01 มี.ค. 2566 | 17:30 น.
ถ้าจะพูดถึงหนังบู๊สุดระห่ำยุคทศวรรษที่ 1990 บ้างก็อาจจะนึกถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ขึ้นหิ้งที่นำแสดงโดยพระเอกเบอร์ต้น ๆ ของแวดวงภาพยนตร์ฮอลลีวูดอย่าง ทอม ครูซ (Tom Cruise) หรือ บรูซ วิลลิส (Bruce Willis) เพราะไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ชุด Mission Impossible หรือ Die Hard ก็นับว่าเป็นหนังแอคชั่นที่ได้รับความนิยมในไทยเป็นอย่างมาก
แต่ก็มีอีกชื่อของพระเอกอีกคนหนึ่ง ที่แม้ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นหนังเกรดบีที่คุณภาพอาจจะไม่ได้ดีเทียบเท่ากับสองเรื่องที่เราได้กล่าวมาข้างต้น แต่ถ้าดูเอามัน ดูเอาสนุกก็ถือว่าใช้ได้ก็คงต้องยกให้พระเอกฉายา ‘จอมหักกระดูก’ อย่าง สตีเวน ซีกัล (Steven Seagal) แม้ว่าพอถัดจากยุค 90s มาแล้ว ภาพยนตร์ที่เขารับบทบาทเป็นพระเอกจะไม่ค่อยได้คุณภาพเสียเท่าไรนัก (ถึงขั้นว่ามีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes ไปถึง 0%) แต่หากย้อนไปดูภาพยนตร์อย่าง Above the Law (1988) หรือ Under Seige (1992) ก็นับว่าเขาเป็นดาราหนังบู๊ที่มีภาพจำชัดเจน ‘ในตอนนั้น’ อยู่มากเลยทีเดียว
นอกจากจะเป็นดาราหนังบู๊แล้ว ซีกัลเองก็แทบจะเรียกได้ว่าคลุกคลีอยู่กับทุกวงการ ตั้งแต่ภาพยนตร์ ศิลปะการต่อสู้ ดนตรี รายการโทรทัศน์ พุทธศาสนา ธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง และถึงขั้นว่าเคยมาแจมเล่นดนตรีกับวงเพื่อชีวิตตำนานไทยอย่าง คาราบาว
จนตอนนี้ถึงขั้นว่าไปสนิทกับประธานาธิบดีรัสเซียอย่าง วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) จนได้สัญชาติรัสเซียมาครองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมล่าสุดปูตินยังมอบรางวัล เกียรติยศแห่งมิตรภาพ (The Order of Friendship) ซึ่งเดิมทีเจ้าตัวก็ดำรงตำแหน่งเป็นผู้แทนพิเศษด้านความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม มรดกทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ (Special Representative for Russian-U.S. Humanitarian Ties)
ถึงกระนั้น เมื่อได้ยินชื่อของซีกัล ใครหลายคนจากแทบจะทุก ๆ แวดวงที่เขาแทรกตัวอยู่ก็พากันส่ายหัวกับชื่อของชายคนนี้ เพราะว่าวีรกรรม (ด้านลบ) ของเขาถึงขั้นว่ายาวเป็นหางว่าว ตั้งแต่ทำร้ายร่างกายเพื่อนร่วมงานในกองถ่ายและทำข้อมือของ ฌอน คอนเนอรี (Sean Connery) พระเอกเจมส์ บอนด์อันโด่งดังหัก และยังมีประเด็นที่นักแสดงหญิงในวงการมากมายออกมาบอกว่าซีกัลพยายามจะล่วงละเมิดทางเพศเขาหลายต่อหลายคน
