เจิ้งจื่อเหว่ย: รอยสักมิกกี้เมาส์ ของ ‘พี่ใหญ่แห่งวงการบันเทิงฮ่องกง’

เจิ้งจื่อเหว่ย: รอยสักมิกกี้เมาส์ ของ ‘พี่ใหญ่แห่งวงการบันเทิงฮ่องกง’
เชื่อมั่นได้เลยว่า ใครที่ได้ดูหนังรักอมตะเรื่องยิ่งใหญ่อย่าง ‘เถียน มี มี่ 3,650 วัน...รักเธอคนเดียว’ (Comrades: Almost a Love Story, 1996) นอกจากตัวละครคู่รักอย่าง หลี่หมิง และ จางม่านอวี้ ที่จะทำให้คุณซาบซึ้งในความรักของเขาและเธอแล้ว อีกหนึ่งคาแรกเตอร์ที่คนดูต่างหลงรักในหนังเรื่องนี้ก็คือ พี่เป้า มาเฟียร่างกะทัดรัดที่รักนางเอกจนหมดใจ และเอาใจด้วยการสักตัวมิกกี้เมาส์ไว้ที่แผ่นหลัง  แต่เบื้องหลังเบื้องลึก ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่มอบให้จากการเป็นนักแสดง พิธีกร ดาวตลกแล้ว ชายผู้นี้ยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการบันเทิงฮ่องกง เป็นที่รักใคร่เคารพนับถือของนักแสดงทั่วทั้งวงการ รวมไปถึงการมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับเจ้าพ่อแห่งเกาะฮ่องกงอีกด้วย มาทำความรู้จักคนเล็กใจใหญ่ ผู้ชายที่ชื่อ ‘เจิ้งจื่อเหว่ย’ ผู้ชายที่เหล่านักแสดงต่างขนานนามเขาว่า ‘พี่ใหญ่แห่งวงการบันเทิงฮ่องกง’ เจิ้งจื่อเหว่ย มีชีวิตวัยเด็กที่แตกต่างจากนักแสดงทั่ว ๆ ไปที่มักเริ่มต้นจากครอบครัวฐานะยากจน แต่เจิ้งจื่อเหว่ยไม่ได้เป็นแบบนั้น เขามีชีวิตที่สุขสบายจากพ่อผู้เป็นทั้งโค้ชฟุตบอล และรับราชการในกองกำลังตำรวจฮ่องกง แต่หารู้ไม่ว่าภายใต้ชีวิตอันแสนหรูนั้น เบื้องหลังของเขานั้นมาจากเงินทุจริตของพ่อเขาแทบทั้งสิ้น จนชีวิตของเขาต้องหลบลี้หนีไปทั้งครอบครัวเมื่อย้ายไปไต้หวันอย่างกะทันหัน แต่สุดท้ายพ่อของเขาก็ถูกจับและถูกตัดสินจำคุกในเวลาต่อมา แต่ถึงกระนั้นความผิดร้ายแรงของผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้เป็นผลอะไรกับเขามากมายนัก เพราะอย่างน้อยที่สุดพ่อก็ได้มอบความสนใจอันหลากหลายให้กับเขา โดยเฉพาะกีฬาฟุตบอล โดยในวัยเด็ก เจิ้งจื่อเหว่ยได้เป็นถึงนักฟุตบอลเยาวชนทีมชาติของฮ่องกงทีเดียว แต่แล้วความสนใจในวงการบันเทิงก็เริ่มต้น เมื่อเขาได้รับการชักชวนให้มาเป็นสตันท์แมน แม้รูปร่างของเขาจะดูสันทัด แต่ความแข็งแรงจากพื้นเพของการเป็นนักกีฬา นำพาให้เขาเป็นที่ยอมรับจากผู้สร้างหนังทั้งหลาย โดยช่วงยุค 70s เจิ้งจื่อเหว่ยเดินสายเล่นหนังมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นหนังแอ๊กชันกำลังภายในที่ไม่เป็นที่จดจำสักเท่าไร