‘บ็อบ มาร์เลย์’ เยียวยาการเมืองจาไมกา จับมือคู่อริทางการเมืองกลางเวทีคอนเสิร์ตเพื่อสันติ

‘บ็อบ มาร์เลย์’ เยียวยาการเมืองจาไมกา จับมือคู่อริทางการเมืองกลางเวทีคอนเสิร์ตเพื่อสันติ

‘บ็อบ มาร์เลย์’ (Bob Marley) ใช้ดนตรีเยียวยาการเมืองจาไมกา พานักการเมืองคู่อริที่เขม่นกันเข้มข้นขึ้นมาชูมือพร้อมกันบนเวที (แม้จะดูมีท่าทีไม่เต็มใจกันนัก) ในคอนเสิร์ต One Love เพื่อสันติ

  • ท่ามกลางบรรยากาศการเมืองที่ร้อนแรง บ็อบ มาร์เลย์ ศิลปินเร็กเก้ผู้ยิ่งใหญ่ นำนักการเมืองคู่อริมาชูมือพร้อมกันบนเวทีคอนเสิร์ตเดียวกัน
  • ภาพที่ปรากฏบนเวทีกลายเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์และซีนที่สำคัญในชีวิตของบ็อบ มาร์เลย์ ดนตรีเร็กเก และประวัติศาสตร์ของจาไมกา

“ถ้าคนพวกนี้ยังไม่หยุดพัก หมายถึงพวกที่พยายามทำให้โลกนี้เลวร้ายลง แล้วผมจะหยุดพักได้อย่างไร” บ็อบ มาร์เลย์ (Bob Marley) ได้กล่าวประโยคนี้ไว้ในวันหนึ่ง

ความคิด ชีวิต และการงานของ บ็อบ มาร์เลย์ ศิลปิน ‘เร็กเก้’ หมายเลขหนึ่งของโลก หลอมรวม ผสมผสาน และกลายเป็นตัวตนของเขา ตัวตนแห่งอิสรภาพ ความรักในสันติภาพ และเจตจำนงที่ต้องการให้ความเป็นอยู่ของผู้คนดีขึ้น

ทศวรรษที่ 1960 ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายขวากับฝ่ายซ้ายปะทุขึ้นทั่วโลก เกิดเหตุการณ์ที่นั่น ที่โน่น ในช่วงเวลาที่ ‘เร็กเก้’ ยังไม่เป็นที่รู้จัก จนกระทั่งปี ค.ศ. 1966 ดนตรีเร็กเก้กลายเป็นที่นิยมจากเหตุการณ์จลาจลในประเทศจาไมก้า ด้วยความที่เนื้อหาของบทเพลงแนวเร็กเก้ ได้กระตุ้นให้ผิวสีให้ลุกขึ้นสู้

และตัวแปรสำคัญในการปลุกระดมด้วยเสียงเพลงมีชื่อว่า ‘บ็อบ มาร์เลย์’ (Bob Marley

‘บ็อบ มาร์เลย์’ และกลุ่มเพื่อนของเขาคือคณะ The Wailer ร่วมกันร้องบรรเลง บทเพลงที่สะท้อนมุมมองการเมือง ชีวิต และสังคมที่เฉียบแหลม คมคาย ส่งผลสะเทือนสู่ความขัดแย้งเรื่องสีผิวในประเทศจาไมก้า

บ็อบ มาร์เลย์ ใช้เครื่องดนตรี เสียงเพลง และการกู่ร้อง เป็นสื่อในการเรียกหาสิทธิ เสรีภาพ อิสรภาพ สันติภาพ และภราดรภาพ ขับกล่อมคนทั่วโลกให้ลุกขึ้นสู้ ให้แข็งขืนต่อการกดขี่ขูดรีด

สิ่งนี้เองที่ทำให้เขาคือศิลปิน ‘เร็กเก้’ ที่ประสบความสำเร็จ และโด่งดังไปทั่วโลก

 

บ็อบ มาร์เลย์ ถูกยิง สังเวยการเมืองจาไมกา

ความคิดที่แข็งกร้าว แสดงออกอย่างร้อนแรงผ่านบทเพลง เร็กเก้ ทำให้บ็อบ มาร์เลย์ ถูกทางการหมายหัว

บ็อบ มาร์เลย์ ถูกลอบยิงก่อนวันแสดง Concert Smile Jamaican ในปี ค.ศ. 1976 จะเปิดแสดง 2 วัน แม้จะบาดเจ็บไม่มาก และยืนยันที่จะขึ้นเวที

ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่ดุเดือด ระหว่างพรรครัฐบาล และพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น

หลังคอนเสิร์ตจบ บ็อบ มาร์เลย์ ถูกเนรเทศออกจาก ‘จาไมก้า’ เป็นเวลา 14 เดือนที่เขาจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่ที่บาฮาม่า จากนั้นย้ายไปอยู่บ้านพักของเขาที่อังกฤษในเชลซีอีก 1 เดือน

2 ปีหลังเหตุการณ์ลอบสังหาร สถานการณ์บ้านเมืองของจาไมก้า ยิ่งเลวร้ายลง จากการบริหารงานที่ล้มเหลวของรัฐบาล สองพรรคคู่แข่งเขม่นกันอย่างหนัก เตะตัดขากันอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ บรรยากาศการลอบสังหาร และฆ่าฟันกันดุจสงครามกลางเมือง

เรากำลังพูดถึงความร้ายกาจของ Michel Manley และ Edward Seaga

ทันใดนั้น มีดำริที่จะจัด Concert ขึ้น ภายใต้ชื่องาน One Love' Peace Music ด้วยหวังว่าพอจะช่วยบรรเทาสถานการณ์อันเลวร้ายนั้นให้บรรเทาเบาบางลงบ้าง ระดมศิลปิน ‘เร็กเก้’ แถวหน้าของจาไมก้า ร่วมแสดงถึง 16 วง แน่นอนต้องมี Bob Marley และ The Wailer

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นบนเวที ระหว่างที่เพลง Jammin' กำลังบรรเลง เมื่อบ็อบ มาร์เลย์ เชิญผู้นำทั้งสองพรรคคือ Michel Manley และ Mr. Edward Seaga ขึ้นมา แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่ทั้งคู่ก็ยืนอยู่กับบ็อบ มาร์เลย์ จนได้ จากนั้น บ็อบ มาร์เลย์ จับมือของทั้งสองคนแล้วชูขึ้นเหนือศรีษะ

 

One Love' Peace Music เมื่อศิลปะเยียวยาทุกสิ่ง

“เพื่อให้โลกเห็นว่า เราสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผมพูดไม่เก่ง แต่อยากให้คุณเข้าใจ Mr. Michel Manley และ Mr. Edward Seaga เราจะจับมือกัน เพื่อบอกให้โลกรู้ว่า จาไมก้าจะรวมเป็นหนึ่ง ด้วยความรัก” Bob Marley กล่าวบนเวที One Love' Peace Music

วันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 1978 สนามกีฬาแห่งชาติกลางกรุงคิงส์ตันของจาไมก้า คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เข้ามาชมการแสดง Concert ครั้งประวัติศาสตร์ One Love' Peace Music

แต่หนึ่งสัปดาห์ก่อน Concert จะเริ่มขึ้น บรรยากาศในคิงส์ตันเป็นไปอย่างตึงเครียด และบรรยากาศในสนามกีฬาแห่งชาติในวันที่ 22 เมษายนก็ไม่ต่างกัน เสียงดวลปืนระหว่างตำรวจกับทหาร ดังกระหึ่มยิ่งกว่าเสียง Sound Check เครื่องดนตรีบนเวที

และจำนวนทหารตำรวจที่เพ่นพล่านกลางกรุงคิงส์ตันก็มีมีมากกว่าจำนวนประชาชนที่เข้ามาชม Concert

นอกจากภาพประวัติศาสตร์ที่ใครจะต้องพูดถึงแล้ว One Love' Peace Music เป็นการรวมตัวของศิลปินเร็กเก้แถวหน้าของโลกมากที่สุดบนเวทีเดียวกัน ประกอบด้วย The Meditations, Althea and Donna, Dillinger, The Mighty Diamonds, Junior Tucker, Culture, Dennis Brown, Trinity, Leroy Smart, Jacob Miller and Inner Circle, Big Youth, Beres Hammond, Ras Michael and The Sons of Negus, U-Roy และ Judy Mowatt

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกลับมารวมตัวกันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของ Bunny Wailer, Peter Tosh และ Bob Marley ในนาม The Wailers ขนานแท้ และดั้งเดิม หลังจากที่ทั้ง Bunny Wailer, Peter Tosh และ Bob Marley ต่างแยกตัวไปทำงานอัลบั้มเดี่ยวของแต่ละคน

การได้เห็น The Wailers อีกครั้ง บนเวที One Love' Peace Music ก็เปรียบได้กับการกลับมารวมตัวของ The Beatles เลยทีเดียว

 

Bob Marley & The Wailers เลือดเนื้อ ชีวิต และจิตวิญญาณ Rasta

บ็อบ มาร์เลย์ มีชื่อจริงว่าโรเบิร์ต เนสตา มาร์เลย์ (Robert Nesta MarleyX เกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 1945 ที่เซนต์ แอน ประเทศจาไมก้า ซึ่งเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ระหว่างหลักไมล์ที่แปด-เก้า ระหว่างทางมุ่งสู่อัลวาบริเวณนี้ถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดวัฒนธรรมราสตา (Rasta)

Rasta เป็นลัทธิที่มีจักรพรรดิ Haile Selassie แห่งเอธิโอเปียเป็นองค์ศาสดา มีต้นกำเนิดในประเทศจาไมกา ในหมู่คนผิวดำ กรรมกร และชาวนา ในยุคทศวรรษ 1930 มีความเชื่อที่ว่า Haile Selassie คือพระเจ้าที่จุติมาเกิดเป็นมนุษย์ จะมาปลดปล่อยคนแอฟริกันจากความเป็นทาส

Rasta ผู้หลงใหลดนตรีเร็กเก้ จึงใช้สีเขียว เหลือง แดง เป็นส่วนประกอบของเครื่องแต่งกาย ซึ่งเป็นสีของธงชาติประเทศเอธิโอเปียนั่นเอง Rasta ได้แพร่หลายไปทั่วโลกผ่านบทเพลง ‘เร็กเก้’ ของ Bob Marley โดยชาว Rasta จะไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่จะสูบกัญชา และไว้ผมทรง Dreadlock เป็นที่เชื่อกันว่าได้รับอิทธิพลมาจากสิงโต ซึ่งถือเป็นศักดิ์ศรีของชาว Rasta

บ็อบ มาร์เลย์ ในวัยเด็กเติบโตมาในครอบครัวนักดนตรีโดยคุณแม่เล่นไวโอลินและแอคคอเดียน กับคุณลุงผู้เล่นกีตาร์ แม้จะขาดความอบอุ่นจากผู้เป็นพ่อ แต่เขาได้ทุ่มเทให้กับการร้องเพลงและร่วมร้องเพลงในโรงภาพยนตร์ หลังจากเลิกเรียน เขาใช้เวลาพัฒนาการร้องเพลงกับเพื่อน ๆ

ในปี ค.ศ. 1962 Bob Marley และเพื่อนได้ก่อตั้งวง The Wailers เพื่อหาเลี้ยงชีพพร้อมกับฝึกฝนไปในตัวด้วยจนมีแผ่นเสียงเป็นของตัวเอง ซึ่งต่อมากลายเป็นวงเร็กเก้ที่มีชื่อเสียงระดับโลก

หลังปาฏิหาริย์บนเวที One Love' Peace Music ที่บ็อบ มาร์เลย์ เชิญ Michel Manley และ Edward Seaga ขึ้นมาบนเวที จากนั้น Bob Marley จับมือของทั้งสองคนแล้วชูขึ้นเหนือศีรษะ ไม่มีใครรู้ว่าการนำคู่ขัดแย้งทางการเมืองมาจับมือกันครั้งนั้น จะได้ผลเพียงใดในทางปฎิบัติ แต่ที่ทั้งโลกรู้คือ พลังของดนตรีมีมากกว่าความบันเทิง

บ็อบ มาร์เลย์ ได้รับรางวัล Medal of Peace จากสหประชาชาติ ในปีนั้นเอง แต่ 3 ปีต่อมา Bob Marley จากโลกนี้ไปเมื่ออายุ 37 ปี ด้วยโรคมะเร็ง พิธีศพของเขาถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในกรุงคิงส์ตัน โดยทั้ง Michel Manley และ Edward Seaga ก็มาร่วมงานด้วย

 

เรื่อง: จักรกฤษณ์ สิริริน

ภาพ: บรรยากาศบนเวทีคอนเสิร์ตช่วงที่บ็อบ มาร์เลย์ เชิญ Michel Manley และ Edward Seaga ขึ้นบนเวทีพร้อมกัน แฟ้มภาพจาก Getty Images