​เบน อัฟเฟล็ค: ฮีโร่ผิดที่ผิดเวลา จาก Daredevil ถึง Batman

​เบน อัฟเฟล็ค: ฮีโร่ผิดที่ผิดเวลา จาก Daredevil ถึง Batman
“เราทุกคนมักจะมีสิ่งหนึ่งจากช่วงชีวิตวัยเด็กที่จำได้ไม่ลืมและติดอยู่กับเรามาตลอด และเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งนั้นของผมครับ “จริง ๆ ผมไม่อยากให้ใครทำเรื่องนี้เลย  เพราะว่าผมกลัวว่าเขาจะทำออกมาแตกต่างจากในหนังคอมิกและทำมันพัง” ​เบน อัฟเฟล็ค (Ben Afleck) กล่าวถึงเหตุผลจริง ๆ ที่ยอมรับแสดงบท Daredevil (2003) ซูเปอร์ฮีโร่ปีศาจแดงที่กลายเป็นเหมือนจุดด่างพร้อยในการทำงานของเขาและถูกนำมาล้อเลียนถึงทุกวันนี้ ที่ผ่านมาหลายคนเข้าใจผิดไปว่าอัฟเฟล็คยอมรับงานเพราะถูกหลอกด้วยอะไรบางอย่าง แต่ความจริงแล้วเขาเลือกที่จะเข้ามาสู่โปรเจกต์นี้ด้วยตัวเอง และมาด้วยความรักอันเปี่ยมล้นที่มีให้ต่อหนังสือคอมิกที่เขาอ่านตั้งแต่เด็ก    ความล้มเหลวจากการเป็นฮีโร่ครั้งแรกไม่ทำให้เขาถอดใจ เขาฮึดสู้ตัดสินใจรับบทฮีโร่อีกครั้งกับบทแบทแมน ใน Batman v Superman: Dawn of Justice (2016) ครั้งนี้แม้ว่าเขาจะเป็นอัศวินรัตติกาลที่ได้ใจแฟน ๆ แต่หนังได้รับคำวิจารณ์แบบสาปส่ง และด้วยปัญหาส่วนตัวหลายอย่างทำให้เขาตัดสินใจแขวนผ้าคลุมค้างคาวเอาไว้แค่นี้  หรือว่าจริง ๆ แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ เบน อัฟเฟล็ค เล่นเป็นฮีโร่ไม่ได้ แต่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะบังเอิญเขาได้มาเป็นฮีโร่อย่าง “ผิดที่ผิดเวลา” มากกว่า   ฮีโร่ตัวแดง แผลงฤทธิ์ ​ปี 2001 มีการคัดเลือกนักแสดงชายจากทั่วฮอลลีวูดให้มารับบทซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลตัวนี้ซึ่งในตอนนั้นสตูดิโอ 20th Century Fox ผู้ถือลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายวาดฝันเอาไว้อย่างดีว่าหนังน่าจะดังเปรี้ยงและสร้างแฟรนไชส์ใหม่ขึ้นมาได้   วิน ดีเซล พระเอกนักบู๊ที่กำลังมาแรงตอนนั้นเคยถูกวางตัวไว้ให้เป็น Daredevil แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจถอนตัวไปเล่น The Fast and the Furious, กาย เพียร์ซ ซึ่งเพิ่งได้รับคำชมอย่างมากจากหนัง Memento ก็ได้รับคำชวนให้แสดง แต่เขาบอกปัดไปเพราะคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับหนังจากคอมิก จากนั้นบทนี้ก็ถูกส่งต่อมาที่ แมตต์ เดมอน และ เบน อัฟเฟล็ค สองเพื่อนซี้ที่แสดงความสนใจในโปรเจกต์ แต่เดมอนขอสละบทนี้ให้กับอัฟเฟล็ค เพราะตัวเขาเองยังไม่ค่อยมั่นใจในสคริปต์ และยังไม่เชื่อมือผู้กำกับ มาร์ค สตีเวน จอห์นสัน และอีกอย่างเขารู้ว่าเพื่อนรักคอมิกเรื่องนี้มาก ถึงขั้นเคยเขียนจดหมายไปหาเควิน สมิธ ผู้เขียน Guardian Devil พรรณนาความชื่นชอบถึงตัวละคร Daredevil มาแล้ว ​เบน อัฟเฟล็ค