และถึงแม้เขาจะมีคาแรกเตอร์ที่น่าสนใจนั่นคือ ‘เตี้ย-ล่ำ’ แต่คาแรกเตอร์นั้นก็ถูกทาบทับด้วยนักแสดงที่มาก่อนอย่าง หงจินเป่า ทำให้เจิ้งจื่อเหว่ยเป็นเพียงแค่เงาที่แทบไม่มีใครสนใจ  แต่ก็หาได้หยุดยั้งความพยายามของเขาไม่ เขาจึงลองบทบาทอื่นในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นร่วมเขียนบทในหนังแอ๊กชันสุดคลาสสิกอย่าง ยอดมนุษย์ยุทธจักร (The 36th Chamber of Shaolin, 1978) และได้แจ้งเกิดในฐานะผู้กำกับในหนังยอดฮิตแห่งยุค 80s เรื่อง เก่งกับเฮง ทั้ง 2 ภาค (Aces Go Places, 1982-1983) ใหญ่สั่งมาเกิด (Armour of God, 1987) ที่กำกับร่วมกันกับเฉินหลง / เพื่อเพื่อนสับมันเลย (The Tigers, 1991) หนังรวมดาว 5 พยัคฆ์ทีวีบี   ส่วนการแสดงนั้น เขายังคงเล่นหนังอย่างไม่ลดละ และค้นหาคาแรกเตอร์ จนค้นพบตัวตนในบทตลกยุค 80s เขาจึงได้รับบทบาทในหนังยอดฮิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบทบาท 1 ใน 7 ที่รวมนักแสดงชื่อดังยุคนั้นอย่างเฉินหลงและหงจินเป่า ใน 7 เพชฌฆาตสัญชาติฮ้อ (My Lucky Stars, 1985) และภาคต่อ ขอน่า อย่าซ่าส์ (Twinkle Twinkle Lucky Stars, 1986) ข้ามไปยังยุค 90s เจิ้งจื่อเหว่ยก็มีหนังมากมายที่เขาไปร่วมแสดง ไม่ว่าจะเป็น เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมด (The Days of Being Dumb, 1992) รวมกันจับผีผีหนีหมด (Ghost Punting, 1992) และหนังอีกหลายสิบเรื่องในยุคที่หนังฮ่องกงบูม แม้จะเป็นหนังเล็ก ๆ ที่เข้าและออกอย่างรวดเร็ว หรือหนังใหญ่แต่เป็นแค่ดารารับเชิญที่ปรากฏเพียงฉากสองฉาก เจิ้งจื่อเหว่ยก็ไม่อิดออดที่จะรับ เพราะเขามองเห็นโอกาสในการทำงาน โอกาสในการทำความรู้จักกับผู้คนมากมาย และโอกาสที่เขาจะได้เจอบทที่ใช่สักวัน  จนกระทั่งโอกาสได้มาหาเขาอย่างแท้จริง เมื่อเขาได้รู้จักกับผู้กำกับหน้าใหม่ในยุคนั้นอย่าง...ปีเตอร์ ชาน  ปีเตอร์ ชาน ไม่ได้ทำให้เขาเป็นเพียงตัวตลกที่เล่นบทเจ็บตัวหรือแค่มาทำท่าลามกแล้วก็จบไป เมื่อหนังเรื่องแรกที่เขากำกับ ก็เพราะสามเรา (Alan & Eric Between Hello and Goodbye, 1991) ได้เปลี่ยนสถานะนักแสดงของเขาไปตลอดกาล กับเรื่องราวของเพื่อนรักที่พบพา ลาจาก และพลัดพราก เจิ้งจื่อเหว่ยรับบทบาทเป็นเพื่อนผู้ยอมสละ จางม่านอวี้ หญิงสาวที่แอบรักให้กับอลัน ทัม เพื่อนรักที่เหนือกว่าเขาทุกอย่าง แม้ในช่วงเวลานั้นอลัน ทัม จะโด่งดังในฐานะศิลปินนักร้อง และหนังก็ตั้งใจที่จะโชว์บทบาทของอลัน ทัม ด้วยการให้เขารับบทเป็นนักร้องเช่นกัน แต่คนดูกลับเทใจให้กับเจิ้งจื่อเหว่ยในฐานะพระรองมากกว่า และบทบาทนั้นเองก็ทำให้เขาคว้ารางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกง สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก  หลายคนอาจจะเข้าใจว่า ปีเตอร์ ชาน เล็งเห็นศักยภาพในตัวของเจิ้งจื่อเหว่ย ถึงมอบบทบาทที่ท้าทายนี้ให้กับเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจิ้งจื่อเหว่ยต่างหากที่อยู่เบื้องหลังการสร้างทั้งหมด เขารวบรวมเพื่อน ๆ ผู้กำกับยอดฝีมือ หนึ่งในนั้นคือ ปีเตอร์ ชาน ระดมทุนจากหลากหลายแหล่ง และตั้งบริษัทที่ชื่อ UFO (United Filmmakers Organization) เพื่อรองรับหนังทุนสร้างระดับกลางแต่เปี่ยมล้นด้วยคุณค่า และร่วมฟื้นฟูในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจบนเกาะฮ่องกงในยุคนั้น  หลังจากนั้น เจิ้งจื่อเหว่ยก็กลายมาเป็นนักแสดงประจำของ ปีเตอร์ ชาน ไม่ว่าจะเป็น เขาเธอหญิงชาย รักแล้วไม่เปลี่ยนใจ (He’s a Woman, She’s a Man, 1994) เขาเธอหญิงชาย รักแล้วไม่เปลี่ยนใจ 2 (Who’s the Woman, Who’s the Man?, 1996) หนังขายรอมคอมที่เล่าเรื่องการสลับร่างของชายและหญิง ที่ปีเตอร์ ชานทำเน้นการขายเชิงพาณิชย์เพื่อให้บริษัท UFO ได้ไปต่อ แต่ผลงานที่ทำให้เจิ้งจื่อเหว่ยได้คว้ารางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงอีกครั้งจากหนังรักอมตะเรื่องยิ่งใหญ่ เถียน มี มี่ 3,650 วัน...รักเธอคนเดียว (Comrades: Almost a Love Story, 1996) ในบทบาทมาเฟียรุ่นใหญ่ ปากร้ายแต่ใจดี ที่กั้นกลางระหว่างความรักของจางม่านอวี้และหลี่หมิง ซึ่งเขาได้มอบมิติการแสดงอันยิ่งใหญ่ ตอกย้ำศักยภาพของการแสดงที่มีมิติอันลึกซึ้งจากบทบาทพี่เป้า  เจิ้งจื่อเหว่ย เคยให้สัมภาษณ์ถึงการพลิกบทบาทมารับบทซีเรียสของเขาว่ามันไม่ใช่ง่าย ๆ “ผมไม่มีความมั่นใจในการแสดงบทจริงจังเลย มีครั้งหนึ่งผมต้องเข้าฉากร่วมกับนักแสดงคนหนึ่งในหนังดรามาเรื่อง Woman (1985) ฉากนั้นนักแสดงที่แสดงร่วมกับผมต้องปล่อยโฮออกมา แต่พอเธอหันมาเจอหน้าผม เธอก็ปล่อยก๊ากหัวเราะคำโต มันจึงทำให้ผมค่อนข้างเครียดกับการแสดงบทจริงจัง ในหนังตลกผมสามารถเล่นได้อย่างสบายและรวดเร็ว แต่กับหนังดรามา ผมต้องลดความเร็วในการแสดงให้ช้าถึง 2 เท่า และยิ่งกับหนัง ‘เถียน มี มี่’ ผมยิ่งต้องแบกความเสี่ยงยิ่งกว่าเรื่องไหน ๆ เพราะใครมันจะไปเชื่อละว่าคนตัวเตี้ย