กัทส์: ชีวิตผลักดันด้วยความเกลียดชัง การเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดของนักดาบคลั่ง

กัทส์: ชีวิตผลักดันด้วยความเกลียดชัง การเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดของนักดาบคลั่ง
*อาลัยแด่ เคนทาโร มิอุระ ผู้เขียน Berserk **บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ Berserk   ถ้าจะกล่าวถึงมังงะยุค 90s ตระกูลหนึ่งที่มีโครงเรื่องแบบดาร์กแฟนตาซีดิบเถื่อนแถมด้วยฉากโป๊เปลือยอล่างฉ่าง จนทำให้ในสมัยแรก ๆ ที่มังงะตระกูลนี้โลดแล่นอยู่ในนิตยสารการ์ตูนญี่ปุ่นรายสัปดาห์เต็มไปด้วยตัวอักษรเซนเซอร์จนแทบอ่านไม่รู้เรื่อง  หนึ่งในมังงะแนวนี้ที่ยังอยู่ในใจผู้อ่าน จนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตำนานก็คือเบอร์ซอร์ก (Berserk) เรื่องราวของนักรบเกราะดำร่างยักษ์ความสูงกว่า 2 เมตร ที่แขนข้างหนึ่งเป็นแขนเทียมติดตั้งปืนใหญ่ ร่างกายติดอาวุธลับครบครัน และอาวุธหลักคือดาบที่ใหญ่กว่ากว่าตัวของเขา อันที่จริงเราสามารถคาดเดาสไตล์ของเรื่องได้จากชื่อของมังงะเรื่องนี้ คำว่า Berserk ที่ถ้าแปลกันแบบเข้าใจง่ายที่สุดคือ ‘คลั่ง’ คำนี้มีรากศัพท์มาจากภาษานอร์สโบราณ เบอร์เซอร์กีร์ (Berserkr) เป็นคำเรียกนักรบจำพวกหนึ่งผู้ซึ่งสวมใส่หนังของหมีเอาไว้ (Ber = หมี Serkr = สวม) ลักษณะของเหล่าเบอร์เซอร์กีร์นั้นถูกบันทึกไว้ว่าเป็นกลุ่มนักรบที่ดุดัน เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว โหดเหี้ยม มีพฤติกรรมปล้นฆ่าศัตรู มักใช้อาวุธที่เป็นลักษณะของปลายแหลมและไม่ใช่อาวุธเป็นท่อนที่ไร้คม เบอร์เซอร์กีร์บางกลุ่มก็ได้รับการอวยยศให้สูงส่งกว่านักรบทั่ว ๆ ไป ซึ่งระดับดังกล่าวนั้นอาจจะมีความหมายถึงเป็นราชองครักษ์ ใน ค.ศ. 1015 นอร์เวย์ประกาศให้เบอร์เซอร์กีร์กลายเป็นพวกนอกกฎหมาย และเบอร์เซอร์กีร์ก็หายไปตั้งแต่ทศวรรษ 1100 ในโลกภาษาอังกฤษ เบอร์เซอร์ก (Berserk) ถูกใช้หมายความถึงผู้ซึ่งรบอย่างไร้ความหวาดกลัวและไม่ย่อท้อ โดยไม่คิดถึงชีวิตของตน คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกในสงครามเวียดนาม สแลงว่า Going Berserk มีความหมายว่ารบอย่างบ้าคลั่ง บางครั้งมีการใช้ฝิ่นแบบโอเวอร์โดสจนทำให้อะดรีนาลีนหลั่งออกมาอย่างเต็มที่จนทำให้ผู้นั้นไร้เหตุผลไร้อารมณ์ และบางทีอาจจะขาดสติจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้   โลกของเบอร์เซอร์ก ดินแดนแห่งคาวเลือดและน้ำตา   ในโลกของมังงะ เบอร์เซอร์กมีฉากหลังเป็นบรรยากาศที่เทียบเคียงได้กับยุโรปในยุคกลาง ผสมผสานเข้ากับเรื่องราวแฟนตาซี เรื่องของปีศาจ เทพเจ้า และเวทมนตร์ เรื่องราวของเบอร์เซอร์กเกิดขึ้นในดินแดนที่เรียกว่ามิดแลนด์ ซึ่งเป็นอาณาจักรที่มีประวัติยาวนานกว่าโดยย้อนไปเมื่อกว่าพันปีก่อน ได้เกิดมหาสงครามขึ้นระหว่างชนเผ่าและหัวเมืองต่าง ๆ ผู้คนในยุคนั้นต่างทุกข์ระทมจากไฟสงครามจนกระทั่งมหาราชันไกเซริคผู้ซึ่งออกรบด้วยการสวมหมวกเหล็กหัวกะโหลกเอาไว้ตลอดเวลา สามารถเอาชนะปราบปรามหัวเมืองใหญ่น้อย รวบรวมชนเผ่าต่าง ๆ และได้สถาปนาอาณาจักรขึ้น แต่ทว่าก็ล่มสลายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ  บางตำนานเล่าว่าเป็นเพราะภัยธรรมชาติ แต่บางตำนานก็บอกว่าเป็นเพราะเทพเจ้าลงโทษ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อีกตำนานหนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กันก็คือ ตำนานของนักรบหัวกะโหลก ปีศาจผู้ซึ่งออกไล่ล่าเหล่าปีศาจในยามค่ำคืน หลังจากอาณาจักรของกษัตริย์ไกเซริคล่มสลายได้ 300 ปี ได้เกิดศาสนาหลักของชาวมิดแลนด์ขึ้นในชื่อสันตะสำนัก โดยศาสนาดังกล่าวนั้นได้สร้างองค์กรทางศาสนาขึ้นมาโดยมีสันตะปาปาเป็นผู้นำสูงสุด สันตะสำนักก่อร่างคำสอนและพระเจ้าของตนขึ้นมาและลดความสำคัญของความเชื่ออื่น ๆ รวมถึงเวทมนตร์โดยตราหน้าว่าเป็นคำสอนของปีศาจ และมีการกล่าวโทษผู้ที่ซึ่งไม่ยอมรับ ไม่สวดอ้อนวอน หรือผู้ตั้งคำถามต่อสันตะสำนักดังกล่าวว่านอกรีต  สันตะสำนักค่อย ๆ สร้างอำนาจทางสังคมและการเมืองขึ้นมาเรื่อย ๆ เกิดพระนักบวชผู้ทำหน้าที่ไต่สวนทางศาสนา (inquisition) คอยตรวจสอบศรัทธาของเหล่าผู้คน รวมถึงตรวจตราผลประโยชน์ของสันตะสำนัก ผู้ไต่สวนทางศาสนามอบพระเจ้าให้แก่สาวก และมอบความตายอันสยดสยองให้แก่พวกนอกรีต 620 ปีต่อมา ดินแดนมิดแลนด์ได้เกิดมหาสงครามขึ้นอีกครั้ง สงครามดังกล่าวนั้นถูกเรียกว่าสงครามร้อยปี เป็นสงครามระหว่างมิดแลนด์และจักรวรรดิทิวเดอร์ สงครามครั้งนี้ ทำให้ดินแดนของมิดแลนด์เต็มไปด้วยสงคราม ประชาชนอดอยากล้มตาย ทั้งจากไฟสงครามและการปล้นสะดม ซากศพเรียงรายเกลื่อนกลาด อาชีพที่มั่นใจได้ว่ายังจะทำให้ผู้คนที่ไม่ได้มีชาติตระกูลหรือยศถาบรรดาศักดิ์ยังพอจะมีกินอยู่ได้คือ ‘ทหารรับจ้าง’ และเมื่อสงครามดำเนินมาได้ราว 80 ปี ตัวละครที่ทำให้มังงะเรื่องนี้มีชื่อว่า เบอร์เซอร์ก ก็ถือกำเนิดขึ้น   กัทส์ ชีวิตที่กำเนิดจากความตาย วันหนึ่งกองทหารรับจ้างเล็ก ๆ กองหนึ่งได้เดินทางผ่านดินแดนรกร้าง ณ ต้นไม้ใหญ่ที่กิ่งก้านของมันถูกแขวนเอาไว้ด้วยซากศพ ใต้ต้นไม้นั้นปรากฏร่างของเด็กทารกเพิ่งคลอดคนหนึ่ง นอนจมกองเลือดและน้ำหนองของซากศพผู้เป็นแม่ สายตาของทหารรับจ้างทั้งกองมองอย่างสังเวชใจกับภาพตรงหน้า และเชื่อว่าเด็กทารกตรงหน้าคงไม่รอดชีวิต ทันใดนั้นคนรักของหัวหน้ากองทหารรับจ้างที่เสียสติจากการแท้งลูกไปเมื่อ 3 วันก่อนหน้า ก็โผเข้ากอดเด็กทารกเอาไว้ เพราะคิดว่าเป็นลูกของตน เธอไม่ยอมปล่อยเด็กคนนั้นแม้จะถูกสามีของเธอดุด่า แต่สุดท้าย เสียงร้องลั่นของเด็กทารกก็ทำให้ทุกคนรู้ว่าเขายังไม่ตาย หญิงเสียสติโผกอดเด็กคนนี้ไว้แน่น ส่วนหัวหน้ากองทหารรับจ้างก็ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคนรักที่เสียสติต่อไป เขาจึงปล่อยให้เธอเลี้ยงเด็กทารกเอาไว้ แม้เหล่าทหารรับจ้างคนอื่นจะบอกว่า การเก็บเด็กในสถานที่แบบนี้มาเลี้ยงมันจะกลายเป็นตัวซวยก็ตาม กระทั่ง 3 ปีต่อมา หญิงเสียสติก็ล้มป่วยจากโรคระบาด ในขณะที่เธอใกล้ตาย เธอร้องเรียกชื่อลูกของเธอสุดเสียง ‘กัทส์’ กัทส์ได้รับการเลี้ยงดูมาโดยหัวหน้ากองทหารรับจ้าง ผู้ซึ่งเชื่อว่าลูกเลี้ยงของเขาคนนี้คือตัวซวยที่ทำให้คนรักต้องตายจากไป แต่เขาก็สอนกัทส์ให้หัดต่อสู้ เพื่อที่จะได้เครื่องมือหาเงินและเอาชีวิตรอด นอกจากเวลาฝึกต่อสู้แล้ว กัทส์ไม่เคยรู้สึกถึงความรักจากใครเลย ความสัมพันธ์ของเขากับพ่อคือ คนเลี้ยง กับ คนที่ถูกเลี้ยง และเขายังถูกมองว่าเป็นตัวซวยสำหรับเหล่าทหารรับจ้างอยู่เสมอ  สิ่งเดียวที่ทำให้กัทส์สงบและมีความสุขก็คือการหัดแกว่งดาบที่มีขนาดใหญ่แทบเท่ากับตัวของเขา จนเมื่ออายุ 9 ปี กัทส์ได้ร่วมการรบจริงเป็นครั้งแรก ในวันนั้นเองกัทส์รู้สึกว่าเขาสามารถทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อพ่อของเขาได้แล้ว แต่ในคืนวันนั้นเอง ทหารรับจ้างคนหนึ่งก็เข้ามาในกระโจมของกัทส์ แล้วข่มขืนเขา พร้อมบอกว่าเป็นพ่อของเขานี่แหละที่ขายเขาด้วยเงิน 3 เหรียญ กัทส์เก็บความแค้นนี้ไว้ และในการรบครั้งต่อมา ทหารรับจ้างที่ข่มขืนกัทส์ก็ถูกทำให้หายไปตลอดกาล ไม่นานนัก พ่อของกัทส์ต้องเสียขาไปจากการรบ ทำให้ถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้ากองทหารรับจ้าง กัทส์กลายเป็นผู้หาเลี้ยงพ่อของเขา แต่ด้วยคำครหาว่าเกาะลูกกิน ทำให้พ่อของกัทส์รู้สึกเสียเกียรติ พ่อของกัทส์จึงถือดาบเข้าทำร้ายกัทส์ ทำให้กัทส์ต้องต่อสู้กลับจนกระทั่งฆ่าพ่อของเขา กัทส์ถูกกองทหารรับจ้างตามไล่ล่า เขาต้องหนีตายอย่างไร้จุดหมายและเริ่มหาเลี้ยงตัวเองด้วยการเป็นทหารรับจ้างที่ไม่สังกัดกองกำลังใด ๆ ตั้งแต่อายุได้ 11 ปี แม้กัสท์กับพ่อจะไม่ใช่พ่อลูกในแบบอุดมคติ แต่เขาก็กล่าวถึงพ่อของเขาอยู่บ่อยครั้ง มีครั้งหนึ่งที่กัทส์ถูกจับเป็นทาสขังไว้ในคุกที่หนาวเหน็บ กัทส์นึกถึงคำสอนของพ่อของเขาว่า “ถ้าอยากมีชีวิตรอดในสนามรบ จงใช้สมองกับแขนของตัวเองหาทางรอด อย่าพึ่งพาคนอื่น มนุษย์ยอมสกปรกแค่ไหนก็ได้เพื่อความทะเยอทะยานกับชีวิตตนเอง สนามรบเต็มไปด้วยคนพวกนั้น คนที่ยอมตามคนอื่นแบบไม่คิดอะไรมีแต่จะถูกใช้ประโยชน์จนตาย” กัทส์: ชีวิตผลักดันด้วยความเกลียดชัง การเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดของนักดาบคลั่ง กัทส์ในสายตาของเหยี่ยว เมื่ออายุ 15 ปี กัสท์กลายเป็นหนึ่งในทหารรับจ้างฝีมือดีของมิดแลนด์ ในการรบครั้งนี้ฝีมือการรบของกัทส์ไปเข้าตา กริฟฟิท เด็กหนุ่มรูปงาม อายุ 15 ปีเท่ากับกัสท์ ผู้นำของกองทัพเหยี่ยว ในสายตาของกริฟฟิท กัทส์นั้น  “สู้รบเหมือนกับการทดสอบชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเจอใครก็ไม่ยอมถอย เหวี่ยงดาบอย่างบ้าบิ่น เหมือนจงใจพาตัวเองไปเสี่ยงตาย แล้วดิ้นรนหาชีวิตรอดจากตรงนั้น”  กริฟฟิทอยากให้กัทส์มาเป็นเหยี่ยวของเขาจนเอ่ยปากว่า “...ข้าอยากได้เจ้า…ข้าจะคว้าประเทศของข้ามาไว้ในกำมือ เจ้าจงต่อสู้เพื่อข้า เพราะเจ้าเป็นของข้า ข้าจะเป็นคนกำหนดที่ตายของเจ้าให้เอง” กัทส์ปฏิเสธทันที แต่เขาก็ถูกบังคับให้ดวลดาบกับกริฟฟิท และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้จนต้องยอมเข้ามาเป็นทหารในสังกัดกองทัพเหยี่ยว  พฤติกรรมของกริฟฟิทที่อยากให้กัทส์มาร่วมกองทัพเหยี่ยวอย่างออกนอกหน้านี้ส่งผลให้เกิดความริษยาในตัวของแคสก้า นักรบหญิงฝีมือดีในกองทัพเหยี่ยว การมาของกัทส์ทำให้ความรู้สึกของแคสก้าที่คิดว่าตนคือคนสนิทอันดับหนึ่งของกริฟฟิทต้องสั่นคลอน สำหรับแคสก้าไม่ว่าจะมีกำลังรบเหยี่ยวมากมายแค่ไหน แต่กริฟฟิทไม่เคยพูดกับใครว่า ‘อยากได้’ มาก่อนเลย กองทัพเหยี่ยวนี้เองที่ทำให้กัทส์ได้เจอกับ 2 คนที่มีความหมายสูงสุดในชีวิต แคสก้าผู้หญิงที่เขารัก และกริฟฟิทผู้กลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิตไม่ว่าจะด้านงดงามสดใสหรือด้านมืดดำอนันตกาล แม้ตอนแรกกัทส์ทำตัวแปลกแยกจากเหยี่ยวคนอื่น ๆ แต่ไม่นานนักด้วยฝีมือดาบและความบ้าบิ่น กัทส์ได้รับการยอมรับจากเหยี่ยวจนกลายเป็นหัวหน้าหน่วยจู่โจมของกองทัพเหยี่ยว ฉายา ‘นักดาบร้อยศพ’ กองทัพเหยี่ยวเริ่มกลายเป็นบ้านที่เขาตามหามานาน แต่สำหรับแคสก้านั้น กัทส์เป็นแค่ไอ้หมาบ้าที่กริฟฟิทใจดีกับมันจนเกินไป แคสก้ามองว่ากัสท์จะกลายเป็นตัวถ่วงความเจริญของกริฟฟิทที่กำลังก้าวหน้า หลังการสร้างผลงานหลายครั้งของกองทัพเหยี่ยว กริฟฟิทก็ได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์แห่งมิดแลนด์ให้กลายเป็นขุนนางในตำแหน่งไวเคานต์จริง ๆ พฤติกรรมของกัทส์ก็ไม่ได้ผิดไปจากสิ่งที่แคสก้าคิด ในการรบครั้งหนึ่งกัทส์บุ่มบ่ามเข้าไปช่วยพรรคพวกที่กำลังสู้กับนักรบที่มีชื่อเสียงเกรงขาม และร่ำลือกันว่ามีชีวิตมากว่าร้อยปี ในการเผชิญหน้าครั้งนี้ กัทส์รู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างถึงก้นบึ้งของหัวใจเป็นครั้งแรก เมื่อเห็นว่าศัตรูตรงหน้าสามารถกลายร่างเป็นปีศาจได้ ก่อนที่กัทส์จะถูกปีศาจฆ่าตาย กริฟฟิทรีบรุดเข้าร่วมกับกัทส์ต่อสู้กับปีศาจ กัทส์บาดเจ็บปางตายและกริฟฟิทถูกทำร้ายจนสลบ แต่ก่อนที่เจ้าปีศาจจะเผด็จศึก มันก็เหลือบไปเห็นเครื่องรางรูปร่างประหลาดที่กริฟฟิทซื้อมาจากแม่เฒ่าหมอดูยิปซีที่บอกกริฟฟิทว่า “ใครที่ครอบครองสิ่งนี้มีชะตาได้โลกไว้ในกำมือโดยแลกกับเลือดและเนื้อของตัวเอง” เมื่อเจ้าเจ้าปีศาจเห็นเครื่องรางชิ้นนี้ มันมองมาที่กัทส์แล้วพูดก่อนจะจากไปว่า “ข้าขอพยากรณ์ว่า หากเจ้าคือเพื่อนแท้ของชายคนนี้ จงจำไว้ยามที่ความทะเยอทะยานของชายคนนี้พังทลาย เจ้าจะต้องพบกับความตายความตายไม่มีทางหนีพ้น”   นักฆ่าในมุมมืด ผู้ผลักดันเหยี่ยวให้โบยบิน สำหรับกัทส์นั้น เขาแตกต่างจากเหยี่ยวคนอื่นที่เอาแต่เทิดทูนกริฟฟิท แต่สำหรับกัทส์ กริฟฟิทคือเพื่อน และกริฟฟิทก็แสดงออกว่าไว้ใจกัทส์ที่สุด กริฟฟิทมีความฝันที่อยากจะครอบครองประเทศ และเขาไม่เคยคิดจะยอมให้ใครมาขัดขวางความฝันนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ก่อนหน้าที่จะเจอกัสท์ กริฟฟิทยอมแลกร่างกายของตนกับเงินสนับสนุนของขุนนางทิวเดอร์ที่กริฟฟิทเอามาหล่อเลี้ยงกองทัพเหยี่ยว แม้ปากเขาจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่จิตใจของเขากลับโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อเจอกัทส์ กริฟฟิทพร้อมละทิ้งความฝันและพร้อมจะเสี่ยงชีวิตเข้าช่วยโดยไม่ต้องมีเหตุผล เมื่อกริฟฟิทกลายเป็นอัศวิน เขามองเห็นช่องทางลัดที่จะไต่เต้าเพื่อครอบครองประเทศ นั่นก็คือองค์หญิงลูกสาวเพียงคนเดียวของกษัตริย์แห่งมิดแลนด์ การที่คนชั้นล่างผู้นำกองทัพเด็กเหลือขออย่างกริฟฟิท กำลังกลายเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ และองค์หญิงก็ดูจะพึงพอใจต่อกริฟฟิท ทำให้กริฟฟิทสร้างศัตรูทางการเมืองขึ้นมามากมาย กริฟฟิทกลายเป็นเป้าของการลอบสังหาร แต่ในเวลานั้นมีเหยี่ยวเพียงคนเดียวที่กริฟฟิทไว้วางใจล่วงรู้แผนการโต้กลับทุกอย่างของกริฟฟิท รวมถึงคอยทำงานลอบสังหารเพื่อถางทางให้แก่กริฟฟิท เหยี่ยวคนนั้นคือกัสท์ ทว่าในวันที่กัทส์พลั้งมือฆ่าเด็กคนหนึ่งซึ่งเป็นบุตรชายของเหยื่อลอบสังหารของเขา กัทส์ได้ยินกริฟฟิทพูดกับองค์หญิงว่า สำหรับกริฟฟิทนั้น “ความฝันที่ไม่ใช่ทำเพื่อผู้อื่นแต่ทำเพื่อตัวเอง ความฝันมีหลากหลายรูปแบบ มีความฝันที่กินความหวังคนอื่นหลายพันหลายหมื่นเหมือนพายุ ซึ่งไม่เกี่ยวกับฐานะตำแหน่งหรือชาติกำเนิด มนุษย์ลุ่มหลงความฝันใช้ความฝันเป็นเครื่องค้ำจุน ทรมานเพราะความฝัน มีชีวิตด้วยความฝัน ถูกความฝันทอดทิ้งแต่ก็ยังหลงใหลความฝันไม่หยุด...การมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ ตั้งแต่เกิดวิถีชีวิตแบบนั้น ข้าทนไม่ได้ กองทัพเหยี่ยวคือลูกน้องชั้นยอด เคยก้าวข้ามความตายด้วยกันมาหลายครั้ง เป็นพรรคพวกสำคัญที่ยอมพลีร่างเพื่อความฝันของข้า แต่ว่าคำว่าเพื่อนสำหรับข้าไม่ใช่อย่างนั้น เพื่อนต้องไม่ยึดติดความฝันของคนอื่นเด็ดขาด...เพื่อนคือผู้เท่าเทียมกัน” ประโยคนี้ของกริฟฟิท ทำให้กัทส์ถึงกับตะลึง กัทส์ไม่เคยมีความฝัน กัทส์มีชีวิตเพื่อกริฟฟิท เขาเสี่ยงตายเพื่อกริฟฟิท เขาทำงานสกปรกให้กริฟฟิท นั่นหมายความว่าเขาไม่ใช่เพื่อนของกริฟฟิท เพราะเขาไม่มีความฝัน เขาจึงไม่เคยเป็นผู้เท่าเทียม ถ้ากองทัพเหยี่ยวคือลูกน้องของกริฟฟิท กัทส์ที่มองกองทัพเหยี่ยวเป็นเหมือนกองไฟกองใหญ่ใช้อบอุ่นร่างกายก็คงมีสถานะไม่ต่างจากเหยี่ยวคนอื่น นั่นคือเป็นลูกน้องของกริฟฟิทได้เพียงเท่านั้น หรือเพราะเขาไม่มีความฝัน เขาจึงไม่เท่าเทียม คำถามเหล่านี้ ค้างคาในจิตใจของกัทส์อยู่ตลอด   ไม่นานนักกองทัพเหยี่ยวสามารถปราบกองทัพใหญ่ของอาณาจักรทิวดอร์ลงได้ ทำให้สงครามร้อยปียุติลง ความไว้วางใจของกษัตริย์มิดแลนด์ และความนิยมของประชาชนที่มีต่อกริฟฟิททำให้บรรดาชนชั้นสูงของมิดแลนด์เริ่มมองว่ากริฟฟิทจะกลายเป็นภัย  กริฟฟิทโต้กลับด้วยการจัดการศัตรูทางการเมืองที่เหลือจนสิ้น จนเหลือเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นก็คือการอภิเษกกับองค์หญิงเพื่อให้เขามีสิทธิ์ในการสืบทอดบัลลังก์ของมิดแลนด์ เมื่อเป็นเช่นนี้ กัทส์คิดว่าเขามาส่งกริฟฟิทถึงที่สุดแล้ว กัทส์ไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ เขาต้องการมองหาความฝัน สิ่งที่ทำให้เขาเท่าเทียมกับกริฟฟิท เขาเลือกที่จะถอนตัวจากกองทัพเหยี่ยว แล้วเดินทางออกจากเหยี่ยวทุกคนที่เปรียบดั่งครอบครัวของเขาเพื่อตามหาความฝัน ที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร กัทส์: ชีวิตผลักดันด้วยความเกลียดชัง การเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุดของนักดาบคลั่ง เหยี่ยวปีกหัก   กริฟฟิทเติบโตมาจากสลัม ตั้งแต่เด็กเขาชอบที่จะเอาชนะผู้อื่น จนวันหนึ่งเขาเห็นปราสาทที่อยู่สูงกว่าที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาก เขามองว่าความสูงนั้นงดงามไร้ที่ติ การครอบครองมันได้จะเป็นชัยชนะที่แท้จริงในชีวิตเขา นี่เองคือความฝันของกริฟฟิท และจุดเริ่มต้นในการสร้างกองทัพเหยี่ยวของเขา แต่เมื่อกองทัพเหยี่ยวของเขาสามารถส่งเขาจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย เหยี่ยวที่เขาไว้ใจที่สุดกลับหันหลังให้เขาไป สำหรับกริฟฟิท การไล่ตามความฝันทำให้เขาเริ่มบ้าคลั่งจนเริ่มรู้สึกไม่เข้าใจตัวเอง มีเพียงความบ้าคลั่งกว่าของกัทส์ที่เป็นเหมือนสิ่งที่ดึงสติเหนี่ยวรั้งชีวิตเพียงอย่างเดียวของกริฟฟิท ต่อให้ความฝันของกริฟฟิทเป็นปราสาท แต่สำหรับกริฟฟิท กัทส์สำคัญต่อเขายิ่งกว่านั้น เมื่อไม่มีกัทส์ กริฟฟิทผลีผลามลักลอบเข้าหาองค์หญิง เขาสามารถทำให้องค์หญิงกลายเป็นสมบัติของเขาได้ แต่เพียงชั่วข้ามคืน เขาก็ถูกจับ การกระทำของกริฟฟิทสร้างความผิดหวังให้กษัตริย์แห่งมิดแลนด์ที่ทั้งรู้สึกว่าถูกหักหลัง และอิจฉากริฟฟิท กริฟฟิทถูกลงโทษ จองจำไว้ในคุกใต้ดิน กองทัพเหยี่ยวถูกเปลี่ยนสถานะจากวีรบุรุษเป็นกบฏ เมื่อไม่มีกัทส์ ปีกของเหยี่ยวที่กำลังบินสูงก็หักและทำให้เหยี่ยวร่วงหล่นลงในทันที หนึ่งปีที่ไม่มีกริฟฟิท แคสก้ากลายมาเป็นผู้นำกองทัพเหยี่ยว ส่วนกัทส์ก็เอาแต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าได้หันหลังทิ้งสิ่งล้ำค่ามาอีกแล้วใช่หรือไม่ กัทส์เก็บตัวบนเขาอยู่เป็นปีโดยไม่ได้คำตอบอะไรเลย เมื่อเขากลับลงมาและทราบข่าวของกองทัพเหยี่ยว กัทส์รีบกลับมาหากองทัพที่เป็นดั่งครอบครัวของเขา และการกลับมาครั้งนี้เองทำให้กัทส์กับแคสก้ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน  ความรักระหว่างหญิงที่สำนึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับกริฟฟิทกับชายผู้พยายามพิสูจน์ว่าตนเองคู่ควรกับกริฟฟิท การกลับมาของกัทส์ทำให้กองทัพเหยี่ยวเริ่มมีความหวัง ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา กองทัพเหยี่ยวสืบหาที่อยู่ของกริฟฟิท จนรู้ว่าเขาถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินกลางกรุงวินดัม เมืองหลวงของทิดแลนด์ พวกเขาไม่รอช้ารีบลักลอบเข้าไปช่วยเหลือกริฟฟิท ทว่าระยะเวลา 1 ปี กริฟฟิทกลับถูกทรมานแสนสาหัส เส้นเอ็นที่มือและเท้าโดนตัด ลิ้นถูกตัด ผิวหน้า และผิวหนังถูกถลก ร่างกายผอมเหลือแต่กระดูก ไม่เหลือสภาพชายผู้สง่างามที่กำลังไล่ตามความฝันอีกต่อไป ทั้งคณะช่วยเหลือมีเพียงกัทส์ที่ได้มองสภาพของกริฟฟิทอย่างเต็มตา กัทส์พยายามปกปิดทุกคนว่ากริฟฟิทยังเป็นเหมือนเดิม เขาใส่เกราะให้กริฟฟิทที่ ณ เวลานี้ แค่ยันตัวลุกขึ้นยังทำไม่ได้ ไม่นานนัก กษัตริย์แห่งมิดแลนด์ได้สั่งให้แม่ทัพผู้หนึ่งออกติดตามคณะช่วยเหลือ เมื่อได้ปะทะกัน แม่ทัพคนดังกล่าวก็เผยตัวเองว่าสามารถแปลงร่างเป็นปีศาจได้ กริฟฟิทถูกจับได้ เกราะที่ปิดบังสภาพสุดแสนอนาถของเขาถูกเจ้าปีศาจถอดออก เผยให้เห็นสภาพร่างกายที่สิ้นหวังต่อหน้ากองทัพเหยี่ยว กริฟฟิทไม่เหลือเกียรติและศักดิ์ศรีที่จะเป็นที่พึ่งให้แก่ใครได้อีกแล้ว เขาได้แต่มองและเอาใจช่วยกัทส์ที่สู้ตายถวายชีวิตกับปีศาจตรงหน้าอย่างไม่ย่อท้อ พร้อมกัดฟันด้วยความคับแค้น แต่เมื่อถึงบทสรุปของการต่อสู้ ร่างกายของปีศาจที่ดูแข็งแกร่งยิ่งใหญ่น่าสะพรึงกลัว ทว่าเมื่อพ่ายแพ้กลับเหลือเพียงซากของชายแก่ กริฟฟิทมองด้วยสายตาตกตะลึง ระคนตื่นเต้น   ความทะเยอทะยานของเหยี่ยวสีขาวอันเป็นปฐมบทแห่งความเกลียดชังคลั่งแค้นของหมาป่าสีดำ กริฟฟิทกลายเป็นภาระของทุกคน แคสก้าขอถอนตัวจากกองทัพเหยี่ยวเพื่อดูแลกริฟฟิท กัทส์กำลังถูกยกเป็นหัวหน้ากองทัพเหยี่ยว ทุกสิ่งทุกอย่างประดังประเดสู่กริฟฟิท เพียงปีเดียวเปลี่ยนตัวเขาที่กำลังจะก้าวขึ้นบันได้ขั้นสุดท้าย ให้ตกลงมาสู่จุดที่ต่ำที่สุดของเหวที่ลึกที่สุด กริฟฟิทคลุ้มคลั่งจนหนีออกมาจากกองทัพเหยี่ยวและคิดจะฆ่าตัวตาย จิตสำนึกของกริฟฟิทยังอยากกลับไปไขว่คว้าเป้าหมาย แต่ในอีกมุมหนึ่ง กริฟฟิทก็ฝันเห็นชีวิตที่อยู่กับแคสก้าอย่างมีความสุข เผยให้เห็นว่าสำหรับกริฟฟิท กัทส์เปรียบเหมือนลูกของเขา ขณะที่กริฟฟิทกำลังจะปลงตก เครื่องรางแปลกประหลาดที่หายไปจากเขาในวันที่เขาถูกจับกลับลอยตามน้ำกลับคืนมาสู่เขา และด้วยเลือดของกริฟฟิท เครื่องรางนั้นเปลี่ยนสภาพ เกิดสุริยคราส ปีศาจปรากฏกายออกมาให้เห็นอย่างมืดฟ้ามัวดิน  กองทัพเหยี่ยวที่ตามมาตกตะลึงกับภาพตรงหน้า เครื่องรางที่กริฟฟิทเก็บติดตัวมาหลายปีนั้น ในความเป็นจริงแล้วคือ ‘เบเฮริท’ สิ่งที่สามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นปีศาจ มากไปกว่านั้น เบเฮริทที่กริฟฟิทมีนั้นมีสีแดงฉาน บ่งบอกว่ามันสามารถเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นปีศาจที่เหนือกว่าปีศาจทั้งมวลได้เลยทีเดียว  การที่กริฟฟิทมีเบเฮริทติดตัวไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เขามีชะตากรรมเป็นผู้ถูกเลือก เพียงแต่ว่าหากกริฟฟิทยอมรับการเลือกนั้น กองทัพเหยี่ยวที่เขารักที่สุดก็จะกลายเป็นเหยื่อสังเวยเพื่อให้เขาได้กลายเป็นจอมมาร  กริฟฟิทที่คิดย้อนไปว่า เพื่อไล่ตามความฝัน เขาเหมือนกับกำลังเดินบนกองซากศพของทั้งมิตรและศัตรู แต่ซากศพก็ไม่มากพอที่จะให้เขาเหยียบไปถึงฝัน เหลือซากศพอีกเพียงน้อยนิดที่กริฟฟิทจะใช้เหยียบ กองทัพเหยี่ยวแต่ละคนก็เป็นเพียงขนปีกของเหยี่ยวที่โบยบินมาตลอดด้วยกัน ณ เวลานี้กริฟฟิทอยากได้ขนปีกมาช่วยให้เขาบินอีกครั้ง กริฟฟิทมองมาที่กัทส์ที่ตะเกียกตะกายขึ้นมาช่วยเหลือเขาจากเหล่าปีศาจ กัทส์เป็นคนเดียวที่จะสามารถทำให้กริฟฟิทลืมความฝันได้ แต่ตอนนี้คงไม่ใช่อีกแล้ว ‘ถวาย’ เมื่อกริฟฟิทพูดคำนี้ในใจ ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย ปลงตกแล้วว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความฝันของเขา แล้วพญามารตนใหม่ก็จุติขึ้น พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของกองทัพเหยี่ยวที่กำลังถูกฉีกทึ้งโดยเหล่าปีศาจ กัทส์ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนกับเหยี่ยวทุกคนที่จู่ ๆ ก็มีตราประทับประหลาดเกิดขึ้นบนตัวพวกเขา แล้วปีศาจที่เคยจ้องมองอย่างนิ่งเงียบก็เริ่มรุมเข้าฉีกกินทุกคนในกองทัพเหยี่ยว ไม่ว่าจะต่อสู้อย่างไร ภาพที่กัทส์เห็นตรงหน้าก็เป็นเพื่อนพ้องที่ค่อย ๆ ตายลงไปทีละคน กัทส์ต่อสู้กับปีศาจอย่างบ้าคลั่ง แขนข้างซ้ายของเขาตอนนี้อยู่ในปากของปีศาจตนหนึ่ง กัทส์มองเห็นปีศาจตนหนึ่งที่มีรูปร่างเป็นเหยี่ยวสีดำลอยลงมาตรงหน้า ปีศาจตนนั้นเป็นกริฟฟิทที่ผ่านพิธีกรรมมารจุติถือกำเนิดในชื่อเฟมโตปีกแห่งความมืด  ความสับสน เศร้า เดือดดาล ผิดหวัง ไม่เข้าใจ รัก เกลียด ประดังเข้ามาที่กัทส์ เพื่อเข้าช่วยแคสก้า กัทส์ยอมตัดแขนซ้ายของตัวเอง แต่ก็ไม่เป็นผล เขาถูกปีศาจจับกดลงกับพื้น ภาพสุดท้ายก่อนที่ตาขวาของเขาจะมองไม่เห็นไปตลอดกาลคือภาพของผู้หญิงที่เขารักกำลังถูกเพื่อนทรยศข่มขืนต่อหน้า   นักดาบดำผู้ใช้ชีวิตในนรกแห่งความเกลียดชังและคลุ้มคลั่ง กัทส์ตื่นขึ้นและพบว่าเขากับแคสก้ารอดชีวิตมาได้ ทว่าก็พบว่าพวกเขาได้ถูกประทับตราเป็นเครื่องสังเวย ทุก ๆ คืนโลกของคนที่มีตราประทับจะคาบเกี่ยวระหว่างพรมแดนระหว่างโลกแห่งคนเป็นกับโลกของคนตาย เมื่อตราประทับหลั่งเลือด คนตายจะมารวมตัวกันที่เครื่องสังเวย เพราะอยากสิงสู่หรือกัดกินเลือดเนื้อของเหยื่อสังเวย ชะตากรรมของผู้มีตราประทับคือชีวิตที่ค่ำคืนไม่ได้เงียบสงบอีกต่อไป แต่สำหรับกัทส์มันก็คือสงคราม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สำหรับเขาผู้ที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้ายคือผู้ชนะ หายนะยังไม่จบสิ้น แคสก้าสูญเสียความทรงจำจากโศกนาฏกรรมที่เจอ แต่ร่างกายของแคสก้าก็ได้สร้างสิ่งมีชีวิตใหม่เกิดขึ้น สิ่งนั้นเป็นลูกของกัทส์ เพียงแต่ว่าเด็กที่อายุครรภ์น้อยไม่เป็นรูปเป็นร่างกลับโดนปีศาจสิงสู่เนื่องจากถูกข่มขืนโดยปีศาจ ลูกของกัทส์กลายเป็นเด็กต้องสาปตั้งแต่เกิด เพื่อปกป้องแคสก้า กัทส์เลือกจะออกเดินทางไล่ล่ากริฟฟิท เขาได้รับความช่วยเหลือจากนายช่างตีดาบผู้ใฝ่ฝันจะตีดาบที่ฆ่ามังกรได้ แต่ขนาดของดาบนั้นก็ใหญ่เสียจนไม่มีใครยกขึ้น ยกเว้นกัทส์ที่ใช้อย่างคล่องแคล่ว มือซ้ายถูกทดแทนด้วยแขนเทียมที่สามารถยิงกระสุนระเบิด หรือเปลี่ยนเป็นหน้าไม้ได้ ร่างกายของกัสท์ห่อหุ้มด้วยเกราะสีดำ ออกไล่ล่าปีศาจเพื่อตามหาเฟมโต หรือกริฟฟิทอดีตเพื่อนรักของเขา ด้วยความแค้น จนกลายเป็นความเศร้า และความบ้าคลั่ง และเหี้ยมโหดที่ดูไม่มีวันจบลง กัทส์ใช้ชีวิตอยู่กับนรกในทุก ๆ ค่ำคืนเป็นเวลา 2 ปี เมื่อเขากลับมาหาแคสก้าก็พบว่าเธอหายไป กัทส์ออกเดินทางตามหาแคสก้า ทำให้การต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวของเขาค่อย ๆ ถูกเติมเต็มด้วยมิตรภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘พัค’ เอลฟ์ไร้เดียงสาที่สนใจในตัวกัทส์ และร่วมเดินทางกับเขามาแต่แรก และ ‘ซีร์เก้’ แม่มดผู้ซึ่งแนะกัทส์ให้รู้จักโลกเวทมนตร์ ผู้ที่ช่วยนำเอาความทรงจำมาคืนให้กับแคสก้า และเป็นผู้ทำให้กัทส์ได้สวมใส่เกราะนักรบคลั่ง ความคลั่งแค้น เกลียดชังของกัทส์เผยตัวตนอีกด้านของเขาออกมาในรูปปีศาจสุนัขสีดำตัวใหญ่ ที่พร้อมจะเข้าขย้ำทุกคนไม่เว้นคนที่เขารัก ด้วยนิสัยของกัทส์ เมื่อต้องต่อสู้ เขาจะสู้อย่างลืมตาย ไม่สนว่าร่างกายของตนจะเป็นอย่างไร ยิ่งกับคู่ต่อสู้ที่เป็นปีศาจ ร่างกายของกัทส์ยิ่งบอบช้ำฝังลึก ซึ่งมันอาจทำให้เขาไม่สามารถตามล่ากริฟฟิทได้จนถึงที่สุด การที่กัทส์ได้เจอกับเกราะนักรบคลั่ง วัตถุอาคมที่ทำให้กัทส์กลายเป็นเทพอสูรด้วยการกระตุ้นให้ผู้สวมใส่สูญเสียความเจ็บปวด แลกกับขีดจำกัดของร่างกายที่จะถูกรีดเร้นจนถึงหยดสุดท้ายของชีวิต เกราะจะมีฟันเหล็กออกมาเสียบตามร่างกายเพื่อดามอวัยวะที่แตกหัก เกราะจะกลืนกินวิญญาณของผู้สวมใส่ ผลักดันให้ต้องใช้ร่างกายต่อสู้จนกว่าจะขาดใจตาย ในขณะที่กริฟฟิทจุติใหม่อีกครั้งเป็นเหยี่ยวขาว ผู้นำกองทัพเหยี่ยวใหม่ สามารถรวบรวมโลกให้เป็นหนึ่ง สร้าง ‘ฟาลโคเนีย’ นครแห่งเหยี่ยวขึ้นแทนเมืองหลวงวินดัม กริฟฟิทกลายเป็นพระเจ้าของโลกใหม่ แต่ดูเหมือนว่ากริฟฟิทยังมีความฝันที่ต้องตามหาเหลืออยู่ และนั่นอาจหมายถึงการ ‘ถวาย’ ครั้งใหญ่อีกครั้ง  ขณะที่กริฟฟิทกลายเป็นตัวเอกในตำนานของโลกใหม่ ในมุมมืดของตำนาน กัทส์ที่กำลังสิ้นหวังเพื่อจะต่อกรกับกริฟฟิทยอมรับชะตากรรมของการเป็นเจ้าของเกราะนักรบคลั่ง ที่เปลี่ยนรูปกายของเขาให้เป็นหมาบ้าเกราะดำตามจิตแห่งความเกลียดชังของเขา ความเกลียดคือสิ่งที่ขับดันกัทส์ให้เดินทางต่อไป ตัวตนใหม่ของกัทส์ถูกขับดันด้วยความเกลียดชังมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อกริฟฟิทผู้ซึ่งเขาเคยทั้งรักและบูชา  เหมือนที่นักปรัชญาเยอรมันอย่างนีทเชอเคยเสนอไว้ว่า ไม่ได้เพียงแต่ความรักที่ขับดันมนุษย์ให้สร้างตัวตน ความเกลียดชังก็ผลักดันตัวตนของมนุษย์ได้รุนแรงไม่แพ้กัน   การเดินทางที่ไม่มีวันถึงจุดจบ เรื่องราวของกัทส์ถูกนำเสนอครั้งแรกใน ค.ศ. 1989 โดย เคนทาโร มิอุระ บัณฑิตจากวิทยาลัยศิลปะของมหาวิทยาลัยนิฮง ในช่วงปีสุดท้ายของการเรียน มิอุระทำงานเป็นผู้ช่วยให้กับ โยชิยูกิ โอกามูระ หรือ ‘บุรอนซอน’ เจ้าของผลงานมังงะระดับตำนาน หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ (Hokuto no Ken) มิอุระได้ตีพิมพ์เรื่องสั้น 48 หน้าชื่อว่า Berserk ซึ่งเป็นต้นแบบของเบอร์เซอร์กในปัจจุบัน มิอุระเปิดตัวมังงะซีรีส์เบอร์เซอร์ก เมื่อเขาอายุได้ 23 ปี  เบอร์เซอร์ก เล่าเรื่องราวการเดินทางของกัทส์มาทั้งสิ้น 32 ปี ด้วยความยาว 363 ตอน รวมเป็น 40 เล่ม (และน่าจะเป็น 41 เล่มในไม่ช้า) ใช้หน้ากระดาษเกือบ 10,000 หน้า เบอร์เซอร์กทำยอดขายรวมกันกว่า 50 ล้านเล่ม อนิเมะที่สร้างจากมังงะได้รับการโหวตให้อยู่ลำดับที่ 91 ของสุดยอด 100 อนิเมะของทีวีอาซาฮีเรื่องหนึ่งที่เป็นที่ถกเถียงถึงที่มาของชื่อตัวละครหลักของเบอร์เซอร์ก ซึ่งก็คือกัทส์นั้นว่ามีที่มาจาก กอทฟรีด์ ฟอน เบลิชลิงเงิน (Gottfried von Berlichingen) อัศวินและขุนนางเยอรมันที่มีชีวิตจริงใน ค.ศ. 1480 - 1562 เขามีส่วนในสงครามมากมายโดยเฉพาะการปราบปรามกบฏชาวนาครั้งใหญ่ในดินแดนเยอรมันช่วง ค.ศ. 1524 - 1525  ฟอน เบลิชลิงเงิน เสียแขนขวาจากการรบใน ค.ศ. 1504 ทำให้เขาต้องใส่แขนเทียมเหล็กเพื่อให้สามารถบัญชาการรบได้อย่างสะดวก เรื่องราวชีวิตของเขาถูกดัดแปลงโดย เกอเธ (Johann Wolfgang von Goethe) ในชื่อ กอทซ์ ฟอน เบลิชลิงเงิน (Götz von Berlichingen) แต่มิอุระปฏิเสธ และกล่าวว่าชื่อของกัทส์ก็แค่เหมาะกับมังงะสำหรับเด็กผู้ชาย มิอุระบอกว่าสำหรับเขา กัทส์ ซึ่งพ้องเสียงกับ แมว (Katte) ภาษาเยอรมัน กัทส์ในความหมายของมิอุระจึงคือ ‘แมวป่า’ ใน ค.ศ. 2009 ในตอนนั้นเบอร์เซอร์กดำเนินมาราว 200 ตอน มิอุระกล่าวว่าเรื่องราวได้เดินมา 60 - 70 % แล้ว แต่ด้วยการที่มิอุระมักจะหยุดพักเพื่อหาแรงบันดาลใจใหม่ ๆ รวมถึงไปเขียนเรื่องสั้นอื่น ๆ อยู่เสมอ ทำให้ผ่านมาแล้วกว่า 10 ปี เรื่องราวในปัจจุบันของกัทส์ยังมองไม่เห็นความชัดเจนที่จะคลี่คลายไปในทิศทางใด นอกจากจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เบอร์เซอร์กกำลังถูกแทนที่ความบ้าคลั่งด้วยพลังโมเอะ แต่ก็อาจสอดคล้องกับที่มิอุระสัญญาไว้ว่า เรื่องราวของกัทส์นั้นจะดำมืดเพียงใด มันก็จบลงด้วยความสุขในที่สุด ทว่าสำหรับนักอ่านคงไม่มีทางได้รับรู้ถึงตอนจบของการเดินทางของกัทส์อีกแล้ว เพราะเมื่อเช้าวันที่ 20 พฤษภาคม 2021 มิอุระเสียชีวิตด้วยโรคหลอดเลือดแดงใหญ่ฉีกขาดฉับพลัน ปิดฉากมังงะระดับตำนานเรื่องนี้ลง และการเดินทางของกัทส์คงไม่มีทางจบสิ้นอีกต่อไป   อ้างอิง พิสิษฐิกุล แก้วงาม. (2557). ความเกลียดชัง : สำรวจทฤษฎีและข้อคิดเห็นบางประการ. ใน เอกสารสืบเนื่องการประชุมวิชาการระดับชาติ เวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 8, เชียงใหม่. Miura, K. (2560 - 2561). Berserk. เล่ม 1 - 40. วิสุทธิ์ พิเชษฐ์วานิช. (แปล). สยามอินเตอร์บุ๊คคอมมิกส์. Miura, K. (2562). Berserk Official Guidebook. วิสุทธิ์ พิเชษฐ์วานิช. (แปล). สยามอินเตอร์บุ๊คคอมมิกส์. animenewsnetwork.com. (2021, 6 Jan). TV Asahi Announces Top 100 Manga Voted on By 150,000 Readers. Retrieved. https://www.animenewsnetwork.com/interest/2021-01-05/tv-asahi-announces-top-100-manga-voted-on-by-150000-readers/.168145. BerserkWiki. (n.d.). Interviews with Kentarou Miura. Retrieved. https://berserk.fandom.com/wiki/Interviews. BerserkWiki. (n.d.). Timeline. https://berserk.fandom.com/wiki/Timeline. Bouchard, K. (2020, 11 Jun). Berserk: 10 Things Fans Never Knew About The Iconic Dark Fantasy Manga & Anime. Retrieved. https://www.cbr.com/berserk-anime-manga-facts/. Llewellyn, T. (2021, 22 May). BERSERK: FANS PAY TRIBUTE TO KENTARO MIURA’S PASSING, AGED 54. Retrieved. https://www.hitc.com/en-gb/2021/05/20/berserk-fans-pay-tribute-to-kentaro-miuras-passing-aged-54/. Luster, J. (2016, 13 Aug). ‘Berserk’ Discussion Explores Kentaro Miura’s Roots. Retrieved. https://www.crunchyroll.com/anime-feature/2016/08/12/feature-berserk-discussion-explores-kentar-miuras-roots. Mangabrog. (2015, 14 Dec). BERSERK ARTIST KENTARO MIURA INTERVIEW. Retrieved. https://mangabrog.wordpress.com/2015/12/14/berserk-artist-kentaro-miura-interview-i-actually-dont-think-i-could-let-such-a-long-grim-story-end-with-a-grim-ending/. Siemens, H.W. (2015). Nietzsche’s Philosophy of Hatred. 77ste Jaarg., Nr. 4 (vierde kwartaal 2015), 747-784. Retrieved. http://www.jstor.org/stable/24673625. The Editors of Encyclopaedia Britannica. (n.d.). Götz von Berlichingen: play by Goethe. Retrieved. https://www.britannica.com/topic/Gotz-von-Berlichingen-play-by-Goethe.   เรื่อง: พิสิษฐิกุล แก้วงาม