26 มิ.ย. 2566 | 15:31 น.
- หลังจากผู้ชมมีโอกาสได้เห็นฝีมือการแสดงของเธอในภาพยนตร์เรื่อง X (2002) และ Pearl (2022) ‘มีอา ก็อธ’ ก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลามจนหลายคนขนานนามเธอว่าเป็น ‘ราชินีแห่งหนังสยองขวัญยุคใหม่’
- ตอน 10 ขวบ เธอต้องย้ายโรงเรียนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 9 แห่ง ในเวลาเพียง 1 ปี มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก เธอถูกบูลลี่และไม่สามารถปรับตัวได้ จนมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอกลายเป็นคนขี้โกหกไปเลย เพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่าง ๆ
- เธอไม่เคยเข้าใจว่าทำไมยังมีผู้คนอีกมากมายในอุตสาหกรรมนี้ที่ยังไม่เห็นคุณค่าในภาพยนตร์สยองขวัญ แม้จะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมามากมายขนาดไหน
การแสดงอันยอดเยี่ยมที่หลายคนยกให้เป็น ‘Scream Queen’ ยุคใหม่
“Please, I’m a star!” - Pearl From Pearl (2022)
“I’m a fucking star. The whole world’s gonna know my name.” - Maxine Minx From X (2022)
เชื่อว่าหลายคนที่มีโอกาสได้ดูภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องข้างต้น คงจะคุ้นหูกับประโยคเด็ดเหล่านี้แน่นอน เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกร่วมและชะตากรรมที่ตัวละครทั้งสองต้องพบเจอได้เป็นอย่างดี
โดยทั้งสองตัวละครนี้รับบทโดย ‘มีอา ก็อธ’ (Mia Goth) นักแสดงสาวชาวอังกฤษ ที่หลังจากผู้ชมมีโอกาสได้เห็นฝีมือการแสดงอันยอดเยี่ยมของเธอ เธอก็ได้รับเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม และเสียงวิจารณ์ส่วนใหญ่ก็เป็นไปในทางบวก อีกทั้งตัวภาพยนตร์เองยังประสบความสำเร็จใน Box Office ด้วย หลายคนจึงพากันขนานนามเธอว่าเป็น ‘ราชินีแห่งหนังสยองขวัญยุคใหม่’ (The best contemporary scream queen หรือ The modern scream queen) กันเลยทีเดียว
ในภาพยนตร์เรื่อง X (2022) นั้น มีอารับบทเป็น ‘แม็กซีน มินซ์’ (Maxine Minx) หญิงสาววัยรุ่นที่มีอาชีพเป็นนักแสดงหนังโป๊ แต่ความฝันจริง ๆ ของเธอคือการเป็นดาราฮอลลีวูดและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
ขณะที่ตัวละครอย่าง ‘เพิร์ล’ (Pearl) ในภาพยนตร์เรื่อง Pearl (2022) ก็เช่นกัน เธอชอบเต้นรำและกระหายที่จะเป็นดาราที่มีชื่อเสียงแบบเดียวกับแม็กซีน แต่สุดท้ายโชคชะตากลับเล่นตลก และพาให้ชีวิตของพวกเธอทั้งสองต้องพบเจอกับชะตากรรมที่ทั้งน่าเศร้าและน่าสยดสยองไปในคราวเดียวกัน
สำหรับ Pearl (2022) และ X (2022) เป็นส่วนหนึ่งในไตรภาคของแฟรนไชส์ X ซึ่งปลุกปั้นโดย ‘ไท เวสต์’ (Ti West) ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอเมริกัน เจ้าของผลงานอย่าง The House of the Devil (2009), The Sacrament (2013), และ In a Valley of Violence (2016) โดยภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่จะเป็นตัวปิดไตรภาคก็คือ ‘MaXXXine’ ซึ่งนำแสดงโดย ‘มีอา ก็อธ’ เช่นเคย
จากการแสดงในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่อง ทำให้ฐานแฟนคลับของเธอเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชมออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Gen Z โดยในแอปพลิเคชัน TikTok มีวิดีโอมากมายที่เหล่าแฟนคลับสร้างขึ้นมาเพื่อเชิดชูและอุทิศแด่การแสดงที่น่าประทับใจของเธอ โดยเฉพาะฉากจบในภาพยนตร์เรื่อง Pearl ที่เธอยืนยิ้มและร้องไห้อย่างน่าขนลุกในขณะที่จ้องมองมาที่กล้องเป็นเวลากว่า 6 นาที! จนหลายความเห็นยกให้เธอเป็น ‘ไอคอนแห่งความสยองขวัญยุคใหม่’
ชีวิตที่ยากลำบากในวัยเด็กของ ‘มีอา ก็อธ’
ชีวิตในวัยเด็กของมีอาไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เพราะหลังจากที่เธอเกิดเพียงไม่กี่สัปดาห์ แม่ของเธอในวัย 20 ปี ก็ต้องพาเธอย้ายกลับไปยังบ้านเกิดที่บราซิลเพื่อให้คุณยายช่วยเลี้ยง ซึ่งคุณยายของเธอก็คือ ‘มาเรีย กลาดีส์’ (Maria Gladys) นักแสดงชาวบราซิล
มีอาได้กล่าวในภายหลังว่า การใช้ชีวิตอยู่กับคุณยายทำให้เธอได้เห็นความยากลำบากในอาชีพการเป็นนักแสดง ที่บทจะรุ่งก็รุ่งจริง ๆ แต่บทจะดับก็แทบจะไม่เหลืออะไร ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในใจเธอมาโดยตลอด ดังนั้น เธอจึงพยายามอย่างมากที่จะทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา
เธอย้ายกลับมาอยู่อังกฤษหลังจากอายุได้ 5 ขวบ และได้ย้ายไปยังแคนาดาบ้านเกิดของพ่อเป็นเวลาสั้น ๆ ในตอนที่เธออายุ 10 ขวบ ที่นั่น เธอต้องย้ายโรงเรียนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 9 แห่งในระยะเวลาเพียง 1 ปี
มีอากล่าวว่า ช่วงเวลานั้นของชีวิตเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก มีหลายโรงเรียนที่เธอมักจะถูกบูลลี่ (bully) และไม่สามารถปรับตัวได้ และช่วงเวลานี้เองที่มีอาคิดว่าเธอได้เริ่มทำการแสดงเป็นครั้งแรกในชีวิตเพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับสิ่งต่าง ๆ จนมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธอกลายเป็น ‘คนขี้โกหก’ ไปเลย เพราะเธอรู้ว่าเธอไม่มีวันอยู่ที่ใดได้นานพอ
สุดท้าย เมื่อเธอมีอายุ 12 ปี มีอาและแม่ก็ได้กลับมาตั้งรกรากทางตะวันออกเฉียงใต้ของลอนดอน โดยที่แม่ของเธอทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟเพื่อดูแลเธอในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว จนเมื่อเธอมีอายุ 14 ปี ระหว่างที่อยู่ในงานเทศกาลดนตรี ก็มีแมวมองเข้ามาชักชวนเธอให้ไปเป็นนางแบบ ซึ่งต่อมาเธอก็ได้ไปปรากฏตัวในโฆษณาของ Vogue และ Miu Miu กระทั่งอายุ 16 ปี มีอาก็เริ่มต้นการออดิชั่นในภาพยนตร์ต่าง ๆ จนสุดท้ายก็ได้รับบทบาทแรกใน Nymphomaniac (2013) ภาพยนตร์สุดฉาวของผู้กำกับ ‘ลาร์ส ฟอน ทริเยร์’ (Lars von Trier)
หนังสยองขวัญและตัวตนของ ‘มีอา ก็อธ’
หลังจากภาพยนตร์เรื่องแรก ชีวิตการแสดงของเธอก็ดูจะน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ เธอได้รับโอกาสให้แสดงในภาพยนตร์หลายเรื่อง และเกือบครึ่งของผลงานทั้งหมดของเธอคือ ‘ภาพยนตร์แนวสยองขวัญ’ และ ‘ภาพยนตร์แนวระทึกขวัญ’ โดยเฉพาะในช่วงปี 2015 - 2018 ที่เธอมีโอกาสได้แสดงในภาพยนตร์แนวสยองขวัญถึง 5 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Survivalist (2015), A Cure for Wellness (2016), Marrowbone (2017), Suspiria (2018), High Life (2018)