ทุ่มเทให้กับบทอย่างสุดความสามารถ เขาอ่านหนังสือ Daredevil ทุกเล่ม เขาตั้งใจศึกษาเรื่องตัวละคร แมตต์ เมอร์ด็อค เป็นพิเศษถึงขั้นไปขอให้ ทอม ซัลลิแวน นักร้องดังผู้พิการทางสายตามาช่วยสอนการใช้ชีวิตในโลกของคนตาบอด ทั้งเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน ที่อยู่อาศัย ลักษณะท่าทางการแสดงออก ไปจนถึงความรู้สึกที่มีต่อตนเอง และสิ่งที่คนในสังคมมองกลุ่มคนตาบอด ซึ่งเขาคิดว่าจุดนี้แหละเป็นสิ่งที่ทำให้ Daredevil น่าสนใจ ต่างจากฮีโร่อื่น ๆ เพราะเปลี่ยนสถานะจากผู้พิการที่คนมองว่าต้องพึ่งความช่วยเหลือจากคนอื่น มาเป็นฝ่ายเป็นผู้พิทักษ์คอยช่วยเหลือชาวเมืองแทน ​“ผมอยากให้ผู้ชมได้เห็นประเด็นนี้ครับ แม้ว่าบทส่วนอื่น ๆ ของหนังมันงี่เง่ามาก” อัฟเฟล็คพูดถึงหนัง Daredevil หลังหนังออกฉายมาได้หลายปี เขายอมรับว่าแม้หนังจะประสบความสำเร็จทางด้านรายได้มากพอที่จะมีภาคต่อ และยังได้รับคำชมในเรื่องฉากบู๊แอ๊กชันเร้าใจ แต่มันดูเป็นหนังที่ดูไร้ทิศทางในการนำเสนอเรื่อง อาจเป็นเพราะในสมัยนั้น หนังซูเปอร์ฮีโร่ยังไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนปัจจุบัน ยังไม่มีแบบอย่างในการเล่าเรื่อง และเลือกไม่ถูกว่าจะนำเสนอให้ออกมาในแนวไหน จะเป็นดรามาจริงจัง หรือเน้นเรื่องราวสีสันยึดตามฉบับหนังสือคอมิก ​อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปสิทธิ์ในเรื่อง Daredevil กลับมาสู่อ้อมอกของ Marvel อีกครั้ง และถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์ฉายทาง Netflix ตั้งแต่ปี 2015-2018 ครั้งนี้ เบน อัฟเฟล็คก็ไม่พลาดที่จะกลับมาติดตามชมฮีโร่คนโปรด เขากล่าวยกย่องงานสร้างรอบนี้ว่า “มันทำให้ผมหงุดหงิดและอึดอัดไม่น้อยนะที่เห็นว่างานที่พวกเขาทำออกมายอดเยี่ยมมากครับ ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรให้เราทำกับตัวละครนี้ได้อีกเยอะ แต่เราไม่มีโอกาสที่จะทำให้มันถูกต้อง ผมอยากจะแสดงหนังที่นำเสนอสิ่งที่ถูกต้องออกมาให้ได้” ​ด้านชาลี ค็อกซ์ ผู้รับบท Daredevil ฉบับซีรีส์ที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลาม ก็กล่าวชมนักแสดงรุ่นพี่ต้นฉบับตัวละครนี้ว่า จริง ๆ แล้ว เบน อัฟเฟล็ค แสดงได้อย่าง “น่าทึ่ง” และรับว่าตัวเขาเองก็แอบขโมยหลายสิ่งหลายอย่างที่เบน อัฟเฟล็คแสดงไว้มาเป็นส่วนหนึ่งของลักษณะตัวละคร แมตต์ เมอร์ด็อค ในฉบับของเขาด้วย และคิดว่า Daredevil ฉบับซีรีส์นี้ก็มีโทนความมืดหม่นของเรื่องคล้ายคลึงกับ แบทแมนเหมือนกันในแง่ของการเป็นตัวละครที่มีอดีตอันเจ็บปวด และทุ่มเทแรงกายแรงใจในการปกป้องผู้อื่น และเมืองของเขา ​ถึงแม้ว่าประสบการณ์กับ Daredevil ของอัฟเฟล็คจะจบลงไม่สวยนัก แต่มันก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เขาตัดสินใจรับโอกาสครั้งที่สองในการรับบทฮีโร่อีกสักครั้ง เมื่อได้รับข้อเสนอให้เป็นแบทแมนในหนัง Batman v Superman: Dawn of Justice เขาเคยกล่าวเปิดใจไว้ในงานเสวนา TimesTalks ซึ่งจัดโดยสื่อดัง The New York Times ได้พูดความคิดในใจตัวเองออกมาดัง ๆ ต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากว่า “นี่คือหนังที่ผมอยากทำ เป็นหนังที่ผมอยากมีส่วนร่วมด้วย ผมอยากทำให้มันถูกต้องซะที อยากทำให้มันออกมาดี และผมเกลียดหนัง Daredevil มากเลยครับ”   กระแส Batfleck ​การก้าวเข้ามารับบทเป็นแบทแมนของ เบน อัฟเฟล็ค ทำให้เขากลายเป็นแบทแมนที่มีทั้งคนรักและคนชังมากที่สุดคนหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป แฟน ๆ ต่างลงมติว่า เขาเป็นหนึ่งในแบทแมนที่ดีที่สุด และเหมาะสมในการตีความของผู้กับกับ แซ็ค สไนเดอร์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก The Dark Knight Returns ของแฟรงค์ มิลเลอร์ ที่มีความสูงวัย ดุเดือด ดุดัน แม้ว่าตอนฉายในโรงภาพยนตร์คำวิจารณ์จะทำให้เขาถูกโจมตีอย่างหนักทั้งใน Batman v Superman: Dawn of Justice (2016), ปรากฏตัวในบทรับเชิญใน Suicide Squad (2016) และ Justice League (2017) แต่ภายหลังก็มีกระแสสนับสนุนว่า ไม่ใช่อัฟเฟล็คไม่เหมาะ เพียงแต่บทในบางส่วนที่ไม่ดี และทำให้ใช้ศักยภาพของเขาได้ไม่เต็มที่ ส่วนใน Justice League ก็เป็นเพราะเกิดเรื่องเศร้าในครอบครัวทำให้สไนเดอร์ไม่สามารถทำหนังให้จบได้ ทำให้ทิศทางการนำเสนอไม่ตรงกับที่วางไว้แต่ต้น  ถึงกระนั้น กว่าที่เขาและนักแสดงคนอื่น ๆ จะได้รับการกู้หน้าจากการเผยแพร่ Zack Snyder’s Justice League (2021) หรือ Snyder Cut เขาก็ต้องพบกับเรื่องราวหนักหน่วงทั้งคำวิจารณ์และปัญหาชีวิตส่วนตัวหลายอย่าง จนต้องถอนตัวจากการเป็นอัศวินรัตติกาลอย่างน่าเสียดาย     อัฟเฟล็ค คนเศร้า (Sad Affleck) ​เบน อัฟเฟล็คกลายเป็น meme ที่เป็นไวรัลไปทั่วโลก ในปี 2016 เนื่องจากในสัมภาษณ์โปรโมต Batman v Superman: Dawn of Justice กับ Yahoo! UK ที่ถามถึงกระแสตอบรับจากนักวิจารณ์ที่ไม่ดีนัก ซึ่งเบนได้แต่นิ่งเงียบปล่อยให้เฮนรี คาวิลล์เป็นผู้ตอบคำถามทั้งหมด แล้วตอบรับเพียงประโยคเดียวเท่านั้น ว่า “ผมเห็นด้วย” ซึ่งทำให้เขาถูก YouTuber ชื่อ Sabconth นำไปใส่เพลง Sound of Silence ของ Simon and Garfunkel พร้อมกับซูมหน้าเขาที่ทำหน้านิ่ง ๆ แต่พอมีเพลงประกอบก็ทำให้เขาดูเศร้าไปเลย meme กลายเป็นไวรัลและทำให้เพลง Sound of Silence กลับขึ้นมาติดอันดับ 6 ใน  2016 Billboard Hot Rock Songs และได้อันดับ 2 ในชาร์ต Rock Streaming Songs  ​เมื่อเวลาผ่านไป อัฟเฟล็คได้ให้สัมภาษณ์กับ BBC1 เกี่ยวกับกระแสตอบรับที่ไม่ดีนักของ BvS เขาได้ตอบว่า “มันสอนให้ผมอย่าให้สัมภาษณ์คู่กับเฮนรี คาวิลล์แล้วไม่พูดอะไรเลยจนพวกเขาเอาเพลงของ Simon and Garfunkel มาใส่ได้ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้” อย่างไรก็ตาม อัฟเฟล็คเผยว่าเขาได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้นจริง ๆ ในการรับบทแบทแมน ถึงเขาจะเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์มานาน แต่ BvS เป็นผลงานชิ้นแรกที่เขาได้แสดงหนังแอ๊กชันที่ใช้เทคนิคพิเศษเยอะเท่านี้ ซึ่งมันต่างจากประสบการณ์การทำงานของเขาที่เคยมีมา และเขายืนยันว่าหลายสิ่งเป็นประสบการณ์ที่ดี เขายังเก็บ Batarang ของแท้ และชุดแบทแมนจำลองจากที่เขาใส่ในหนังเอาไว้ที่บ้าน และหวังว่าจะใช้ประสบการณ์นี้เรียนรู้ในการทำงานต่อไป ซึ่งแม้ว่า BvS จะได้รับคำวิจารณ์ไม่ดี แต่เขาก็ได้รับการประกาศการสร้างหนังเดี่ยว The Batman โดยมีเขานั่งแท่นกำกับ แสดงนำ และร่วมเขียนบท แต่ภายหลังเขาก็ต้องถอนตัวจากโปรเจกต์นี้ไป    ปัญหาติดเหล้า ​ในช่วงที่รับบทแบทแมน เป็นช่วงที่เบน อัฟเฟล็คมีปัญหาครอบครัวเนื่องจากอาการติดเหล้าที่เขาออกมายอมรับในภายหลังว่าเป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน พ่อของเขาและญาติ ๆ มีประวัติเป็นผู้ติดสุราเรื้อรังและสารเสพติด ตัวเขาเองก็มีปัญหาด้านวิตกกังวลและซึมเศร้า จนต้องใช้ยาบำบัดมาตั้งแต่อายุ 26 ปี แต่การต้องจบการใช้ชีวิตคู่กับเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ซึ่งทั้งสองคนมีลูกด้วยกัน 3 คน เป็นสิ่งที่เขาเสียใจมากที่สุด  อัฟเฟล็คบอกว่าเขาไม่อยากให้ครอบครัวต้องแตกแยก ไม่อยากให้ลูกมีพ่อแม่ที่หย่ากัน แม้ว่าในช่วงปี 2015-2016 ทั้งสองจะแยกกันอยู่เพื่อแก้ปัญหา แต่ว่าสุดท้ายทั้งคู่ก็ตกลงหย่าจากกันในปี 2017 และสิ้นสุดในปี 2018 เป็นการแยกทางโดยสมบูรณ์ และนั่นมันทำให้เขาผิดหวังในตัวเองมากที่สุด ​“ผมดื่มอย่างเป็นประจำต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมเริ่มดื่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนชีวิตคู่ของผมพังพินาศ มันเป็นช่วงปี 2015-2016 ที่การดื่มของผมเป็นต้นเหตุที่ก่อปัญหาชีวิตคู่ สิ่งที่เสียใจที่สุดในชีวิตของผมคือการหย่าครั้งนี้ ความละอายมันเป็นพิษร้ายมาก มันไม่มีสิ่งใดที่ดีงามที่จะสามารถงอกเงยขึ้นมาจากความละอายนี้ได้ มันเหมือนตกอยู่ในวังวนของสิ่งเป็นพิษ  ทั้งความรู้สึกที่น่ารังเกียจในการไม่ให้ค่ากับตัวเองและรังเกียจตนเอง” ​หลังจาก Justice League ประสบปัญหาในการถ่ายทำและตัวเขาเองมีปัญหาส่วนตัว แม้ว่าเขาจะร่วมพัฒนาบทกับ เจฟฟ์ จอห์นส์ (Geoff Johns) ไปแล้ว แต่ด้วยปัญหาที่รุมเร้าในชีวิตเขาเริ่มรู้สึก “หมด Passion” ในการทำงานและรู้สึกว่าทิศทางที่จะดำเนินไปของ The Batman นั้นไม่ใช่ของเขา จึงขอยุติบทบาทในการทำงานในปี 2017 เพื่อส่งต่อให้กับคนอื่น แม้ว่าเขาจะชอบบทที่ได้พัฒนาเอาไว้ก็ตาม