บรูซ วิลลิส : คนอึดตลอดกาล ผู้กำลังเผชิญวิกฤตชีวิตครั้งสำคัญ

บรูซ วิลลิส : คนอึดตลอดกาล ผู้กำลังเผชิญวิกฤตชีวิตครั้งสำคัญ
ในช่วงเวลาหนึ่ง ชื่อฉายาของนักแสดงมักถูกใช้เพื่อความง่ายในการสื่อสารถึงอัตลักษณ์ของนักแสดงเหล่านั้น บรู๊ซ วิลลิส ก็เช่นกัน เมื่อหนังแจ้งเกิดของเขา นำมาซึ่งฉายา “คนอึด” ที่ติดตัวเขาอยู่เสมอ แม้ว่าชื่อ “คนอึด” จะมาจากชื่อหนัง Die Hard ที่แปลง่ายๆว่า “ตายยาก” แต่เส้นทางสายบันเทิงของเขา กว่าจะขึ้นแท่นเป็นซูเปอร์สตาร์แห่งหนังแอ็คชั่นได้ ก็นับว่าไม่มีฉายาไหนแล้วที่เหมาะกับเขาเท่ากับคำว่า “คนอึด” อีกแล้ว กลบปมด้อยด้วยการแสดง จากวัยเด็กที่เติบโตในประเทศเยอรมันตะวันตกที่มีพ่อเป็นวีรบุรุษสงคราม เด็กชาย วอลเตอร์ บรูซ วิลลิส รับฟังเรื่องโลดโผนในสมรภูมิรบจากปากผู้เป็นพ่ออย่างตื่นเต้น แต่หลังจากที่ปลดประจำการ พ่อของเขาได้พาครอบครัวย้ายมาจากเยอรมันตะวันตกสู่เมืองนิวเจอร์ซี่ประเทศอเมริกา ความเป็นคนพลัดถิ่นที่ต้องใช้ภาษาใหม่ ทำให้เด็กชายบรูซ กลายเป็นเด็กมีปัญหาในการพูด จนเป็นคนพูดติดอ่าง มีเพียงหนังจากนักแสดงเจ้าบทบาทมากมายในโรงหนังที่พ่อชอบพาไปดูในช่วงสุดสัปดาห์ ทั้งสตีฟ แมคควีน และ จอห์น เวนย์ ที่ทดแทนความเว้าแหว่งจากการไม่กล้าแสดงออกของเด็กชายบรู๊ซไปได้ และเพราะสนุกกับการเล่นที่โลดโผนและเจ็บตัว บรูซในวัยเด็ก จึงตั้งตนเป็นหัวโจกเกกมะเหรกเกเรอยู่ทุกวี่วันโดยไม่สนใจการเรียนใด ๆ กระทั่งช่วงมัธยมฯ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวเขาคือชมรมการแสดงและละครเวที ทำให้บรูซ มีความมุ่งมั่นที่จะลองเอาดีทางด้านนี้ โดยพรสวรรค์ที่เขามีคือความเป็นผู้นำและเป็นคนมีอารมณ์ขันอันแพรวพราวของเขานั้น ทำให้เขาเอาชนะปมด้อยนั่นคืออาการพูดติดอ่างได้เป็นผลสำเร็จ แต่เมื่อสิ้นสุดการศึกษาระดับมัธยมฯ บรูซ กลับเลิกสนใจที่จะเรียนต่อ เขาสมัครงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโรงงานเคมีใกล้บ้านเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระทางครอบครัวในฐานะพี่ชายคนโตที่ต้องดูแลน้อง ๆ ที่เหลือทั้ง 3 คน แต่เขายังไม่ทิ้งความฝันที่จะเป็นนักแสดง เขาเข้าเรียนเสริมวิชาการแสดงที่มหาวิทยาลัย Montclair State ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ เรียนไปได้เพียง 2 ปี เขาก็ตัดสินใจออกจากกลางคัน เพราะเห็นว่าการเรียนนั้นไม่เห็นผลเท่ากับการลงสนามจริง บรูซ ตัดสินใจย้ายไปนิวยอร์กเพื่อเดินหน้าตามล่าฝันของเขาอย่างเด็ดเดี่ยว เริ่มต้นการแสดงอย่างทุลักทุเล แต่ฝันของเขาไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อเขาพยายามเดินสายออดิชั่นไปทั่วทุกที่ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธเสียเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากรูปลักษณ์ภายนอกของเขาแสนธรรมดา บรูซจึงต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงปากท้อง