บริทนีย์ สเปียร์ส: จากเด็กสาวที่ผู้คนรักในฐานะ ‘ป็อปสตาร์’ สู่การบอกโลกว่าเธอถูก ‘พ่อ’ พราก ‘ชีวิต’ ไป

บริทนีย์ สเปียร์ส: จากเด็กสาวที่ผู้คนรักในฐานะ ‘ป็อปสตาร์’ สู่การบอกโลกว่าเธอถูก ‘พ่อ’ พราก ‘ชีวิต’ ไป
“ฉันบอกโลกว่าฉันสบายดีมาตลอด แต่วันนี้ฉันจะพูดความจริง ว่าฉันไม่มีความสุข ฉันนอนไม่หลับ ฉันโกรธแทบบ้า และฉันเศร้าเหลือเกิน” 23 มิถุนายน 2021 ภายใต้การรับรู้ของผู้คน ความห่วงใยของแฟนเพลง และการพิจารณาของศาล ‘บริทนีย์ สเปียร์ส’ (Britney Spears) ซูเปอร์ป็อปสตาร์ผู้กลายเป็นที่รักนับจากปี 1999 และอัลบั้ม ‘...Baby One More Time’ ได้กล่าวสารภาพความจริงตลอด 13 ปีที่ผ่านมาของเธอต่อโลก จากจุดสูงสุดของประวัติศาสตร์เพลงป็อปยุค 2000s เด็กสาวเจ้าของเพลง ‘Oop!...I Did It Again’ ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ใหญ่ กำลังร้อยเรียงความเศร้าจากใจของเธอเพื่อขอให้ผู้พิพากษา ‘เบรนดา เพนนี’ (Brenda Penny) ปลดตำแหน่ง ‘ผู้พิทักษ์’ (conservatorship) ที่มอบอำนาจให้ ‘เจมี สเปียร์ส’ (Jamie Spears) พ่อของเธอมีสิทธิ์จัดการและควบคุมชีวิตเธอมานานปี พร้อมทั้งบอกว่าทุกคนที่บงการชีวิตของเธอตลอดมา ควรมีปลายทางเป็นห้องขังหลังลูกกรง บทความนี้จะบอกเล่าความเศร้าที่มี ‘พ่อ’ เป็นคนกำหนดของบริทนีย์ นับจากวันและวัยที่ใบหน้าของเธอยังประดับด้วยรอยยิ้ม จนวันที่น้ำตาบดบังทุกสิ่ง เมื่อความเป็น ‘เจ้าของชีวิต’ ของตัวเธอเองได้ถูกพรากไป   วัยเด็กและ toxic parents เคนต์วูดเป็นเมืองเล็ก ๆ ในรัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและผู้คนรู้จักกันทั่ว เจมี สเปียร์ส และ ลินน์ สเปียร์ส (Lynn Spears) พ่อและแม่ของบริทนีย์ตกหลุมรักและลงหลักปักฐานด้วยกันที่นั่น ความรักของทั้งสองยังหวานชื่นในตอนที่พวกเขามีลูกชายคนแรก ทว่าไม่นานหลังจากนั้น ความเปราะบางแห่งความสัมพันธ์ก็เข้ามาแทนที่ เจมีและลินน์ทะเลาะกันเสมอ และร่ำ ๆ จะหย่าร้างกันก่อนที่ลูกสาวที่จะกลายเป็นป็อปสตาร์ของพวกเขาจะเกิดเสียอีก คู่รักคู่นี้ประคองความสัมพันธ์กระท่อนกระแท่นมาจนวันที่เด็กหญิงบริทนีย์ จีน สเปียส์ (Britney Jean Spears) ลืมตาดูโลกในปี 1981 บริทนีย์ พี่ชาย และน้องสาวเติบโตขึ้นมาโดยมีเสียงเขวี้ยงขวดเหล้าของพ่อ และเสียงเขาด่าทอแม่เป็นแบ็กกราวนด์ชีวิตจวบจนวันที่พวกเขาตัดสินใจหย่ากันในปี 2002 - หลังจากที่ลูกสาวของพวกเขากลายเป็นดาวค้างฟ้า “(การหย่ากันของพ่อแม่) เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตฉันเลย พวกเขาไปกันไม่รอดมาตั้งนานแล้ว ฉันอยากให้เขาเลิกกันตั้งแต่สิบปีที่แล้วด้วยซ้ำ” แม้เสียงพ่อแม่ทะเลาะกันจะดังลั่นอยู่ข้างหู หากหนูน้อยบริทนีย์ก็ยังเหลือพื้นที่ให้เสียงดนตรีได้เข้ามาสัมผัส ตั้งแต่ยังไม่ครบห้าขวบดี บริทนีย์ก็รู้ตัวว่าเธออยากเป็นศิลปินยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก   สู่เส้นทาง Queen of Pop บริทนีย์รักการร้องเพลงและการเต้น เธอเริ่มเรียนบัลเลต์และเริ่มก้าวสองเท้าเล็ก ๆ ขึ้นเวทีทั้งงานโรงเรียนและการประกวดต่าง ๆ แม่ของบริทนีย์สนับสนุนความฝันของเธออย่างเต็มที่ด้วยการพาลูกสาวอายุแปดปีย้ายจากลุยเซียนามาเช่าห้องพักเล็ก ๆ ในนิวยอร์ก เพื่อให้เด็กหญิงได้เข้าเรียนที่ Professional Performing Arts School สาขาการแสดง แม้ว่าครอบครัวของเธอจะไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากมายอะไรนัก หากความสามารถ ความตั้งใจ และรอยยิ้มที่ยังประดับด้วยความสดใสของเด็กหญิงก็พาให้ประตูแห่งโลกใบใหม่ที่มีกล้องคอยถ่ายทำเสมอเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเธอโตพอ เด็กสาวก็ได้เซ็นสัญญากับค่าย Jive Record และปล่อยอัลบั้มแรกอย่าง ‘...Baby One More Time’ (1999) ออกมา นับจากวันนั้น เสียงเพลงของเธอก็โด่งดังไปทั่วโลก อิมเมจเด็กสาวผมบลอนด์ร้องเพลงเพราะและเต้นเก่ง ได้เข้าจับจองพื้นที่ในใจของผู้คน บริทนีย์ยิ้มกว้างรับความสำเร็จ เธอร้องเพลง เต้น หัวเราะ และปรากฎตัวบนเวทีอย่างมั่นใจครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ครั้งแล้ว...และครั้งเล่า จนแม้แต่เด็กสาวเองก็อาจไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าความบอบช้ำทางจิตใจที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับความเหนื่อยล้าทางกายนั้นเกิดขึ้นครั้งแรกตอนไหน บริทนีย์ สเปียร์ส ร้องไห้   เด็กสาวผู้ถูกโลกหันหลังให้ ฉาบเคลือบด้วยภาพลักษณ์ป็อปสตาร์แสนสดใส ตัวตนที่แท้จริงของบริทนีย์นั้นเปราะบางและอ่อนไหวเสมอมา เธอแคร์ทุกคนรอบตัวและกังวลเสมอว่าพ่อ แม่ หรือใครก็ตามที่รักเธอจะต้องเสียใจ เช่นในครั้งที่ชื่อของเธอถูกเสนอให้เข้าชิงรางวัลแกรมมีในปี 2000 แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ใช่ผู้ชนะ บริทนีย์เสียใจ ไม่ใช่เพราะเธออยากได้รางวัลนั้นมาไว้กับตัว แต่เป็นเพราะเธอกลัวครอบครัวของเธอจะผิดหวัง "ฉันรู้สึกว่าฉันทำพวกเขาผิดหวัง แต่แม่บอกกับฉันว่า ที่รัก มันไม่เป็นไรเลย ไม่ว่าหนูจะชนะหรือแพ้ แม่ก็รักหนูอยู่ดี" ความอ่อนไหวของเธอถูกกวนตะกอนให้ขุ่นอีกครั้งด้วยคำประนามจากสังคม แม้แต่ในเรื่องที่เธอไม่ได้ทำผิด แน่นอนว่าเมื่อกลายเป็นคนดังเธอย่อมถูกจับตามองจากนักข่าวหัวกอสสิป ชื่อของเธอปรากฎหราทุกครั้งไม่ว่าเธอจะทำอะไร แต่งตัวแบบไหน และ (อาจจะทำหรือไม่) ทำศัลยกรรมอะไร ‘ทำไมบริทนีย์แต่งตัวแบบนั้น’ ‘แต่งตัวโป๊ได้ไง ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีเลย’ ‘เธอไม่สวยอะ’ ‘จริง ๆ นะ ถ้าฉันมีโอกาสยิงบริทนีย์ สเปียร์สได้ ฉันก็จะทำ’ ‘นมปลอมมาก’ สารพัดคำด่าที่พุ่งเข้าหาตัวเธอทำให้หลาย ๆ ครั้งบริทนีย์ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากซบใบหน้าลงกับเข่าและร้องไห้ในอ่างอาบน้ำเพียงลำพัง   เครื่องจักรแสนเศร้า “ให้ฉันพักบ้าง ไม่อย่างนั้นฉันจะเป็นบ้า” คือถ้อยคำที่บริทนีย์เคยให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตของเธอในยุค 2000s นับจากที่มีเพลงดังออกมา 2 อัลบั้ม บริทนีย์ในสายตาค่ายเพลง - และซ้ำร้าย อาจรวมถึงในสายตาครอบครัวของเธอด้วย กลายเป็นเครื่องจักรแห่งการร้องและเต้น  ช่วงเช้าของเธอหมดไปกับการห้อมล้อมด้วยสตาฟฟ์ โปรดิวเซอร์ ผู้จัดการฝ่ายต่าง ๆ ส่วนช่วงค่ำหลังจากแต่งตัวด้วยชุดที่ฝ่ายเสื้อผ้าจัดหามาให้ แม้ร่างกายจะไม่พร้อมสักเพียงไหน หากเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนบนเวที เธอก็ต้องฉีกยิ้ม เต้น ร้องเพลง และบอกกับแฟน ๆ ตรงหน้าว่าเธอกำลังมีคืนที่ดีเพียงใดที่ได้ใช้เวลาร่วมกับพวกเขา แหล่งข่าวหลายรายบอกตรงกันว่า ในหนึ่งวัน บริทนีย์จะมีช่วงเวลาที่ได้พักและอยู่กับตัวเองจริง ๆ แค่วันละไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น และแน่นอนว่าหนึ่งคนที่มีส่วนในการดูแล หรือเราอาจจะเรียกได้ว่าควบคุม หรือแม้แต่บงการบริทนีย์มากที่สุดในช่วงเวลานั้น ๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นแม่ของเธอนั่นเอง “ชีวิตของบริทนีย์ถูกบงการมาตลอด เธอถูกควบคุมโดยครอบครัว โดยแม่ของเธอ โดยเมเนเจอร์ เธอแทบไม่เคยมีชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ” อีกเรื่องราวที่ประดังเข้ามาพังชีวิตของบริทนีย์ ก็คือเรื่องชีวิตรัก - ความรักในอดีตของบริทนีย์นั้นผิดหวังมากกว่าสมหวัง และบางครั้งก็สร้างแผลเป็นรอยใหญ่ไว้ให้ป็อปสตาร์อย่างเธอ การแต่งงานของบริทนีย์กับ ‘เควิน เฟเดอร์ไลน์’ (Kevin Federline) พังไม่เป็นท่า และลงท้ายด้วยการหย่าร้างที่ต้องต่อสู้คดีเพื่อชิงสิทธิ์เลี้ยงดูบุตร   ซึมเศร้า ยา และพ่อผู้ฆ่าความสุขของลูก สืบเนื่องจากการหย่าร้างกับเฟเดอร์ไลน์ การแสดงออกของบริทนีย์เริ่มไม่อยู่กับร่องกับรอยอย่างที่เคย เธอโกนหัวตัวเอง และขับรถโดยไร้ใบขับขี่ (โดยมีแฟนใหม่นั่งประจำที่นั่งข้างคนขับ) และก่อคดีขับรถชน หลายคนมองว่านั่นคือพฤติกรรมที่เธอแสดงออกเพื่อปกป้องตัวเองจากความเสียใจ บางคนมองว่าเธอตกอยู่ใต้อำนาจของฤทธิ์ยา และอีกหลายคนมองว่าสุขภาพจิตของเธอเริ่มมีปัญหาขั้นวิกฤติ  โดยเฉพาะสื่อหัวซุบซิบดาราที่ต่างลงข่าวกันให้หนาหูว่า ‘บริทนีย์ สเปียร์ส เป็นบ้า’ ท่ามกลางปัญหาที่เข้ามารุมเร้า และอาการ mental breakdown บริทนีย์ถูกตัดสินว่าเธอไม่สามารถเลี้ยงลูกชายสองคนของเธอได้ และเฟเดอร์ไลน์จะได้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูพวกเขา มากไปกว่านั้น เธอยังถูกพรากสิทธิ์ในการกำหนดชีวิตตัวเอง เมื่อศาลตัดสินให้เธอเป็น ‘บุคคลเสมือนไร้ความสามารถ’ และให้เจมี สเปียร์ส ผู้เป็นพ่อ ได้ตำแหน่ง ‘ผู้พิทักษ์’ ที่มีสิทธิ์ในการดูแล - ตัดสินใจเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิตเธอไป โดยที่ศาลอาจไม่รู้ (หรืออาจรู้) ว่าการมอบอำนาจเช่นนั้นจะทำให้ชีวิตของบริทนีย์ถูกครอบงำด้วยเงาแห่งความเศร้าของการ ‘ถูกควบคุมชีวิต’ ยิ่งไปกว่าที่เคย   13 ปี ที่ร้องไห้ทุกค่ำ 23 มิถุนายน 2021 คือวันสารภาพของบริทนีย์ และแม้เราจะใช้คำว่าสารภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอได้ทำความผิดอะไรไว้ในอดีต