ๆ อย่างผม จะสามารถขโมยหัวใจของจางม่านอวี้มาครองจากหนุ่มสูงชะลูดอย่างหลี่หมิงได้ล่ะ” เจิ้งจื่อเหว่ย ได้แสดงบทบาทอันน่าทึ่งอีกครั้งในฐานะ LGBTQ+ ที่ผิดหวังจากความรัก ในหนัง Hold You Tight (1997) ของสแตนลีย์ กวาน ซึ่งถือเป็นการพลิกบทบาทอีกครั้งหลังจากที่ภาพลักษณ์พี่เป้า กลายเป็นภาพลักษณ์ติดตาของคนดูหนัง “ตอนแรกสแตนลีย์มาขอให้ผมรับบทเป็นเกย์ ผมไม่รีรอที่จะแสดงเลย เขาย้ำอีกทีว่ามันไม่ใช่บทผู้ชายตุ้งติ้งแบบหนังตลกนะ และมันก็มีฉากเซ็กซ์ด้วย ผมถามกลับไปว่า ‘ทำไมล่ะ ก็ผมเป็นนักแสดง’ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่ผมต้องเล่นฉากเลิฟซีน จนสุดท้ายผมต้องไปศึกษาบทบาทนี้จากสถานที่จริง ๆ เพื่อซึมซับบทบาทนี้ให้เต็มที่ที่สุด”  การแสดงของเจิ้งจื่อเหว่ยได้ตกผลึกในบทบาทมาเฟีย บิ๊กแซม ในหนังอาชญากรรมคลาสสิกเรื่องยิ่งใหญ่ 2 คน 2 คม (Infernal Affairs, 2002) และเขาก็ไม่ทำให้คนดูต้องผิดหวัง บทบาทของผู้ทรงอิทธิพล ที่ตัวเล็กแต่ใจใหญ่ กลายเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ทำให้เขาโดดเด่นไม่แพ้หลิวเต๋อหัว และเหลียงเฉาเหว่ยเลย โดยแรกเริ่มเดิมที ผู้กำกับกลัวว่าบทบาทมาเฟียนั้นจะไม่ฉีกจากบทบาทเดิม ๆ ที่เขาเคยเล่นมา จึงเสนอบทตำรวจหัวหน้าของเหลียงเฉาเหว่ยให้กับเขา แต่เขาก็ขอเปลี่ยนบทบาท “ผมพยายามโน้มน้าวขอรับบทแซม เพราะผมเชื่อมั่นว่ามันต้องเป็นบทบาทที่ดี ผมเพิ่งได้ดูหนัง Avenging Angelo (2002) ที่แอนโทนี ควินน์เล่นเป็นบทบาทสุดท้ายก่อนจะจากไป และผมชอบการแสดงของเขาในหนังเรื่องนี้มาก ผมเลยขอรับบทนี้และให้บทตำรวจกับหวังซิวเซินแสดงไป ผมมั่นใจว่าเขาแสดงได้ดีกว่าผม และที่สำคัญ ผมก็อายุมากพอที่จะรับบทพี่ใหญ่ของทั้งหลิวเต๋อหัวและเหลียงเฉาเหว่ยได้แล้ว” ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ๆ เพราะเจิ้งจื่อเหว่ยสามารถตีบทบาทของพี่ใหญ่แซมได้อย่างยอดเยี่ยม เต็มไปด้วยความผันผวนทางอารมณ์ และเป็นหนึ่งในบทบาทที่ดีที่สุดทั้งในชีวิตของตัวเขาเอง และวงการหนังฮ่องกงเลยทีเดียว แต่ถึงเขาจะคว้ารางวัล เป็นนักแสดงผู้ทรงอิทธิพลมาอย่างยาวนาน แต่เจิ้งจื่อเหว่ยก็ยังคงเป็นนักแสดงที่รับบทอย่างไม่เลือกหนังเล็กหนังใหญ่เช่นเดิม แม้หนังบางเรื่องจะเหลือทนในแง่คุณภาพ แต่เขากลับไม่รู้สึกว่ามันจะเสียหายอะไร เมื่อเขามองว่ามันช่วยฟื้นฟูวงการหนังฮ่องกงที่ค่อย ๆ ซบเซาและทีมงานค่อย ๆ ทยอยเดินทางไปทำหนังที่จีนแผ่นดินใหญ่ เขายังอยากให้วงการหนังในบ้านเกิดกลับมาคึกคักอยู่เสมอ และถ้าสบโอกาส เขาก็ไม่ละเลยที่จะมอบบทบาทอันทรงคุณค่าอยู่ตลอด เช่นหนังที่พาให้เขาคว้ารางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงเป็นครั้งที่ 3 อย่างเรื่อง Mad World (2016) เรื่องราวของผู้เป็นพ่อที่ดูแลลูกชายที่เป็นไบโพลาร์ ก็มอบการแสดงอันล้ำค่าและทรงพลังให้กับวงการภาพยนตร์  ไม่เพียงแต่งานแสดงและงานเบื้องหลังภาพยนตร์เท่านั้นที่เจิ้งจื่อเหว่ยทำมันได้ดี ด้วยบุคลิกพูดเก่งที่เขาค้นพบในช่วงยุค 80s ทำให้เขาผูกขาดกับบทบาทการเป็นพิธีกร โดยเฉพาะการเป็นพิธีกรในการประกวดนางงามฮ่องกง ที่ผูกขาดเขามาโดยตลอด และด้วยเพราะเกี่ยวโยงกับเวทีนางงามนี้เอง ทำให้เขามักมีข่าวในเรื่องชู้สาวให้ได้ยินเป็นระยะ เจิ้งจื่อเหว่ยแต่งงาน 3 ครั้ง แต่ด้วยความเป็นคนเจ้าชู้ เขาและคนรักจึงมักจะจบไม่สวย ในขณะเดียวกันทายาทส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะย้ายไปอยู่กับแม่ ถึงแม้เรื่องราวในวงการบันเทิงของเขานั้นจะยิ่งใหญ่ แต่เรื่องราวภายในบ้านของเขากลับติดลบ หลายต่อหลายครั้งจะมีข่าวความระหองระแหงระหว่างเขากับเหล่าลูก ๆ เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ แม้กระทั่ง เจิ้งกั่วเสียง ลูกไม้หล่นใต้ต้นที่เป็นทั้งนักแสดงและผู้กำกับ โดยเฉพาะหนังเรื่องล่าสุด ไม่มีวัน ไม่มีฉัน ไม่มีเธอ (Better Days, 2020) หนังเรื่องล่าสุดที่ได้เข้ารอบสุดท้ายในการชิงชัยบนเวทีออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจิ้งจื่อเหว่ยเอง ก็เคยพูดกึ่งน้อยใจว่า “ถ้านอกเหนือจากเรื่องงานแล้ว เราแทบไม่คุยเรื่องส่วนตัวกันเลย”  ไม่นับรวมเรื่องราวสีเทาที่เขาไปพัวพันกับผู้มีอิทธิพลบนเกาะฮ่องกงและมาเก๊า และข่าวฉาวที่เขาเคยถูกกล่าวหามีคดีพัวพันกับการล่วงละเมิดนักแสดงสาว หลันเจี๋ยอิง จนทำให้เธอมีภาวะซึมเศร้า แม้จะแก้ต่างว่าเขาไม่เคยมีพฤติกรรมอันเลวร้ายนี้ แต่เพราะชีวิตอันโลดโผนและสีเทาของเขาก็ทำให้เขายังไม่หลุดพ้นข้อกล่าวหานี้ได้ 100%  แม้จะมีประวัติที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก แต่อีกด้านของชีวิตตลอด 50 ปีแห่งวงการมายา ปฏิเสธไม่ได้ว่า เจิ้งจื่อเหว่ย สร้างผลงานที่ถูกพูดถึงไว้มากมาย ตั้งแต่บทบาทนักเลงหลังสักลายมิกกี้เมาส์ จนถึงพี่ใหญ่ของแก๊งนักเลง   ที่มา: https://peoplepill.com/people/eric-tsang http://www.hkcinemagic.com/en/page.asp?aid=96