภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความสุขไปกับพวกเราด้วย แล้วผมก็อยากจะฝากให้ทุกคนชวนคนอื่นไปดูด้วยกัน เพราะว่ายิ่งอยู่ด้วยกันเยอะ ๆ มันก็ยิ่งสนุกกว่าเดิม ก็อยากจะฝากขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามและคอยสนับสนุนมาตลอด ก็หวังว่าจะอยู่แล้วคอยดูผลงานที่ผมจะตั้งใจทำให้คนดูตลอดไป   เรื่อง : จิรภิญญา สมเทพ ภาพ : ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม