ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง: คนฮายุคสองพัน “แก...ไม่มีสิทธิ์...มาเรียกฉันว่าพ่อ!!!”

ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง: คนฮายุคสองพัน “แก...ไม่มีสิทธิ์...มาเรียกฉันว่าพ่อ!!!”
“สวัสดีครับ ผมตูน บริบั๊ก ตั๊ก บริบูรณ์” คำแนะนำประจำตัวของนักแสดงลูกครึ่งที่ผันตัวเองมาเป็นดาวตลกบ้าพลัง เล่นใหญ่จนหน้าแดงหน้าดำ และมุกตลกจังหวะนรก คนรุ่นใหม่จดจำเขาในฐานะตลกที่เรียกเสียงฮากับทีมโจ๊กเกอร์, บริษัทฮาไม่จำกัด และรายการอ่ะจ๊าก จนหลายคนแทบจะลืมไปแล้วว่าเขาเคยเป็นดาราเด็กอนาคตไกล เป็นดาราวัยรุ่นเจ้าบทบาท และเป็นพิธีกรลีลาแพรวพราว เรามาทำความรู้จักทุกแง่มุมของผู้ชายคนนี้ แล้วจะรู้ว่าคำที่ผู้ชายคนนี้มักพูดว่า “ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง” ไม่ใช่เพียงคำพูดขำ ๆ ที่มาจากปากของเขาเท่านั้น   มะมะมาจากไหน เธอจะเป็นใครไม่สำคัญหรอก จากเด็กหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ และมีแม่ผู้สู้ชีวิตหาเช้ากินค่ำเป็นแม่ค้าขายหมูปิ้งขายข้าวแกง จนต้องพาเด็กชายบริบูรณ์ไปให้น้าของเขาเลี้ยงดู บันทึกหน้าแรกของชีวิตของตั๊ก ก็แทบไม่ต่างกับละครน้ำเน่าทั้งหลาย ที่ความยากจนนำพาให้เขาต้องกระเสือกกระสนหาทางเพื่อให้ชีวิตรอด แต่ด้วยใบหน้าที่น่ารักและเป็นลูกครึ่งตามแบบพิมพ์นิยมในยุคนั้น บวกกับความกล้าแสดงออกของเขา เด็กชายตั๊กเริ่มต้นวงการบันเทิงเมื่อน้าพาเขาเข้าประกวดโดมอนมินิในปี 2532 แม้จะได้ตำแหน่งรองชนะเลิศ แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เด็กชายคนนี้ได้เรียนรู้กับคำว่า “วงการบันเทิง” อย่างเต็มตัว  หลังจากนั้น เด็กชายบริบูรณ์ก็เดินสายถ่ายแบบโฆษณา/แคตาล็อกเสื้อผ้า ด้วยความขี้เล่นและร่าเริง เขาจึงเป็นที่เตะตาของโมเดลลิง นำไปสู่การถ่ายมิวสิควิดีโอเพลงแรกของเขาในเพลงฮิตที่สุดในยุคนั้นนั่นก็คือเพลง “เท้าไฟ” ของทัช ณ ตะกั่วทุ่งเมื่อปี 2534 โดยตั๊กรับบทเป็นเด็กเนิร์ดผู้เงียบขรึม แต่เมื่อเขาสวมรองเท้าคู่ใจ เขาก็เปลี่ยนไปเป็นพี่ทัช ธันเดอร์ ทันที เพลงนี้แจ้งเกิดเด็กชายตั๊กให้เริ่มเป็นที่รู้จักทันที สานต่อความดังของเพลงด้วยการสร้างหนังเรื่อง รองต๊ะแล่บแปล๊บ ในปีต่อมา ตั๊กได้ประกบกับทัชและความแสบซนของเขาก็ทำให้ตั๊กเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทันที “สมัยก่อนผมมีชีวิตที่ยากจนมาก ๆ ขายข้าวแกงช่วยแม่ที่สามแยก พอเริ่มมีชื่อเสียงชีวิตก็ดีขึ้นหน่อย ผมกับแม่ก็เลยเขยิบฐานะ จากขายข้าวแกงที่สามแยก เป็นสี่แยกแทน ผ่ามผ่าม!!!!”   