ในบทความนี้ เราจะพาไปดูช่วงรุ่งโรจน์ของเขาในฐานะดาราหนังบู๊ฉายาจอมหักกระดูกก่อนจะพาไปหาคำตอบว่ามันเป็นมายังไง ‘ซีกัล’ กับ ‘ปูติน’ ถึงไปเป็นเพื่อนซี้กันได้ แต่ถ้าจะเล่าแค่เรื่องราวความโด่งดังก็คงจะน่าเบื่อไป ขอบอกใบ้ ๆ ว่า พี่แกโด่งดังจนไปข้องแวะกับมาเฟียผู้ทรงอิทธิพลจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว
ดาวบู๊อินพุทธขอลาจอ แต่เจ้าพ่อไม่เข้าใจ
ถ้าจะย้อนไปในช่วงเวลาที่ดาวบู๊สายหักกระดูก (บ้างก็ว่าที่เขาเอาแต่หักกระดูกเป็นเพราะเขาเตะไม่เป็น) รุ่งโรจน์ในสายอาชีพในการเป็นพระเอกหนังแอคชั่นเกรดบีก็ต้องเป็นช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 มาจนถึงช่วงราว ๆ ต้นทศวรรษที่ 1990 ที่มีภาพยนตร์บู๊มัน ๆ ถูกใจคอหนังสายบวกมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น Above the Law (1988), Hard to Kill (1990), Under Seige (1992), หรือ Executive Decision (1996)
ท่ามกลางสนามแข่งที่ประชันกันอย่างดุเดือดเพื่อที่จะได้เป็นคนที่ถูกเลือก แน่นอนว่าการก้าวขึ้นมาเป็นพระเอกบนจอเงินที่ถูกฉายและขายไปทั่วโลกไม่ใช่เรื่องง่าย โชคดีที่เส้นทางของ สตีเวน ซีกัล มีคนช่วยดันอย่างเต็มที่ แถมคนช่วยดันคนนั้นก็ดูจะมีพาวเวอร์ในอุตสาหกรรมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ซึ่งเขามีนามว่า ‘จูเลียส นาสโซ’ (Julius Nasso) โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์ ที่ตั้งใจปั้นคนนี้จนไปดังระเบิดจากภาพยนตร์เรื่อง Under Seige ในปี 1992
แต่ในช่วงเดียวกันกับที่หนังของซีกัลกำลังไปได้สวย ชื่อของเขาเรียกว่าทำเงินได้ไม่น้อย ซีกัลเองก็เริ่มหันไปเข้าทางธรรม เขาได้ค้นพบและหลงใหลความงามสงบของพุทธศาสนา และในแวดวงศาสนาพุทธที่เขาได้ไปคลุกคลีเขาก็ได้มีประเด็นเช่นเดียวกัน เพราะมีครั้งหนึ่งเขาถูกแต่งตั้งว่าเป็น องค์ลามะกลับชาติมาเกิด ซึ่งผู้คนก็พากันตั้งคำถามกันยกใหญ่ในภายหลังว่าคนอย่างซีกัลเนี่ยหรอ คือผู้ที่บรรลุในทางธรรมที่กลับชาติมาเกิด? เห็นได้จากการที่เขาเคยมีประเด็นที่พยายามจะคุกคามทางเพศดาราสาวคนอื่นแล้วผู้คนจึงสันนิษฐานว่า ซีกัลได้ถูกแต่งตั้งว่ากลับชาติมาเกิดเพราะบริจาคให้วัดไปเยอะแน่ ๆ
แต่เรื่องกลับชาติมาเกิดหรือไม่นั้นไม่ใช่ประเด็นหลักที่เรากำลังจะพูดถึงในบทความนี้ เพราะสิ่งที่เรากำลังจะพูดถึงคือการที่พุทธศาสนา นอกจากจะพาหลักธรรมในการดำเนินชีวิต (ที่เขาดูจะไม่เจริญรอยตามเสียเท่าไหร่) มันยังพา ‘มาเฟีย’ มาหาเขาอีกด้วย
เมื่อเขาได้หันไปเข้าทางธรรม ที่ปรึกษาทางด้านพุทธศานาก็ชี้แนะแก่ซีกัลว่า อย่าไปทำมันเลยหนังบู๊ หนังหักกระดูกคน หนังที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อนมนุษย์ มันเป็นบาป ซีกัลผู้เลื่อมใสอย่างเต็มหัวใจจึงเกิดความคิดในหัวที่จะเลิกเล่นหนังบู๊และถอยห่างออกจากการเป็นดาวบู๊ที่นาสโซมุ่งมั่นปั้นขึ้นมา จนเขาได้เริ่มถอนตัวและเบี้ยวสัญญาหลายงานจนปัญหาเกิด
แน่นอนนาสโซไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ท่ามกลางผู้คนมากมายในบ่อปลา เขาอุตส่าห์เลือกปลาถูกตัว แต่ปลาตัวนั้นกลับอยากกลับลงบ่อเพราะกลัวผิดศีลข้อที่หนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพราะคนเรามีสิทธิ์เลือก ใช่ครับ มันควรเป็นแบบนั้นแหละ แต่เมื่อใดที่มีผลประโยชน์มาข้องเกี่ยว มันก็อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไปน่ะสิ
นาสโซเป็นโปรดิวเซอร์ที่มีอิทธิพลคนหนึ่งในฮอลลีวูด แถมเขายังมีความสัมพันธ์ที่โยงใยกับครอบครัวมาเฟียอีกด้วย และครอบครัวมาเฟียหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้โดยตรงก็คือ ‘ตระกูลแกมบิโน’ (Gambino Family) พวกเขาอยู่เบื้องหลังและน่าจะได้-เสียกับผลประโยชน์จากดาราบู๊หลายคน และการที่ดาราบู๊คนหนึ่งที่กำลังอยู่ในจุดพีค ดื้อดึงและกำลังทำให้เขาเสียประโยชน์ การยื่นมือเข้ามาเกี่ยวจึงเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง
ณ ตอนนั้นซีกัลก็ไม่ได้รู้อะไรว่าตัวเขากำลังโดนหนึ่งในตระกูลมาเฟียที่มีอิทธิพลที่สุดในฮอลลีวูดหมายหัว จนกระทั่งปี 2001 ที่เขาถูกบังคับให้ขึ้นรถปริศนาเพื่อไปพบกับ แอนโธนี่ ‘ซอนนี’ ชีโคเน (Anthony ‘Sonny’ Ciccone) หัวหน้ามาเฟียตระกูลแกมบิโนที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง และพวกเขาก็ขู่ให้ซีกัลกลับมาแสดงหนังกับนาสโซเหมือนเดิมและต้องจ่ายเงินให้พวกเขา 150,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อภาพยนตร์ทุกเรื่องที่นาสโซได้เป็นเคยผู้ผลิต ท้ายที่สุดแล้วซีกัลก็ต้องจ่ายเงินไปกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ
นับเป็นโชคดีของซีกัลที่สามารถสถานการณ์ดังกล่าวมาได้ หลังจากการพบปะครั้งนั้นก็ได้มีคน ๆ หนึ่งมาบอกกับเขาว่า
“ถ้าคุณพูดอะไรไม่เข้าหูไปสักไปนิดเดียวนะ พวกนั้นมันเก็บคุณแน่นอน”
ท้ายที่สุดตระกูลแกมบิโนก็ถูกทางการกวาดล้างและถูกจับเขาตารางกันไปหมด รวมถึงนาสโซด้วย แต่ดูเหมือนว่านาสโซจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะนาสโซก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเกี่ยวกับการที่ซีกัลผิดสัญญาเรื่องการแสดงกับเขาและเรียกค่าเสียหายกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายก็หาทางไกล่เกลี่ยกันได้นอกชั้นศาลและเรื่องราวนี้ก็จบไป
ซี้กับปูตินจนได้สัญชาติ
“ไปสนิทกับปูตินได้ไง?”
คงเป็นคำถามยอดฮิตที่ลอยขึ้นมาในความคิดของใครหลายคนอย่างแน่นอน ว่าพระเอกสายบู๊ไปสนิทกับประธานาธิบดีรัสเซียอย่าง ‘วลาดีมีร์ ปูติน’ (Vladimir Putin) ได้ยังไงกัน สนิทกันถึงขั้นที่ว่าซีกัลนิยามความสัมพันธ์กับประธานาธิบดีรัสเซียว่าเขาเปรียบเสมือน ‘เพื่อนรัก’ หรือ ‘พี่-น้อง’ กันเลยทีเดียว (ทั้งคู่อายุเท่ากัน) แถมยังเคยบอกว่า
“(ปูตินคือ) หนึ่งในผู้นำที่ดีที่สุดที่โลกใบนี้เคยมีมา”
เรื่องราวความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันเริ่มต้นในปี 2003 (ปีเดียวกับที่ตระกูลแกมบิโนเกมนั่นแหละครับ) ณ เทศกาลภาพยนตร์แห่งมอสโก (Moscow Film Festival) และด้วยความที่ทั้งคู่มีความรักในศิลปะการต่อสู้เหมือนกัน (จริง ๆ ประเด็นเรื่องศิลปะการต่อสู้ของซีกัลนี่ก็สามารถกล่าวถึงได้อีกประเด็นหนึ่งเลย เพราะคนก็มาตั้งคำถามกับแกมากมายไปหมด จนครั้งหนึ่งมีนักมวยคนหนึ่งเคยมาเล่าว่าเขาเคยประชันกับซีกัล แล้วซีกัลก็ไปห้าวใส่เขาจนโดนน็อค ‘อึราด’ เลยทีเดียว แต่เอาไว้พูดถึงกันในบทความต่อไปก็แล้วกันครับ)
และด้วยความที่มีความชอบเหมือนกัน ทั้งคู่จึงเริ่มสนิทกันขึ้นเรื่อย ๆ และได้ไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ไปรับชมการแสดงศิลปะการต่อสู้รูปแบบต่าง ๆ ร่วมกัน ทั้งคู่ก็สนิทกันเรื่อยมาจนมาถึงปี 2015 ในช่วงที่สหรัฐอเมริกามีประธานธิบดีเป็น บารัค โอบามา (Barack Obama) ปูตินถึงกับทำเรื่องไปหาโอบามาขอให้ซีกัลเป็น ‘ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์’ (Honorary Consul) เพื่อจะได้สานสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย และสตีเวน ซีกัล ก็เป็นคนที่เข้าข้างรัสเซียมาโดยตลอด ตั้งแต่การบุกยึดไครเมียจนโดนยูเครนแบนไม่ให้เข้าประเทศไปในปี 2017 เป็นเวลากว่า 5 ปี
นับว่าเป็นเรื่องราวสุดงงและประวัติสุดแปลกของชายนามว่า สตีเวน ซีกัล อย่างน้อยเรื่องราวนี้ก็ทำให้เห็นด้านมืดของวงการฮอลลีวูดว่าแม้ฉากหน้ามันจะดูสวยหรู แต่เบื้องหลังอาจจะมีความโหดร้ายเช่นนี้ซ่อนอยู่ แท้จริงแล้วยังมีเรื่องราวอีกมากมายของ สตีเวน ซีกัล แต่แทบจะทั้งหดล้วนเป็นวีรกรรมเกี่ยวกับเรื่องราวด้านลบทั้งนั้น จนใครหลายคนก็อยากจะเบือนหน้าหนี
แต่ก็อย่างที่บอกแหละครับ ใครคนนั้นไม่ใช่ ‘วลาดีมีร์ ปูติน’
ภาพ :
Getty Images
IMDb
อ้างอิง :
The Untold Truth Of Steven Seagal - The Looper
The Gambino Mafia family once shook down Steven Seagal – and lived - We Are The Mighty