โดยเลือกทำงานที่บาร์ตอนกลางคืน กลางวันจะได้เดินสายไปออดิชั่น ทำแบบนี้เรื่อยมาจนกระทั่งเขาได้รับโอกาสให้แสดงละคร Off-Broadway ในเรื่อง Heaven and Earth ในปี 1977 ทำให้เริ่มมีการพูดถึงเขาในฐานะนักแสดงสมทบที่น่าจับตา ไม่ใช่เพียงละครเวทีเท่านั้นที่เขาสนใจ เขายังเดินสายไปออดิชั่นแสดงหนังอย่างกระตือรือล้นเช่นกัน จนเขาได้รับบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ในหนังอย่าง The First Deadly Sin (1980) และ The Verdict (1982) แม้จะได้รับเพียงบทตัวประกอบที่ปรากฏตัวไม่กี่ฉาก แต่การได้ศึกษาการแสดงของพอล นิวแมน อย่างใกล้ชิด ทำให้บรูซรู้สึกว่าคุ้มแล้ว แม้จะเป็นเพียงบทบาทเล็ก ๆ ก็ตาม บรูซ เริ่มหลงใหลในโลกของภาพยนตร์ เขาตัดสินใจเดินทางไปยังฮอลลีวูดเพื่อคัดตัวนักแสดง แต่ยากเย็นเสียเหลือเกิน ก่อนที่เขาจะถอดใจและลองเปลี่ยนเส้นทางไปสายซีรีส์ทีวี และโชคก็เข้าข้างเขา เมื่อการทดสอบหน้ากล้องในซีรีส์เรื่องหนึ่ง ทำให้เขาได้แสดงอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่บทตัวประกอบหรือนักแสดงสมทบด้วย เพราะบทที่เขาได้รับนั้นคือพระเอกเลยทีเดียว นั่นคือซีรีส์ Moonlighting ที่เริ่มแพร่ภาพตั้งแต่ปี 1985 นั่นเอง เรื่องราวของนักสืบตกอับที่ต้องเกลี้ยกล่อมให้เจ้าของธุรกิจดำเนินกิจการบริษัทนักสืบนี้ต่อ จากพ่อแง่แม่งอนจนกลายเป็นความรัก เปิดโอกาสให้บรูซ ได้โชว์ลีลาการแสดงและเสน่ห์อย่างแพรวพราว จนกลายเป็นซีรีส์เรตติ้งดีของ ABC ที่ยืนยงบนจอมาอย่างยาวนานถึง 5 ฤดูกาล และทำให้บรูซ ได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงนำชายในซีรีส์สาขาตลกในซีซั่นแรก ก่อนจะคว้ารางวัลในซีซั่นที่ 2 และด้วยบทบาทนักสืบเจ้าเสน่ห์นี้เอง ทำให้บรูซได้แจ้งเกิดอย่างเต็มดัวในฐานะพระเอกจอมอึดในเวลาต่อมา ก้าวเข้าสู่บทบาท “คนอึด” อย่างเป็นทางการ แม้บทบาทใน Moonlighting จะทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ แต่บทบาทที่แจ้งเกิดเขาจริง ๆ กลับเป็นบทแอคชั่นที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้เล่นในหนัง Die Hard (1988) นั่นเอง ในยุค 80s นั้น เป็นยุครุ่งเรืองของหนังแอคชั่นฮีโร่ จากการกรุยทางสร้างความสำเร็จของหนังอย่าง Rambo ที่นำแสดงโดย ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน และ The Terminator คนเหล็กที่รับบทโดย อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ดังนั้น ภาพฮีโร่ที่อัดแน่นไปด้วยมัดกล้ามแสนกำยำจึงเป็นที่ต้องตาของของผู้สร้างหนัง เช่นเดียวกันกับ จอห์น แมคเทียแนน ที่มีโปรเจกต์หนังแอคชั่นเรื่องใหม่ และต้องการให้ซิลเวสเตอร์ หรืออาร์โนลด์มารับเล่นหนังเรื่องนี้ แต่ทั้ง 2 กลับปฏิเสธหนังเรื่องนี้อย่างไม่ใยดี ทีมผู้สร้างต่างควานหาพระเอกที่หน่วยก้านคล้ายกับทั้งคู่ แต่ก็ไม่มีใครเทียบชั้นเท่า กระทั่งชื่อของ บรูซ วิลลิส ปรากฏขึ้นในบอร์ดของการเสนอชื่อ แน่นอนว่าทุกคนไม่เห็นวี่แววที่หนังจะดังได้เพราะชื่อพระเอกหน้าใหม่คนนี้เลย แต่มันกลับเป็นการท้าทายครั้งสำคัญที่พลิกโฉมหน้าฮอลลีวูดไปในที่สุด เรื่องราวของ จอห์น แมคเคลน ตำรวจหนุ่มที่แวะมาหาภรรยาในช่วงวันคริสต์มาส โดยหารู้ไม่ว่าเขากำลังตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าผู้ก่อการร้ายที่กำลังจะยึดตึก กลับกลายเป็นหนังแอคชั่นสายพันธุ์ใหม่ในยุคนั้นที่เต็มอิ่มไปด้วยความระทึกและการแก้ปัญหาในแบบบุกตะลุยเดี่ยว และการได้บรูซ วิลลิสมารับบทบาทนี้ก็เป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับพระเอกหนังแอคชั่นที่มีความเป็นมนุษย์อยู่ในนั้น มีความเจ็บได้ โกรธเป็น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่พร้อมกำราบผู้ร้ายได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น การสู้ไป คิดไป และด่าไปของจอห์น แมคเคลน ทำให้หนัง Die Hard กลายเป็นแฟรนไชส์ชั้นดีของหนังแอคชั่นยุคใหม่ และแน่นอนว่า ได้แจ้งเกิด บรูซ วิลลิส ในฐานะซูเปอร์สตาร์เพียงชั่วข้ามคืน พระเอกผู้เข้าถึงได้หลายบทบาท และทั้งจาก Moonlighting และ Die Hard ทำให้บรูซ กลายเป็นพระเอกที่ฮอลลีวูดต้องการในทันที เพราะสามารถรับงานการแสดงได้หลากหลายเมื่อเทียบกับพระเอกหนังคนอื่นที่ภาพลักษณ์ของพวกเขาถูกจำกัดให้รับแสดงได้เพียงแนวเดียว ในช่วงยุค 90s จึงเป็นยุคทองของเขาที่ทำให้เขาได้มีโอกาสโชว์ฝีมือทางการแสดอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบทแอคชั่นจากภาคต่อของ Die Hard 2 (1990), หนังตลกอย่าง Look Who’s Talking (1991) ที่เขารับให้เสียงพากย์เป็นเด็กสุดแสบ, Death Become Her (1992) หนังตลกร้ายที่บรูซ รับบาทเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ท่ามกลาง 2 สาวอมตะที่ยื้อแย่งเขา ไปจนถึงหนังอาชญากรรมอินดี้พลิกวงการอย่าง Pulp Fiction (1994) หนังไซไฟไอเดียเจ๋งอย่าง 12 Monkeys (1995) หนังดราม่าสยองขวัญหักมุมสุดคลาสสิค The Sixth Sense (1999) หรือแม้กระทั่งหนังแอ๊คชั่นหายนะอุกกาบาตชนโลกอย่าง Armageddon (1998) รวมไปถึงการแต่งงานของเขากับนักแสดงสาวสุดฮอตแห่งยุคอย่าง เดมี่ มัวร์ ก็นับได้ว่ายุค 90s ถือเป็นช่วงเวลาที่โดดเด่นสำหรับบรู๊ซ ไม่ใช่น้อย แต่ในขณะเดียวกัน เพราะมีงานแสดงให้เลือกหลากหลาย จึงมีผลงานที่ได้รับการวิจารณ์อย่างเลวร้ายอยู่ในมือของเขาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Hudson Hawk (1991) หนังแอคชั่นที่โดนนักวิจารณ์และคนดูสับเละ จนเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัล Razzie Awards เป็นครั้งแรก รวมไปถึงหนังอีโรติกเขย่าขวัญอย่าง Color of Night (1994) หนังเปลืองเนื้อเปลืองตัวที่ผลตอบรับแสนเลวร้าย และปี 1998 ที่บรูซ คว้ารางวัล Razzie ในสาขานักแสดงนำยอดแย่ จากหนังถึง 3 เรื่องได้แก้ Armageddon, Mercury Rising และ The Siege แต่ถึงกระนั้น บรูซ ก็ยังคงเป็นพระเอกขวัญใจนักดูหนังที่ช่วงทศวรรษที่ 2000s และ 2010s ยังคงมีผลงานมากมายให้ชมกันเช่นเคย แม้จะไม่หวือหวาเหมือนช่วงยุคแรก ๆ แต่ในทุก ๆ ปีต้องมีหนังที่บรูซ แสดงอยู่ไม่เคยขาด ไปจนถึงผลงานทางด้านดนตรี และเป็นหุ้นส่วนของการเปิดร้าน Planet Hollywood ร้านดังในตำนานที่มีอยู่หลายที่ทั่วมุมโลก นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมกับฉายา “คนอึด” อย่างแท้จริง ช่วงขาลงและวิกฤตชีวิตที่ต้องเผชิญ หากเปรียบช่วงชีวิตของบรูซ เป็นกราฟ ปี 2021 และ 2022 น่าจะเป็นปีที่เขาต้องเผชิญความยากลำบากอย่างแสนสาหัส เมื่อผลงานช่วงหลัง ๆ มักเป็นหนังเกรดบีที่มักจะส่งตรงสู่ตลาดโฮมเอนเตอร์เทนเมนท์ทันทีโดยไม่ผ่านโรง โดยเฉพาะปี 2021 ที่ผ่านมา หนังทั้ง 8 เรื่องที่เขาแสดงนั้น ล้วนแต่เป็นหนังคุณภาพแย่ที่ไม่สมศักดิ์ศรีของพระเอกหนังเดนตายที่เคยทำไว้เลย สร้างความผิดหวังให้กับแฟนหนังอย่างมาก ถึงขนาด Razzie Awards เจ้าประจำที่พร้อมโขกสับหนังแย่ ๆ ต้องสร้างรางวัลจำเพาะให้กับบรู๊ซในสาขา Worst Bruce Willis Performance in a 2021 Movie กันเลยทีเดียว แต่หารู้ไม่ว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา บรูซ วิลลิส ต้องเผชิญกับปัญหาทางสุขภาพที่ค่อย ๆ ถดถอยอย่างยากลำบาก เขาจำบทที่แสดงไม่ได้ จนต้องลดสคริปท์ให้เขาท่องจำเหลือเพียงไม่กี่หน้า ไปจนถึงอาการหลง ๆ ลืม ๆ ที่ทำให้เขากลายเป็นอุปสรรคสำคัญในกองถ่าย โดยเฉพาะการใช้อาวุธปืนที่เป็นอุปกรณ์หลักสำหรับหนังแอคชั่นเลยทีเดียว และสุดท้ายครอบครัวของบรูซ วิลลิส ออกประกาศถึงช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ด้วยการประกาศพักงานแสดงของเขาจากสภาวะบกพร่องทางด้านการสื่อความ หรือ โรคอะเฟเซีย (Aphasia) จนทำให้เขาค่อย ๆ ขาดการรับรู้ไปอย่างช้า ๆ จนอาจจะนำไปสู่สภาวะของโรคอัลไซเมอร์ได้ในอนาคต Razzie Awards ต้องโพสต์แสดงความเสียใจในการแจกรางวัลหนังยอดแย่ที่เขาแสดงในปีที่ผ่านมา แต่หากจะมองในอีกแง่ การรับเล่นหนังอย่างไม่มีหยุดพักของบรูซเอง ก็เป็นผลลัพธ์ของการใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วง ซึ่งในกรณีนี้เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้งสำหรับอาชีพนักแสดง นับเป็นเรื่องที่เศร้าใจไม่น้อย ที่นักแสดงที่ได้รับฉายาว่า “คนอึด” กลับต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านสุขภาพ The People หวังว่าโรคร้ายที่บรูซ วิลลิส กำลังเผชิญอยู่จะทุเลาโดยเร็วไว แม้เขาจะอำลาวงการไป แต่ผลงานมากมายของเขานั้นยังอยู่ในความทรงจำของนักดูหนังไปอย่างยาวนาน ภาพ : Getty Images ข้อมูลประกอบการเขียน https://www.biography.com/actor/bruce-willis https://www.npr.org/.../1089806228/what-is-aphasia-explained