แต่ถ้าให้กลับไปทำงานโดยที่ยังไม่สามารถทุ่มใจให้ได้อย่างเต็มที่ และหากต้องเจอปัญหาเกี่ยวกับการถ่ายทำอีก ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเขาในตอนนั้นคงรับไม่ไหว อัฟเฟล็คเผยระหว่างการโปรโมตภาพยนตร์เรื่อง The Way Back ในปี 2020 ว่า   “ผมเอาสคริปต์ The Batman ที่ผมร่วมเขียนไว้ให้คนอื่นอ่าน พวกเขาบอกว่า บทมันดีนะ แต่ฉันคิดว่านายคงกลับไปกินเหล้าเมาจนตายแน่ ๆ ถ้านายต้องเจอสิ่งที่นายเพิ่งจะผ่านพ้นมาอีกครั้ง” ​เนื่องในช่วงปี 2017-2018 เป็นช่วงที่เขาต้องต่อสู้กับอาการติดเหล้า ที่มีทั้งบำบัดและดีขึ้น แต่ก็มีช่วงที่เขาถอยกลับไปอีกครั้ง และผู้ที่มีส่วนสำคัญในการช่วยให้เขากลับมาเป็นผู้เป็นคนได้คือเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ ภรรยาเก่าของเขาที่เป็นผู้พาเขาเข้าศูนย์บำบัด อีกทั้งยังเคลียร์เรื่องงานให้กับเขาด้วยการขอร้องผู้กำกับ เกวิน โอ’คอนเนอร์ ไม่ให้ตัดเขาออกจากเรื่อง The Back และยืนยันว่าเขาอยากทำงานเรื่องนี้จริง ๆ และความพยายามของอัฟเฟล็คก็เป็นผล หลังจากเขารับการบำบัด เขากลับมาทำงานอย่างจริงจัง และผลงานเรื่องนี้ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยม ในเวที 2021 Critics’ Choice Awards   Snyder’s Cut คืนชีพ Batfleck เบน อัฟเฟล็ค ที่เคลียร์ปัญหาชีวิตส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว เขาปรับปรุงตัวกลับมาจริงจังกับการทำงาน เขามูฟออนทั้งเรื่องงานและความรัก โดยผู้ดูแลหัวใจคนใหม่คือ อนา เดอาร์มัส ที่เจอกันในกองถ่ายหนัง Deep Water ในปี 2019 และเริ่มคบกันในปี 2020  (แม้ว่าทั้งสองจะแยกทางกันในเดือนมกราคม 2021 ก็ตาม) เมื่อ แซ็ค สไนเดอร์ เรียกรวมตัวเหล่า Justice League เขาก็ยินดีกลับไปร่วมถ่ายทำเพิ่มเติม และเมื่อ Justice League เวอร์ชัน Snyder’s Cut ได้เผยแพร่ออกมาก็ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายและได้รับคำวิจารณ์ว่าเป็นการทำให้ตัวละครทั้งหลายใน Justice League ได้กลับมาอย่างสง่างามอย่างที่พวกเขาควรจะเป็น  โดยเฉพาะฉากซีเควนซ์ Knightmare ที่เป็นการนำเบน อัฟเฟล็ค มาเจอกับโจ๊กเกอร์ แสดงโดย จาเร็ด เลโต้ ที่ได้มาแก้ตัวหลังจากโดนพิษ Suicide Squad (2016) ทำให้ถูกวิจารณ์เละเทะพอ ๆ กัน แต่พอทั้งสองได้มาเจอกันครั้งนี้ เล่นเอาแฟน ๆ ถึงกับสะพรึงและชื่นชมการแสดงของทั้งสองอย่างมาก แม้ว่าในการถ่ายทำจริง ๆ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 และคิวของนักแสดงที่ไม่ตรงกัน ทำให้ทั้งสองไม่ได้เข้าฉากด้วยกันก็ตาม จนแฟน ๆ อยากจะดูภาคต่อในจักรวาลที่แซ็ค สไนเดอร์เคยวางแผนเอาไว้ และเกิดกระแสเรียกร้อง Restore the SnyderVerse ​แม้ว่า The Batman จะได้ผู้มารับช่วงการเป็นแบทแมนคนใหม่แล้วคือโรเบิร์ต แพตทินสัน