BTS: บอยแบนด์ที่เปลี่ยนโลกด้วยเสียงดนตรี บทเพลงจากวรรณกรรม และการ speak up ประเด็นสังคม

BTS: บอยแบนด์ที่เปลี่ยนโลกด้วยเสียงดนตรี บทเพลงจากวรรณกรรม และการ speak up ประเด็นสังคม
ดนตรีจังหวะสนุกสนาน การแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่เต็มไปด้วยแฟชั่น การเต้นที่แข็งแรงร่วมกับเนื้อเพลงที่ผสานทั้งท่อนร้องและแร็ปไว้ในหนึ่งเพลงได้อย่างลงตัว เหล่านี้คือเอกลักษณ์ของบทเพลงภาษาเกาหลีที่โลกรู้จักในชื่อ ‘เคป็อป’ อุตสาหกรรมดนตรีที่ผลิต ‘เกิร์ลกรุป’ และ ‘บอยด์แบนด์’ ออกมาสร้างเฉดสีใหม่ ๆ และความน่าสนใจให้กับเอเชียและโลกนับตั้งแต่ยุค 90s เป็นต้นมา ‘BTS’ คือบอยด์แบนด์เกาหลีที่โด่งดังที่สุดวงหนึ่งในปัจจุบัน พร้อมด้วยสมาชิก 7 คนที่ประกอบไปด้วย จิน (Jin), ชูก้า (Suga), เจโฮป (J-Hope), อาร์เอ็ม (RM), จีมิน (Jimin), วี (V) และจองกุก (Jungkook) พวกเขากลายเป็นศิลปินผู้ผลิตเพลงด้วยความเชื่อที่ว่าดนตรีสามารถทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นได้ นี่คือเรื่องราวเส้นทางจากเกาหลีถึงอเมริกาของ BTS พ่วงด้วยบทเพลงจากปลายปากกาของสมาชิกในวงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวรรณกรรมระดับโลก และการใช้เสียงของตนเพื่อพูดถึงประเด็นสังคมด้วยความหวังให้โลกใบนี้ดีขึ้นกว่าที่เป็น ของวงไอดอลที่ถูกยกย่องจากสำนักข่าวหลายหัวว่าบทเพลงของพวกเขา ‘เปลี่ยนโลก’ ได้ ในขณะที่บางสำนักใช้คำว่า ‘ครองโลก’ (taking the world)   #จากอินชอนถึงบิลบอร์ด: บอยแบนด์เกาหลีที่กลายเป็นวงระดับโลก นับตั้งแต่การเดบิวต์ของบอยแบนด์เกาหลี ‘BTS’ เมื่อปี 2013 (หรือขณะนั้นรู้จักกันภายใต้ชื่อ Bantan Boys) ‘No More Dream’ เดบิวต์แทร็กของพวกเขาได้กลายเป็นกระแสใช่เล่นในประเทศบ้านเกิด ด้วยภาพลักษณ์และการแต่งกายแบบฮิปฮอป มิวสิกวิดีโอที่แสดงออกถึงความแข็งแกร่งแบบวัยหนุ่ม และความสามารถของสมาชิกแต่ละคนที่เรียกได้ว่าครบเครื่อง อันเนื่องมาจากระยะเวลาการเป็นเด็กฝึกหรือเทรนนีของพวกเขาภายใต้สังกัด ‘Big Hit Entertainment’ ค่ายเพลงหน้าใหม่ที่ไม่ได้ติดหนึ่งในสามค่ายใหญ่ (SM, JYP, YG) แม้จะเป็นค่ายเพลงเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับค่ายอื่นในอุตสาหกรรมเคป็อป หาก ‘บัง ชี ฮยอก’ (Bang Si-Hyuk) ผู้บริหารค่าย Big Hit ก็โอบรับเอาความฝันในการ ‘บุกตลาดอเมริกา’ มาเป็นความฝันในการบริหารค่ายของตน โดยมี BTS เป็นไพ่ตายเพียงใบเดียว ปี 2014 คือครั้งแรกที่พวกเขาปรากฏตัวในสหรัฐฯ พร้อมกับการเพิ่มจำนวนของกลุ่มแฟนคลับที่เรียกตัวเองว่า ARMY (Adorable Representative MC for Youth) ที่คอยสนับสนุนพวกเขาเสมอ การบุกตลาดอเมริกาครั้งถัดมาในปี 2015 จึงเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น - และเมื่อถึงปี 2017 ชื่อของ BTS ก็เป็นที่จดจำของอเมริกันชน วัยรุ่นอเมริกันเริ่มหันมาชื่นชมพวกเขา ความรู้สึกผูกพันระหว่างไอดอลและแฟนคลับเริ่มกว้างไกลมากกว่าเขตแดนเกาหลี ตอนนี้เองที่สื่อหลายสำนักเริ่มพาดหัวข่าวว่า BTS กำลังจะครองโลก ปี 2018 BTS เป็นวงจากเกาหลีวงแรกที่สามารถพาอัลบั้มของพวกเขาทะยานขึ้นอันดับ 1 บน US Billboard 200 chart เช่นเดียวกับที่เป็นวงแรกที่พาซิงเกิลติดอันดับ 10 บน Billboard Hot 100 เวิร์ลทัวร์ครั้งที่ 3 ของพวกเขาขายบัตรได้หมดเกลี้ยง การร่วมงานกับ Steve Aoki ในเพลง ‘Mic Drop’ (2017) และกับ the Chainsmokers ในเพลง ‘Best of Me’ (2018) ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ตามมาด้วยการร่วมงานกับศิลปินระดับโลกคนอื่น ๆ อีกมากมาย BTS ทะลายกำแพงที่ตั้งตระหง่านระหว่างอุตสาหกรรมเพลงเกาหลีและโลกทิ้งราวกับมันไม่เคยมีอยู่มาก่อน บทวิเคราะห์ ‘BTS are changing the world, here’s how’ ที่เผยแพร่ทางสำนักสื่อออนไลน์ medium อธิบายว่าการที่ BTS กลายเป็นกระแสในระดับโลกนั้นส่วนหนึ่งเป็นผลพวงเนื่องมาจากความรู้สึก ‘คลั่งรักไอดอล’ (idol limerence) ของแฟน ๆ สิ่งนี้เป็นพื้นฐานในการทำงานของไอดอลเคป็อป ร่วมกับเสน่ห์อีกประการที่ทำให้ BTS กลายเป็นบอยแบนด์เกาหลีที่ดังไกลในระดับโลก ก็คือการที่สมาชิกหลายคนมีส่วนร่วมในการแต่งเนื้อร้องและสร้างทำนองให้กับบทเพลงของวง เช่นเดียวกับคำที่ บัง ซี ฮยอก เคยกล่าวถึงความตั้งใจของตนไว้ BTS กลายเป็นวงที่สามารถ “ถ่ายทอดประสบการณ์วัยเยาว์ได้อย่างซื่อตรง” ทุกถ้อยคำและดนตรีของพวกเขาตรงเข้าสู่หัวใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าหลายเพลงจะมีเนื้อหาลึกซึ้งมากกว่าเพลงรักและเลิกราของหนุ่มสาว หากมันเล่าถึงเรื่องราวในสังคม ตั้งคำถามและต่อต้านบรรทัดฐานที่กดทับผู้คนเอาไว้ หลายเพลงของพวกเขาถูกเขียนขึ้นโดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือ บทกวี และแนวคิดทางด้านจิตวิทยา   วรรณกรรมและดนตรี: เพลงBTSที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือและหลักจิตวิทยา เริ่มจาก ‘Kafka on the Shore’ (ชื่อไทย: คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ) งานเขียนฝีมือ ฮารูกิ มูราคามิ (Haruki Murakami) ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลง ‘Butterfly’ แทร็กในอัลบั้ม The Most Beautiful Moment in Life: Young Forever บอยด์แบนด์จากเกาหลีวงนี้เริ่มสะบัดและปัดแปรงขนนกของพวกเขาลงบนกระดาษ และขับกล่อมโลกด้วยเสียงดนตรีที่กลั่นออกมาจากตัวอักษร บทเพลงหลาย ๆ เพลงของ BTS ต่างร้อยเรียงมาจากวรรณกรรมที่พวกเขาอ่าน มีตั้งแต่ในรูปแรงบันดาลใจที่ไม่ได้เห็นได้ชัดเจนนักเช่นในเพลง ‘Spring Day’ จากหนังสือ ‘The Ones Who Walk Away From Omelas’ ของเออร์ซูลา เค. เลอ กิน (Ursula K. Le Guin), เพลง ‘Sea’ จาก ‘1Q84’ ของฮารูกิ มูราคามิ, เพลง ‘Magic Shop’ จาก ‘Into The Magic Shop’ ของเจมส์ อาร์. โดตี (James R. Doty) ไปจนถึงครั้งที่พวกเขาแปลงหนังสือเล่มให้เป็นเพลงได้ชัดเจนในผลงาน ‘Blood Sweat & Tears’ เพลง ‘Blood Sweat & Tears’ ของพวกเขาบรรจุวรรณกรรมของเฮอร์มานน์ เฮสเส (Hermann Hesse) เรื่อง ‘เดเมียน’ (Demian) ไว้ได้อย่างงดงามทั้งในเนื้อร้องและมิวสิกวิดีโอ ที่ช่วงต้นของเพลงจะแสดงให้เห็นถึงความใสซื่ออย่างเด็ก ๆ ของสมาชิกในวงผู้เป็นตัวแทนของ ‘โลกสว่าง’ ในวรรณกรรม จนกระทั่งการจ้องมองไปยังรูปภาพ ‘Fall of the Rebel Angel’ ของ ‘จิน’ (Jin) ทำให้เขาได้พบกับ ‘โลกมืด’ เช่นเดียวกับวรรณกรรมของเฮสเส จินคือภาพแทนของ ‘เอมิล ซินแคลร์’ (Emil Sinclair) ตัวเอกของเรื่องที่หลงทางและวูบไหวไปมาระหว่างโลกมืดและโลกสว่าง จนกระทั่งเจอกับ ‘เดเมียน’ เพื่อนที่คอยชี้ทางให้ซินแคลร์ได้พบกับอิสระภายในตนเอง ซึ่งภายในมิวสิกวิดีโอชิ้นนี้หลาย ๆ คนวิเคราะห์ว่าเป็น ‘วี’ (V) ก่อนจบลงด้วยการแตกสลายของรูปปั้นปิเอตะ (Pietà) ที่เป็นสัญลักษณ์ว่าจินหรือซินแคลร์ได้เป็นอิสระเช่นเดียวกับนกที่ ‘ดิ้นรนพ้นเปลือกไข่’ และ ‘ทำลายโลกเพื่อเกิดใหม่’ ได้อย่างสมบูรณ์ (นอกจากนี้เพลงเปิดหัวของอัลบั้ม Wings อย่าง ‘Boy Meets Evil’ ที่แรปโดยเจโฮปก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือเล่มนี้เช่นกัน) มากไปกว่านั้น อัลบั้ม MAP OF THE SOUL: PERSONA ของ BTS ยังถูกสร้างขึ้นโดยอ้างอิงแนวคิดมาจากหนังสือ ‘Jung’s Map Of The Soul’ ที่เขียนโดยบิดาแห่งการวิเคราะห์จิตวิทยา ‘คาร์ล กุสตาฟ ยุง’ (Carl Gustav Jung) บทเพลง ‘Persona’ เพลงเปิดหัวของอัลบั้มที่ถูกแต่งและแรปโดย ‘RM’ นั้นถ่ายทอดเรื่องราวของคนที่สับสนเพราะต้องทนสวมหน้ากากที่เรียกว่า ‘Persona’ หรือ ‘บุคลิก’ ได้ดีเสียจนมัวร์เรย์ สเตน (Murray Stein) ผู้รวบรวมหนังสือเล่มดังกล่าวยังเอ่ยปากชมว่าพวกเขาคือบอยแบนด์ที่หยิบเรื่องจิตวิทยามาพูดผ่านเพลงได้อย่างน่าฟังที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมา   เพลงเปลี่ยนโลก “มีคนกล่าวไว้ว่ามนุษย์เปลี่ยนโลกได้สองวิธี วิธีที่หนึ่งคือปฏิวัติ ส่วนวิธีที่สองคือการมองโลกในแง่บวก ผมอยากทำทั้งสองอย่างและประสบความสำเร็จในทั้งสองวิธี” คือถ้อยคำที่ คิม นัมจุน (Kim Namjoon) หรือ ‘RM’ ลีดเดอร์หรือหัวหน้าวง BTS พูดกับแฟน ๆ ของเขาผ่าน vlog ของวงเมื่อปี 2018 ตลอดอาชีพไอดอลของ BTS พวกเขาพยายามอย่างยิ่งด้วยความเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าบทเพลงที่พวกเขาปล่อยออกไปสู่ท้องตลาดนั้นมีความหมายมากกว่าเพียงเพื่อฟังให้รื่นหู หากมันมีหน้าที่ในการรับใช้และเปลี่ยนแปลงสังคมด้วย ปี 2014 บทเพลง ‘Spine Breaker’ ของพวกเขาเล่าเรื่องราวของคนหนุ่มสาวที่ใช้เงินที่พ่อแม่หามาในการซื้อหาความสุขและของแพง ๆ ตามมาด้วยเพลง ‘Silver Spoon’ ในปีถัดมา คราวนี้พวกเขาเล่าเชิงตำหนิไปถึงผู้ใหญ่ในสังคมที่มักกล่าวหาว่าวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่เป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว โดยเปรียบเทียบไปถึงทฤษฎีการจัดลำดับชั้นทางสังคมของเกาหลีที่เรียกว่า ‘ทฤษฎีช้อน’ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ลืมที่จะพูดถึงเรื่อง Beauty Standard หรือมาตรฐานความงาม ที่เป็นปัญหาเรื้อรังในเกาหลีมานานปี ด้วยเพลง ‘21st-century Girls’ ที่มีเนื้อเพลงอย่าง “You worth it, you perfect. Deserve it, just work it.” เพื่อให้กำลังใจผู้คนที่ถูกกดทับจากความงามที่สังคมกำหนด ปี 2018 ภายใต้การโปรโมตด้วยคอนเซปต์ ‘Love Youself’ พวกเขาปล่อยเพลง ‘Idol’ ออกมาเพื่อตอกย้ำถึงความสำคัญของการรักตัวเองโดยไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดอะไร เช่นเดียวกับบทเพลงของพวกเขา ปีเดียวกันกับการเผยแพร่ ‘Idol’ ให้โลกทั้งใบได้ฟัง RM เป็นตัวแทนของวงในการกล่าวสุนทรพจน์บนเวที UNICEF ในวาระเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ โดยบนเวทีดังกล่าว RM มุ่งเป้าหมายของการพูดไปที่การให้กำลังให้ผู้คนกล้าที่จะ ‘รัก’ ตัวเองและ ‘เล่าเรื่อง’ ของตัวเองด้วยความเข้าใจ “ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ผิวสีอะไร เพศใดก็ตาม จงบอกเล่าและกล่าวถึงตัวเอง ผมมาที่นี่เพื่อรักตัวเอง - ผมรักตัวผมเองอย่างที่ผมเป็น คนที่ผมเคยเป็น และคนที่ผมคาดหวังว่าจะได้เป็นในสักวัน”   speak up เพื่อเพื่อนมนุษย์ มากไปกว่าการสื่อสารกับสังคมด้วยประเด็นปัจเจกอย่างการรักตัวเอง BTS ยังใช้เสียงของตนในการพูดถึงประเด็นสำคัญ ๆ ในสังคมเสมอ หลังการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) ในวันที่โลกตกอยู่ใต้อคติที่มีต่อคนแอฟริกัน - อเมริกันอย่างน่าเศร้า พวกเขาคือบอยแบนด์เกาหลีที่บริจาคเงินกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อร่วมแคมเปญและแสดงออกถึงการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ในรอบท้ายปี 2020 ถึงต้นปี 2021 ที่คนบางกลุ่มในยุโรปและอเมริกาเบนเข็มความเกลียดชังมายังชาวเอเชีย ร่วมกับคนดังหลากเชื้อชาติอีกหลาย ๆ คน BTS ออกมาส่งเสียงของตนผ่านแฮชแท็ก #StopAsianHate ในฐานะคนเอเชีย และในฐานะพลเมืองโลกว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ได้ลบหรือกลบความเป็นเอเชียของพวกเรา เรายืนหยัดต่อต้านการเหยียดผิว เราประณามความรุนแรง คุณและผม เรามีสิทธิ เราคู่ควรกับความเคารพ และเราจะยืนหยัดเคียงข้างกัน” ด้วยบทเพลงที่โด่งดังไปทั่วโลกของพวกเขา ด้วยความพยายามที่จะเปลี่ยนโลกด้วยทั้งการปฏิวัติและการมองโลกในแง่ดี - ด้วยทั้งดนตรีและการกระทำ จึงไม่เกินจริงเท่าใดนักหากเราจะกล่าวว่าในท้ายที่สุดแล้ว BTS ก็ครองโลกสำเร็จ บทเพลงของเขาแทรกซึมและเปลี่ยนแปลงโลกช้า ๆ บางเพลงทำให้ผู้คนรักตัวเอง และอีกหลายเพลงก็ทำให้เราได้เรียนรู้ที่จะรักคนอื่น แม้จะเดินทางมาได้ไกลเหลือเกินนับจากท่าอากาศยานอินชอน ประเทศเกาหลี แต่ผู้คนทั้งโลกต่างรู้ดีว่า BTS จะไม่หยุดเพียงเท่านั้น บนเส้นทางสาย ‘Idol’ พวกเขาคือเด็กหนุ่ม 7 คนที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ร่วมกัน โดยมี ARMY แฟนคลับของพวกเขาคอยเฝ้าดูและให้กำลังใจตลอดการเดินทาง   ที่มา: https://www.insider.com/how-bts-became-global-sensation-popular-timeline#training-to-become-a-k-pop-band-can-take-up-to-three-years-according-to-the-case-study-3 https://edition.cnn.com/2019/06/01/asia/bts-kpop-us-intl/index.html https://www.theguardian.com/music/2018/oct/11/how-bts-became-the-worlds-biggest-boyband https://talentrecap.com/why-is-bts-so-successful-in-america-finally-explained/ https://snackfever.com/blogs/magazine/how-bts-changed-the-world-for-the-better https://medium.com/revolutionaries/bts-are-changing-the-world-e601178e90d0 https://time.com/collection-post/5414052/bts-next-generation-leaders/ https://www.vox.com/culture/2018/6/13/17426350/bts-history-members-explained https://www.somagnews.com/bts-inspired-books-write-songs/ https://edition.cnn.com/2020/10/03/entertainment/bts-trnd/index.html https://twitter.com/BTS_twt/status/1376712834269159425/photo/2