หลงในแสงสี จนเกือบกู่ไม่กลับ หลังจากที่ดังจากหนังรองต๊ะแล่บแปล๊บ ตั๊กก็กลายเป็นดาราเด็กขวัญใจมหาชน เป็นที่ต้องการของผู้จัดมากมายที่ตบเท้าเข้ามาติดต่อให้เขาไปแสดงละครและโฆษณามากมาย ยิ่งนานวันชื่อเสียงและเงินทองก็หลั่งไหลเข้าหาเขาไม่ขาดสาย แม้จะเปลี่ยนผ่านจากเด็กชายเข้าสู่วัยรุ่น ตั๊ก บริบูรณ์ ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงการบันเทิงอย่างไม่หยุดนิ่ง เขาได้รับบทที่โตตามวัย ไม่ว่าจะเป็นหนังใหญ่อย่าง “แรงเป็นไฟ ละลายแค่เธอ” หรือ “เด็กเสเพล” ที่แม้จะไม่ใช่บทนำ แต่ทุกคนก็ยังจดจำหนุ่มน้อยคนนั้นได้  แต่เพราะการทำงานอย่างหนักหน่วงตั้งแต่วัยเด็ก ทำให้เขาเริ่มรู้สึกโหยหาความสุขที่แท้จริงของตัวเอง ตั๊กเริ่มเกเร เริ่มไปกองถ่ายสาย บางวันก็ไม่ยอมไปเสียดื้อ ๆ และปมหนึ่งในชีวิตที่ติดตัวเขามา คือแม้ว่าใบหน้าจะดูเป็นลูกครึ่ง แต่เขาเองกลับพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ตั๊กจึงตัดสินใจหันหลังให้กับวงการบันเทิง แล้วเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษโดยหวังจะไปใช้ชีวิตที่นั่นแล้วไม่คิดที่จะกลับไทยอีกเลย แต่แล้วแสงสีก็เชื้อเชิญให้ตั๊กหวนกลับคืนมาวงการบันเทิงอีกครั้ง เมื่อ “นีโน่” เมทนี บุรณศิริ และ “จ็อบ” นิธิ สมุทรโคจร ชวนให้กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง และให้เขาเปลี่ยนคาแรคเตอร์ของตัวเอง โดยให้ตั๊กเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด  สุดท้ายตั๊กก็ยอมใจอ่อนหวนคืนวงการอีกครั้ง และครั้งนี้เขากลับกลายมาเป็น “ตูน บริบั๊ก-ตั๊ก บริบูรณ์” ที่มีลูกบ้าอยู่เต็มเปี่ยม และสร้างความสุขให้กับผู้ชมนับแต่นั้น ตั๊ก บริบูรณ์ จันทร์เรือง: คนฮายุคสองพัน “แก...ไม่มีสิทธิ์...มาเรียกฉันว่าพ่อ!!!” ชีวิตมันต้องเดินตามหาความฝัน หกล้มคลุกคลานเท่าไหร่ การกลับมาของตั๊ก เริ่มต้นด้วยการเป็นพิธีกรร่วมกับ จ็อบ นิธิ ในรายการ Q-Twenty 20 คำถามเมื่อปี 2549 ซึ่งมาในช่วงเวลาเดียวกันกับที่วงบอดี้สแลมกำลังดังกับเพลงความเชื่อ ตั๊ก บริบูรณ์ จึงมักสวมวิญญาณคาแรคเตอร์ของ “ตูน บอดี้สแลม” อยู่บ่อย ๆ จนนำไปสู่ฉายา “ตูน บริบั๊ก-ตั๊ก บริบูรณ์” พร้อมสโลแกน ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง (แน่นอนว่าชื่อของลูกสาว บีลีฟ ก็มาจากศรัทธาและความเชื่อนั่นเอง)  ท่วงท่าลีลาโอเวอร์แอ็คไม่แคร์อะไร ตั๊ก บริบูรณ์ กลายเป็นไอ้บ้าที่มีแต่คนพูดถึงในวงกว้าง คาแรคเตอร์ที่ดูเหมือนไม่เต็ม แต่เต็มที่ในทุกการแสดง ผ่านความเชื่อความศรัทธาของตน ทำให้ตั๊ก แม้จะไม่ใช่พระเอกแถวหน้าอีกแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นที่จดจำในฐานะพิธีกรอารมณ์เดือดที่มีความมั่นใจในตัวเองเกินร้อยตลอดเวลาของเขานั่นเอง   เบนเข็มสู่เส้นทางตลกอย่างเต็มตัว “เชียงใหม่ ชายเหมี่ยง เชียงราย ชายเรียง ชายสี่ หมี่เกี๊ยว ผ่ามผ่าม...ผ่ามมมมมม” จากที่เป็นพิธีกรบ้าบอจนเป็นภาพชินตาแล้ว จู่ ๆ ตั๊ก บริบูรณ์ ก็เข้าสู่วงการตลกคาเฟ่ ด้วยความสนิทสนมกับ บอล เชิญยิ้ม ตั๊กเห็นความสนุกความเฮฮา และลูกบ้าที่พร้อมปลดปล่อยบนเวที เขาจึงขอตามติดขึ้นไปเล่นตลกบนเวที แน่นอนว่าทุกคนงงว่าอดีตพระเอกทำไมถึงมาเล่นตลกคาเฟ่ ในขณะที่เพื่อน ๆ ในคณะต่างก็งงเช่นกัน...งงว่ามันเล่นมุกอะไรของมัน และผลตอบรับก็นำมาสู่การทำโปรเจกต์ร่วมกันอย่างจริงจังกับ บอล เชิญยิ้ม ในชื่อ บริษัทฮาไม่จำกัด โดยคาแรคเตอร์ของตั๊กก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ยังคงบ้าพลัง พูดไม่รู้เรื่อง และยังคงจังหวะนรกอยู่ แต่มุกคมชัดมากยิ่งขึ้นเมื่อเขาได้จับคู่กับ นุ้ย เชิญยิ้ม ที่เป็นทั้งคู่หู ครู-ลูกศิษย์ และไม้เบื่อไม้เมาร่วมกันเสมอ โดยเฉพาะ EP. ที่ได้โซเฟีย ลา เป็นแขกรับเชิญในชื่อตอน “น้ำตากามโรค” ที่เล่นใหญ่เล่นแรง ในคาแรคเตอร์พ่อมหาเศรษฐี ที่ปล่อยวลีคม ๆ อย่าง “แก...ไม่มีสิทธิ์...มาเรียกฉันว่าพ่อ!!!” ได้อย่างหน้าแดงหูแดง จนอยากจะประเคนทุกรางวัลการแสดงบนโลกนี้ให้กับเขา และมุกอำหมอนวดของตั๊กก็แทบจะกลายเป็นคาแรคเตอร์ติดตัว ไม่ต่างกับมุกสาลี่สุพรรณฯ ที่แจ๊ค หรือ เยลโล่ เชิญยิ้มต้องโดนอำแทบทุกสัปดาห์       ยกทั้งแฟมิลีมาสร้างสันบนโลกโซเชียล ตั๊ก พบรักกับแอร์สาวชาวมาเลเซีย เอลซี่ ตัน ไอเชีย ที่แรกเห็นก็ปิ๊งขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็จีบกันผ่านอีเมล์และก่อตัวกลายเป็นความรักในเวลาต่อมา จนที่สุดทั้งสองก็แต่งงานและมีพยานรักเป็นเด็กน้อยน่ารักที่ชื่อว่า บีลีฟ และมีคนขับรถคู่ใจที่คาแรคเตอร์แรงไม่แพ้กันอย่าง พี่เนี้ยบ จนเกิดแชนแนลที่ชื่อ Boriboon Family ที่รวมทั้งความบ้าบอ ความเพี้ยน และความอบอุ่นอย่างน่ารักน่าชัง  แม้จะมีคาแรคเตอร์ขาด ๆ ล้น ๆ แต่ “ตูน บริบั๊ก-ตั๊ก บริบูรณ์” ก็พิสูจน์แล้วว่าถึงแม้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความบ้าพลัง และความมั่นอกมั่นใจแบบผิด ๆ แต่ด้วยความจริงใจของเขา ก็สามารถชนะใจและเป็นที่รักของคนดูได้จนถึงทุกวันนี้