ผู้ซึ่งเบน อัฟเฟล็คก็เชื่อมั่นในฝีมือ แต่ใช่ว่าแฟน ๆ จะไม่ได้เห็นเบน อัฟเฟล็คในบทแบทแมนอีก เพราะมีการประกาศออกมาว่าเบน อัฟเฟล็ค จะกลับมารับบทแบทแมนอีกครั้งในหนัง The Flash ของผู้กำกับ แอนดี้ มุสเคียตตี (Andy Muschietti) ผู้ซึ่งเผยว่าตัวละครแบทแมนของเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ของเรื่องราวของ The Flash และชื่นชมการแสดงของอัฟเฟล็คว่าแสดงออกมาได้เห็นชัดถึงความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ  “เขาเพียงแต่ต้องการเรื่องราวที่เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงขั้วตรงข้ามนี้ออกมา และแสดงออกอย่างสมดุล” มุสเคียตตีกล่าว และเหตุผลที่เขาต้องการอัฟเฟล็คมาร่วมงานมาก ๆ ใน The Flash เพราะสองตัวละครนี้มีความเชื่อมโยงกันระหว่าง แบรี่ อัลเลน กับบรู๊ซ เวย์น ทั้งสองสูญเสียแม่ไปจากการถูกฆาตกรรมและมีอารมณ์ร่วมเชื่อมกันในจุดนี้ และยิ่งไปกว่านั้น มุสเคียสตีกล่าวชมอัฟเฟล็ค ผู้มีรางวัลระดับออสการ์การันตีมาแล้วว่า “ผมดีใจที่จะได้ร่วมงานกับคนที่ทำงานมาแล้วทั้งหน้ากล้องและหลังกล้อง เขาเข้าใจเนื้องานดีครับ”   ​ด้านบาบาร่า มุสเคียสตี โปรดิวเซอร์ของ The Flash ก็ได้กล่าวว่าเธอเข้าใจดีว่าเหตุใดที่อัฟเฟล็คทุกข์ทรมานจากการรับบทแบทแมน เขาต้องเผชิญทั้งกระแสวิจารณ์ ความยากลำบากในการทำงาน อีกทั้งยังมีเรื่องชีวิตส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงแต่คราวนี้เธอหวังว่า จะเป็นเวลาที่ “เหมาะสม” สำหรับเขาที่จะมารับบทนี้  “พวกเราต่างก็เป็นมนุษย์ เราผ่านพ้นมาทั้งช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมและช่วงเวลาที่ย่ำแย่ แต่ตอนนี้เขาอยู่ในจุดที่เขาสามารถมีความสุขกับการเป็นแบทแมนได้จริง ๆ อีกอย่างเขาไม่จำเป็นต้องแบกรับหนังไว้ทั้งเรื่อง เขาจะมีบทบาทที่สำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน คราวนี้มันจะเป็นบทที่สนุกด้วย” ​หวังว่าคราวนี้ เบน อัฟเฟล็ค จะได้กลับมาในฐานะฮีโร่ ที่ถูกที่และถูกเวลาเสียที…   ที่มา https://www.vanityfair.com/hollywood/2020/08/ben-affleck-returns-batman-the-flash-multiverse-keaton https://www.nytimes.com/2020/02/18/movies/ben-affleck.html https://www.indiewire.com/2021/03/ben-affleck-jared-leto-justice-league-scene-filmed-separately-1234624531/ https://www.cbr.com/daredevil-charlie-cox-praises-affleck/   Ben Affleck On Robert Pattinson As 'Batman' https://youtu.be/VHSwQXxtZrU TimesTalks: Ben Affleck Full No QA https://youtu.be/ZQW0VivD4KY Ben Affleck talks DAREDEVIL in new clip from CINEMABILITY https://youtu.be/OLM1T-o_qb8   เรื่อง: จากเพจ ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้