สิ่งที่เธอทำมีเพียงถ้อยคำโกหกว่า ‘ฉันสบายดี และฉันมีความสุข’ ที่เธอพูดเสมอมาตลอด 13 ปีที่ตัวเองต้องตกอยู่ใต้การควบคุมของพ่อ เป็นระยะเวลากว่า 20 นาทีที่บริทนีย์พูดด้วยเสียงของตัวเองว่าตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เธอเจ็บปวดเพียงใด และเธอต้องผ่านอะไรมาบ้างโดยลำพัง เธอถูกบังคับให้จัดคอนเสิร์ตทัวร์ปี 2018 ถูกบังคับให้เซ็นเอกสาร ให้ซ้อม และให้ขึ้นเวทีทั้งที่ป่วยหนัก ถูกบังคับให้กินยากล่อมประสาทชนิดแรงอย่าง ‘ลิเธียม’ (ที่แม้เธอจะพูดถึงเรื่องราวในปี 2018 แต่ก่อนหน้านี้ ในปลายยุค 2000s ก็เคยมีข่าวลือหนาหูออกมาเช่นกันว่าพ่อและผู้จัดการของเธอผสมยาบางอย่างในมื้ออาหารให้เธอรับประทาน) และยังถูกห้ามไม่ให้ถอนยาคุมกำเนิดถาวรที่ถูกฝังอยู่ในร่างกาย ทำให้เธอและแฟนหนุ่มคนปัจจุบัน ไม่สามารถมีลูกหรือสร้างครอบครัวร่วมกันได้ “มันน่าขำมากที่ได้ยินเรื่องราวจากปากผู้จัดการของตัวเอง เขาบอกว่าฉันไม่กินยา ไม่ซ้อม คือฉันจะกินยาตอนซ้อมได้ไงในเมื่อยาที่หมอจัดให้มันมีแค่ตอนเช้าที่ฉันตื่นนอน ไม่ใช่ตอนซ้อม “ ฉันไม่มีสิทธิ์บอกว่า ‘ไม่’ ด้วยซ้ำ ทั้งที่ฉันไม่ใช่ทาส ครั้งหนึ่งที่ฉันบอกว่า ‘ไม่’ วันต่อมาหมอเอายาตัวเดิมที่ฉันกินมาตลอดห้าปีไป แล้วจ่ายยาใหม่เป็น ‘ลิเธียม’ (ยากล่อมประสาทชนิดแรงและผลข้างเคียงมากจนอาจทำลายระบบประสาทถ้าใช้ติดต่อนานห้าเดือน) “พวกเขาบังคับให้ฉันกินมันทุกวัน ถ้าฉันไม่กินยาหรือซ้อมเต้นไม่หนักพอในสายตาพวกเขา ก็จะโดนยึดเงิน ยึดโทรศัพท์ โดนลงโทษด้วยการไม่ให้ฉันเจอแฟน และไม่ให้เจอแม้แต่ลูก ๆ ของตัวเอง “ครอบครัวของฉันไม่ใช่แค่ทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ พ่อของฉันอยู่เบื้องหลังมันเลยต่างหาก ทุกอย่างที่้เกิดขึ้นอยู่ในความดูแลของเขา เขาชอบที่จะควบคุมให้ลูกสาวตัวเองเจ็บปวดแบบ 100,000% เขารักมันเลยแหละ “และนั่นเป็นเหตุผลที่ฉันจะบอกคุณอีกครั้งหลังจากผ่านมาสองปี ฉันโกหกทุกคนบนโลกมาตลอด ‘ฉันสบายดีและมีความสุข’ นั่นคือคำโกหก ฉันคิดว่าถ้าฉันพูดมันบ่อย ๆ วันหนึ่งฉันอาจจะมีความสุขขึ้นมาจริง ๆ ก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันจะสารภาพความจริง ฉันไม่มีความสุขค่ะ ฉันนอนไม่หลับ ฉันโกรธ มันบ้ามาก ฉันเต็มไปด้วยความเศร้า และเอาแต่ร้องไห้ทุกวัน” ท่ามกลางคำเปิดเผยถึงการล่มสลายทางความรู้สึกที่บริทนีย์ปิดบังมันมาอย่างยาวนาน แฟน ๆ ทั่วโลกได้โอบรับความเศร้าของเธอไว้ อีกทั้งร่วมให้กำลังใจและเรียกร้องให้เธอผ่าน #FreeBritney เพื่อที่ว่าวันหนึ่งเธอจะได้ปลดแอกจากการควบคุมของ พ่อ แม่ หรือใครก็ตามบนโลก และได้มีชีวิตของตัวเองอย่างที่มนุษย์ทุกคนควรมี   ที่มา: https://www.youtube.com/watch?v=_6CGuHwWDFs https://www.youtube.com/watch?v=iVrhKBhMrEI https://www.youtube.com/c/DeepDiveProductions/videos https://www.nickiswift.com/149778/britney-spears-tragic-real-life-story/