และล่าสุดในปี 2022 และ 2023 ที่เรียกได้ว่าเป็นปีทองในชีวิตการแสดงของเธออย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าจะเป็น X (2022), Pearl (2022) หรือภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเธออย่าง Infinity Pool (2023) ที่กำกับโดย ‘แบรนดอน โครเนนเบิร์ก’ (Brandon Cronenberg) ลูกชายของ ‘เดวิด โครเนนเบิร์ก’ (David Cronenberg) เจ้าพ่อหนังสยองขวัญ เจ้าของฉายา ‘บารอนเลือด’ ก็ล้วนประสบความสำเร็จและได้รับเสียงวิจารณ์ในทางบวกทั้งสิ้น
ย้อนกลับไปในปี 2017 มีอาเคยให้สัมภาษณ์ว่าถ้าเธอมีโอกาสได้แสดงหนังในอดีตสักเรื่อง เธออยากแสดงเป็น ‘เวนดี้ ทอร์เรนซ์’ (Wendy Torrance) แม่และภรรยาที่ต้องเจอกับเหตุการณ์สุดสยองในภาพยนตร์เรื่อง The Shining (1980) ของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง ‘สแตนลีย์ คูบริก’ (Stanley Kubrick)
ในฐานะนักแสดง เธอรู้สึกว่าภาพยนตร์สยองขวัญเปิดโอกาสให้เธอแสดงในบทบาทที่หลากหลายมากกว่าภาพยนตร์แนวอื่น ๆ แม้เธอจะไม่ได้เลือกบทที่จะเล่นจากประเภทของภาพยนตร์ แต่เธอก็ชอบเล่นบทที่ท้าทายตัวเอง ซึ่งภาพยนตร์แนวสยองขวัญก็ตอบโจทย์ในจุดนี้ และเธอรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
หลังปิดกล้องจากภาพยนตร์เรื่อง X (2022) แล้ว แทนที่เธอจะหยุดเพื่อไปพักผ่อน หรือไปท่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ เหมือนนักแสดงคนอื่น มีอาพร้อมด้วยทีมงานและผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง X (2022) อย่าง ไท เวสต์ เดินหน้าต่อในโปรเจกต์หนังเรื่อง Pearl (2022) ทันที ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้เองที่มีอามีโอกาสได้ร่วมเขียนบทเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ เธอรู้สึกว่ามันเหมือนกับเป็นของขวัญจากทุก ๆ สิ่งที่เธอทำมาตลอด
เธอรู้สึกว่าตนเองสามารถเชื่อมโยงกับตัวละครในหนังเรื่อง X (2022) และ Pearl (2022) ได้อย่างใกล้ชิด เพราะพวกเธอทั้งสามคนต่างมองว่า ‘ภาพยนตร์’ เป็นหนทางไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นเหมือนกัน
“ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำอะไร ถ้าฉันไม่ได้เป็นนักแสดง ฉันโตมากับแม่ที่ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟเพื่อเลี้ยงดูฉันในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว การแสดงทำให้ฉันมีชีวิตที่น่าเหลือเชื่อ และฉันก็เข้าใจถึงความปรารถนาที่แม็กซีนและเพิร์ลมี”
แม้ชีวิตการแสดงของเธอจะมีอายุเพียงแค่ 10 ปี แต่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยแล้วว่า ทำไมเธอจึงได้ชื่อว่าเป็นไอคอนแห่งความสยองขวัญสำหรับยุคปัจจุบัน
‘ออสการ์’ ควรให้ค่ากับหนังสยองขวัญได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้มีอาจะได้รับเสียงชื่นชมแค่ไหน แต่ในงานประกาศรางวัลออสการ์ครั้งล่าสุด กลับไม่มีชื่อของเธอหรือชื่อของหนังทั้งสองเรื่องอยู่เลย ไม่เพียงเท่านั้น แม้แต่หนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ ที่เข้าฉายในปีเดียวกัน และได้รับเสียงวิจารณ์ในทิศทางบวกอย่าง Nope (2022) ของผู้กำกับ ‘จอร์แดน พีล’ (Jordan Peele) หรือ Bones and All (2022) ของผู้กำกับ ‘ลูกา กวาดาญีโน’ (Luca Guadagnino) ก็ไม่มีชื่อในการเสนอเข้าชิงรางวัลใด ๆ จากทางออสการ์เช่นกัน
มีอาได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้ โดยบอกว่าเธอไม่เคยเข้าใจว่าทำไมยังมีผู้คนอีกมากมายในอุตสาหกรรมนี้ที่ยังไม่เห็นคุณค่าในภาพยนตร์สยองขวัญ แม้จะมีผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมามากมายขนาดไหน
เธอคิดว่าสิ่งที่ทาง ‘สถาบันศิลปะและวิชาการทางภาพยนตร์’ (Academy of Motion Picture Arts and Sciences) ทำ คือการเน้นไปในมิติของการเมือง และไม่ได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพของผลงานอย่างแท้จริง เธอคิดว่าสิ่งนี้จะต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อให้เกิดความหลากหลายอย่างแท้จริงในเวทีออสการ์ ซึ่งสุดท้ายจะเป็นประโยชน์ อีกทั้งยังสร้างการมีส่วนร่วมกับสาธารณชนในวงกว้างได้อีกด้วย
https://twitter.com/JakesTakes/status/1618395049368358912
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นใหม่ แต่เป็นสิ่งที่แฟนหนังสยองขวัญทั้งหลายต่างพบเจอกันมาจนชินแล้ว หลายปีก่อน ‘โทนี คอลเล็ตต์’ (Toni Collette) ที่มอบการแสดงอันน่าทึ่งในบทบาทของแม่ที่แทบจะเป็นบ้าจากการที่ครอบครัวของเธอค่อย ๆ พบกับความสยองขวัญในแบบที่พวกเขาคาดไม่ถึงในภาพยนตร์เรื่อง Hereditary (2018) ก็เป็นหนึ่งในตัวเต็งที่หลายคนคิดว่ามีลุ้นจะได้ออสการ์ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม แต่สุดท้ายก็ถูกออสการ์เมินในระดับที่ไม่แม้แต่จะเสนอชื่อเธอเพื่อเข้าชิงในรางวัลใด ๆ
ดูเหมือนว่าแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไร หนังสยองขวัญก็ยังไม่สามารถเข้าไปยืนในเวทีออสการ์ได้อย่างทัดเทียมกับหนังแนวอื่นเลย ดังนั้นคำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
ก้าวต่อไปของ ‘ราชินีแห่งหนังสยองขวัญยุคใหม่’
หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปี 2022 - 2023 ดูเหมือนว่ากระแสของ มีอา ก็อธ ยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลงง่าย ๆ เพราะหลายคนต่างคาดหวังและเฝ้ารอการกลับมาของเธอในบทบาท ‘แม็กซีน มินซ์’ ในภาพยนตร์เรื่อง ‘MaXXXine’ ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายที่จะเป็นตัวปิดไตรภาคของแฟรนไชส์ X ซึ่งมีอาเผยว่า เธอคิดว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังที่ดีที่สุดในแฟรนไชส์นี้ และเธอชอบบทเรื่องนี้มากที่สุด
“ฉันมองว่า MaXXXine เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ - นั่นคือวิธีที่ฉันอ่านสคริปต์”
และดูเหมือนว่า มีอา ก็อธ จะมีโอกาสได้แสดงความสามารถในหนังซูเปอร์ฮีโร่จริง ๆ ซะแล้ว เพราะล่าสุด เธอได้กระโดดเข้าสู่ ‘จักรวาลหนังมาร์เวล’ (Marvel Cinematic Universe) โดยได้เข้าร่วมเป็นนักแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Blade ร่วมกับ ‘มาเฮอร์ชาล่า อาลี’ (Mahershala Ali) นักแสดงผู้ที่เป็นเจ้าของรางวัลออสการ์ถึง 2 สมัยในสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเรื่อง Moonlight (2017) และ Green Book (2019)
ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เพราะมีรายงานว่าเธอเป็นหนึ่งในตัวเต็งร่วมกับนักแสดงชื่อดังอย่าง ‘ออสการ์ ไอแซก’ (Oscar Isaac) และ ‘แอนดรูว์ การ์ฟิลด์’ (Andrew Garfield) ที่จะมารับบทนำในภาพยนตร์ live-action เรื่อง Frankenstein ของเจ้าพ่อหนังสัตว์ประหลาดอย่าง ‘กีเยร์โม เดล โตโร’ (Guillermo Del Toro) อีกด้วย
ภาพ: Getty Images
เรื่อง: วีรภัทร สิริสุทธิชัย
อ้างอิง: