‘Spice Girls’ การรวมตัวของ 5 สาวแสบ กลายเป็นเกิร์ลกรุ๊ประดับตำนานแห่งยุค 90s

‘Spice Girls’ การรวมตัวของ 5 สาวแสบ กลายเป็นเกิร์ลกรุ๊ประดับตำนานแห่งยุค 90s

‘Spice Girls’ เกิร์ลกรุ๊ประดับตำนานแห่งยุค 90s ที่เป็นการรวมตัวของ 5 สาวแสบ กอดคอผ่านทุกข์-สุข มาด้วยกัน

  • ปี 1994 สองพ่อลูกตระกูล ‘เฮอร์เบิร์ต’เกิดมีไอเดียอยากจะทวนกระแสปิตาธิปไตยโดยหันมาทำวงหญิงล้วน 
  • ผลงานแรกที่เปิดตัวสู่สาธารณชนของพวกเธอคือซิงเกิลที่ชื่อว่า ‘Wannabe’ เมื่อเดือนกรกฎาคม 1996 ซึ่งตอนแรกทางค่ายมีความกังวลว่า อาจจะแปลกและดูสับสนวุ่นวายเกินไป แต่ทั้ง 5 สาวยืนยันว่า ยังไง Wannabe ก็ต้องเป็นซิงเกิลแรกของพวกเธอ 
  • แนวเพลงของ Spice Girl เน้นที่อิสรภาพ ความเชื่อมั่นในตนเอง และความดื้อรั้น พวกเธอได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่าง ๆ ที่ต้องการยืนหยัดเพื่อตัวเอง

แม้จะยุบวงไปนานถึง 22 ปี แต่ 5 สาว Spice Girls เกิร์ลกรุ๊ประดับตำนานจากอังกฤษ ยังเป็นที่รักของบรรดาแฟน ๆ ที่เรียกร้องจนพวกเธอใจอ่อน ยอมกลับมารวมกันเฉพาะกิจอยู่หลายครั้งในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

แต่กว่าจะกลายเป็นหนึ่งในเกิร์ลกรุ๊ปที่ประสบความสำเร็จและทรงอิทธิพลมากที่สุดแห่งยุค 1990s ทั้ง 5 สาว ซึ่งประกอบด้วย วิกตอเรีย อดัมส์, เมลานี บราวน์ (เมลบี), เจรี ฮัลลิเวลล์, เมลานี ชิซัล์ม (เมลซี) และเอ็มมา บันตัน ต้องฟันฝ่าอุปสรรคมาด้วยกันมากมาย เริ่มตั้งแต่การฟอร์มวงเลยด้วยซ้ำ

จากวง Touch มาเป็น Spice Girl 

ย้อนไปในช่วงต้นยุค 90s โลกดนตรีทั้งใบอยู่ในเงื้อมมือของเหล่าบอยแบนด์ กระทั่งปี 1994 สองพ่อลูกตระกูล ‘เฮอร์เบิร์ต’ (Herbert) คือ ‘คริส’ กับ ‘บ๊อบ’ เกิดมีไอเดียอยากจะทวนกระแสปิตาธิปไตยโดยหันมาทำวงหญิงล้วน 

ทั้งคู่เริ่มต้นจากการทำประกาศลงในหนังสือพิมพ์ ‘The Stage’ เพื่อค้นหาหญิงสาวที่มีพรสวรรค์ทั้งด้านการร้องและการเต้น ที่สำคัญต้องมีเสน่ห์ดึงดูด ปรากฎว่ามีสาว ๆ ให้ความสนใจอย่างล้นหลาม คัดออกมาได้ 400 คน

แต่ในบรรดาหญิงสาวที่วาดฝันจะเป็นนักร้องหลายร้อยคน มีเพียง 5 สาวเท่านั้นที่โดดเด่นเตะตาสองพ่อลูกเฮอร์เบิร์ต ได้แก่ วิกตอเรีย อดัมส์, เมลานี บราวน์, เจรี ฮัลลิเวลล์, เลียนน์ มอร์แกน และมิเชลล์ สตีเฟนสัน จนเกิดเป็นวง ‘Touch’ ภายใต้การดูแลของบริษัท ‘Heart Management’ ที่จับพวกเธอมาทำเดโม และซ้อมเต้นเป็นกิจวัตร 

วิกตอเรียที่ได้คะแนนออดิชันสูงสุดแอบเมาท์เจรีในภายหลังว่า คนอื่นต้องผ่านการออดิชันถึง 2 รอบ กว่าจะได้เป็นสมาชิกวง Touch แต่เจรีออดิชันแค่รอบ 2 รอบเดียว เพราะเธออ้างว่าตัวเองป่วยจากการโดนแดดเผาในสเปน

สมาชิกทั้ง 5 คนได้ย้ายไปอยู่บ้านเดียวกัน ซึ่งพอได้ลองคลุกคลีใกล้ชิด ปรากฏว่าเลียนน์กับมิเชลล์ดูจะไม่เหมาะกับวง และเมื่อมีการพิจารณาจากหลาย ๆ องค์ประกอบ ในที่สุดทั้งคู่ก็ถูกปลดออกจากวง มิเชลล์เคยออกมาให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า “แน่นอนว่าฉันเสียใจที่ไม่ได้เป็นเศรษฐีเงินล้านเหมือนพวกเธอ แต่ตอนที่ฉันออกจากวง ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง มันไม่ใช่แนวเพลงของฉัน และพวกเธอก็ไม่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ฉันต้องการ”

หลังจากนั้นทางวงก็ถูกจับตาว่าจะมีการนำใครมาแทนที่ 2 สาว ซึ่งต่อมา ‘เมลานี ชิซัล์ม’ ได้กลายเป็นสมาชิกใหม่ของวง Touch และมีการชวนให้ ‘อาบิเกล คาส’ มาเป็นสมาชิกคนที่ 5 แต่ท้ายที่สุดกลายเป็น ‘เอ็มมา บันตัน’ ที่เข้ามาเป็นจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายของวง จากการแนะนำของครูสอนร้องเพลงชื่อ ‘เปปี้ เลเมอร์’ 

“ฉันรู้ทันทีเลยว่าเธอคือคนที่ใช่” เจรีกล่าวถึงเอ็มมา อดีตนักเรียนละครเวที ที่มาร่วมหัวจมท้ายกันบนเส้นทางเกิลส์กรุ๊ปแห่งยุค 90s

ในช่วงแรกที่ใช้ชีวิตร่วมกัน เมลบีพูดถึงเพื่อนร่วมวงว่า “ฉันคิดว่าเอ็มมาเป็นคนอ่อนโยน, วิกตอเรียเป็นคนเย่อหยิ่ง และเจรีเป็นคนปากร้าย”
 

ขณะที่เอ็มมา วิกตอเรีย และเมลซี ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเจรีเป็น ‘คนบ้า’ เพราะเธอชอบมัดผมเป็นพวง สวมจัมเปอร์ขนฟูสีชมพู แล้วพูดกับเพื่อน ๆ ด้วยความภาคภูมิใจว่า “นี่ พวกเธอดูสิ ฉันเป็นเป็ดนะ!”

ด้านเจรีพูดถึงเอ็มมาว่า เธอไม่สามารถหยุดมองเอ็มมาได้เลย เพราะเอ็มมาเป็นคนสดใสและน่ารัก มีรอยยิ้มเบิกบานราวกับตุ๊กตา

สาว ๆ ทั้งห้าหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่พวกเธอกลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากต้นสังกัดเท่าที่ควร กระทั่งเวลาในสัญญาเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ พวกเธอจึงขอให้บ๊อบช่วยทำยังไงก็ได้ให้พวกเธอได้จัดการแสดงต่อหน้าเหล่าผู้บริหาร

โชว์ที่ตัดสินชะตากรรมของพวกเธอผ่านไปด้วยดี เหล่าผู้บริหารต่างประทับใจ จนยอมไฟเขียวให้ Heart Management ต่อสัญญากับพวกเธอ แต่สุดท้ายพวกเธอก็เปลี่ยนใจ หลังจากได้รับคำแนะนำทางกฎหมายจากพ่อของวิกตอเรีย 

เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 1995 พวกเธอจากต้นสังกัดเดิมมาพร้อมบันทึกเสียงต้นฉบับ 2 เพลงดังอย่าง ‘Wannabe’ และ ‘2 Become 1’ ซึ่งวิกตอเรียเล่าว่า เจรีแอบเอาบันทึกเสียงสองเพลงนี้ออกมาโดยซุกไว้ที่เสื้อด้านใน เพื่อไม่ให้บ๊อบกับคริสเห็น 

บนรถเฟียตอูโนที่ทั้งเก่าทั้งพังของเจรี สาว ๆ ตัดสินใจเดินหน้าทำวงใหม่ โดยเซ็นสัญญากับ ‘ไซมอน ฟุลเลอร์’ ผู้จัดการของ ‘แอนนี เลนนิกซ์’ นักร้องนำ ‘Eurythmics’ วงดังแห่งยุค 1980s ที่นำพวกเธอไปสู่บ้านหลังใหม่อย่าง ‘Virgin Records’ พร้อมกับเปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น ‘Spice Girls’ 

Spice Girls มาแล้ว

ในวันที่พวกเธอเข้าเซ็นสัญญากับต้นสังกัดใหม่ พวกเธอได้ส่งตุ๊กตายาง 5 ตัวของยี่ห้อ ‘Ann Summers’ ไปที่ออฟฟิศ Virgin Records โดยให้คนขับรถส่งของประกาศกับคนที่นั่นว่า “Spice Girls มาถึงแล้ว” 

เจรีบอกว่ามุกตลกนี้เกือบทำให้คนหัวใจวาย ส่วนวิกตอเรียบอกว่า “ถ้า Virgin ยังไม่รู้ว่ากำลังจะเจอกับอะไร ตอนนั้นพวกเขาคงรู้แล้ว” 

“ผมไม่เคยลืมวันที่พวกเธอโผล่พรวดเข้ามาที่นี่ พวกเธอชุลมุนวุ่นวาย ทำเรื่องบ้า ๆ ในออฟฟิศเป็นกิจวัตร ชอบแย่งกันพูด มันตลกมากเลย” แอชลีย์ นิวตัน รองผู้อำนวยการ Virgin Records ต้นสังกัดใหม่ของ 5 สาว ให้สัมภาษณ์ในงานเปิดตัว Spice Girl 

ผลงานแรกที่เปิดตัวสู่สาธารณชนคือซิงเกิลที่ชื่อว่า Wannabe เมื่อเดือนกรกฎาคม 1996 ซึ่งตอนแรกทางค่ายมีความกังวลว่า Wannabe อาจจะแปลกและดูสับสนวุ่นวายเกินไปโดยเฉพาะในเอ็มวี ถึงขั้นที่สถานีวิทยุ ‘BBC Radio 1’ ปฏิเสธที่จะเล่นเพลงนี้ ส่วนดีเจประจำรายการ ‘Breakfast’ ที่ชื่อ ‘คริส อีแวนส์’ บอกให้สาว ๆ กลับไปดูรายการเด็กในทีวีเถอะ แต่ทั้ง 5 สาวยืนยันว่า ยังไง Wannabe ก็ต้องเป็นซิงเกิลแรกของพวกเธอ 

ถึงแม้วิทยุจะไม่ปลื้มเพลงของพวกเธอ แต่ทีวีกลับมองตรงข้าม และด้วยเอเนอร์จีของเพลง บวกกับการปรากฏตัวด้วยบุคลิกที่ชัดเจนของแต่ละคน ทำให้วง Spice Girls แจ้งเกิดได้สำเร็จ ด้วยยอดขายถล่มทลาย 73,000 ก๊อปปี้ในสัปดาห์แรก และต่อมาก็กลายเป็นหนึ่งในเพลงที่โด่งดังและได้รับความนิยมมากที่สุดในยุค 90s มียอดขายมากกว่า 6 ล้านก๊อปปี้ทั่วโลก และเป็นเพลงเปิดตัวที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาลสำหรับวงดนตรีหญิงล้วน 

ความโด่งดังของพวกเธอไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเกาะอังกฤษ แต่ยังสามารถทะลวงเข้าไปสู่ตลาดอเมริกาได้สำเร็จ เมื่อผลตอบรับดีขนาดนี้ พวกเธอจึงไม่รอช้า เร่งคลอดอัลบั้มเปิดตัววางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน

ที่อังกฤษ อัลบั้มแรกที่ชื่อว่า ‘Spice’ ขายได้มากถึง 1.8 ล้านก๊อปปี้ภายใน 7 สัปดาห์ ส่วนในสหรัฐฯ อัลบั้มนี้มียอดขายระดับแพลตตินัม (Platinum) ถึง 7 ครั้ง จากการจัดอันดับของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐฯ (RIAA) ในปี 1997 

ซิงเกิลอื่น ๆ ในอัลบั้มก็ดังไม่น้อยหน้า ไม่ว่าจะเป็น Say You’ll be There, 2 Become 1 และ Mama ที่กลายเป็นเพลงฮิตดันให้ทั้ง 5 สาว ติดลมบน กลายเป็นที่จับตาของสื่อในยุคนั้น 

บทความในแท็บลอยด์ที่ชื่อว่า ‘Top of the Pops’ ทำให้แต่ละคนมีชื่อเล่นเก๋ ๆ ทั้ง ‘สปอร์ตี’ (Sporty) ที่หมายถึงเมล ซี, ‘สแครี’ (Scary) คือเมลบี, ‘เบบี้’ (Baby) คือเอ็มมา, ‘พอช’ (Posh) คือวิกตอเรีย และ ‘เซ็กซี่’ (Sexy) คือเจรี ซึ่งตอนหลังได้เปลี่ยนมาเป็น ‘จินเจอร์’ (Ginger) ตามผมสีแดงของเธอ 

Spice Girls จัดทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกครั้งแรกที่สนามบาสเก็ตบอลความจุ 8,000 ที่นั่ง ในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1997 

แล้วทำไมต้องเป็นตุรกี? บางทฤษฎีบอกว่าเพราะพวกเธออยากจะอยู่ห่างอังกฤษมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยเกรงว่าสื่ออังกฤษจะเขมือบพวกเธอเละคาบ้าน แต่ความจริงก็คือคอนเสิร์ตนี้ได้รับการสนับสนุนโดย ‘เป๊บซี่’ ซึ่งยืนยันว่าจะจัดคอนเสิร์ตที่ตุรกี ซึ่งเป็นประเทศที่เป๊ปซี่ขายดี

ในวันแถลงข่าวก่อนคอนเสิร์ตเริ่ม 1 วัน นักข่าวถามวิกตอเรียว่า “พอช คุณจะแต่งงานกับ ‘เดวิด เบ็คแฮม’ จริงไหม?” ซึ่งวิกตอเรียตอบว่า “นั่นไม่ใช่เรื่องของคุณนะ แต่เขาดื่มเป๊ปซี่”

คอนเสิร์ตครั้งแรกของพวกเธอเกิดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เต็มไปด้วยการแสดงดอกไม้ไฟ ลีลาการเต้นที่คล่องแคล่วลื่นไหล มีแม้กระทั่งรถไฟเหาะขนาดเล็ก ที่สำคัญพวกเธอยังร้องสดด้วย แต่มิวายที่บางสื่อมองว่า ยังมีส่วนที่ต้องปรับปรุงอีกมาก

ปี 1997 พวกเธอได้รับรางวัลวงยอดเยี่ยมจาก ‘MTV Europe Music Awards’ และกวาดมาอีก 2 – 3 รางวัล จาก ‘BRIT Awards’ และ ‘MTV Video Music Awards’ ในปีเดียวกัน

5 สาวยึดคติ ‘ตีเหล็กตอนร้อน’ พวกเธอรีบปล่อยอัลบั้มที่ 2 ออกมาในปี 1997 ซึ่งตอนแรกแฟน ๆ หวั่นใจว่าอัลบั้มนี้จะไม่เปรี้ยงเท่าอัลบั้มแรก แต่กลายเป็นว่าอัลบั้ม ‘Spiceworld’ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ต้องขอบคุณซิงเกิลแรกอย่าง ‘Spice Up Your Life’ ที่ฮิตติดอันดับ 1 บนยูเคชาร์ต เช่นเดียวกับ 3 เพลงในอัลบั้มแรกของพวกเธอ 

ความสำเร็จและวีรกรรม 5 สาวแสบ

แนวเพลงของ Spice Girl เน้นที่อิสรภาพ ความเชื่อมั่นในตนเอง และความดื้อรั้น พวกเธอได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่าง ๆ ที่ต้องการยืนหยัดเพื่อตัวเอง

ในปี 2017 เจรีให้สัมภาษณ์กับ BBC ว่า “เมื่อ 20 ปีก่อน หากคุณพูดคำว่าสตรีนิยม (feminisim) คุณจะนึกถึงผู้หญิงที่ออกมาเผาชุดชั้นใน เดินขบวนประท้วง มันค่อนข้างก้าวร้าวและรุนแรง แต่สำหรับฉัน Girl Power เป็นวิธีการพูดที่ลงลึกกว่ามาก อันที่จริงแล้ว Girl Power เป็นมากกว่าเพศ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทุกคน ทุกคนควรได้รับการปฏิบัติในแบบเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะเชื้อชาติใด เพศใด หรืออายุเท่าไร”

ในช่วง 2 ปีแรกของอาชีพ ชื่อวงของพวกเธอได้ไปปรากฏบนผลิตภัณฑ์มากกว่า 100 รายการ ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่งทอด บัตรโทรศัพท์ ช็อกโกแลต หรือแม้แต่สเปรย์ระงับกลิ่นกาย พวกเธอยังทำเงินได้ 500,000 ปอนด์ จากการอัดเพลงโฆษณาให้กับสถานีโทรทัศน์ ‘Channel 5’ และมีไลน์สินค้าของตัวเองทั้งชุดนอน ผ้าเช็ดตัวชายหาด ตุ๊กตา ไพ่ เก้าอี้เม็ดโฟม สปันจ์เค้ก ฯลฯ 

ในช่วงปี 1996 ‘The Sun’ รายงานว่า เจ้าชายวิลเลียม เป็นหนึ่งในวัยรุ่นที่หลงใหล Spice Girls มากเสียจนยอมฉีกโปสเตอร์ของ ‘พาเมลา แอนเดอร์สัน’ ออก แล้วแทนที่ด้วยโปสเตอร์ของ ‘เอ็มมา บันตัน’ นอกจากนี้ ยังมีรายงานด้วยว่าพระองค์ไปซื้ออัลบั้มเปิดตัวของพวกเธอ โดยใช้ธนบัตรที่มีพระพักตร์ของพระอัยยิกาปรากฏอยู่

เมื่อเอ็มมามีโอกาสถามเจ้าชายวิลเลียมที่งานการกุศล มีรายงานว่าเจ้าชายวิลเลียมตอบเธอในทำนองว่า “อย่ามาแอ๊วเด็กเสียให้ยาก”

ในงานเดียวกันยังมีรายงานด้วยว่าเจรีแอบบีบบั้นท้ายว่าที่กษัตริย์ของอังกฤษ โดยเธอพูดขำ ๆ ว่า “ฉันบีบก้นทุกคนแหละ แล้วจะเว้นเจ้าชายทำไม” ส่วนเมลซีพูดว่า “ฉันคิดว่าพระองค์ค่อนข้างสนุก เราเลยไม่น่าจะเดือดร้อนอะไร”

ไม่นานแฟน ๆ ก็ร่ำร้องอยากจะเห็นความสามารถของพวกเธอนอกเหนือจากผลงานเพลง จึงได้เวลาที่พวกเธอจะปรากฏตัวในฐานะ ‘นักแสดง’ ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Spice World’ ออกฉายในอังกฤษเมื่อเดือนธันวาคม 1997 ก่อนจะฉายทั่วโลกในปีต่อมา ความร้อนแรงของพวกเธอทำให้หนังทำเงินได้มากถึง 10 ล้านปอนด์ในอังกฤษ 

แต่ภาพยนตร์ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวงดนตรีที่กำลังเตรียมตัวเล่นคอนเสิร์ต ควบคู่ไปกับการรับมือกับเรื่องเพี้ยน ๆ ทั้งนักข่าวไร้จรรยาบรรณ เอเลี่ยน และระเบิดบนรถบัส (ที่หายไปอย่างลึกลับ) กลับถูกนักวิจารณ์สับเละ จนสาว ๆ ได้รางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเย่จาก ‘Golden Raspberries’ ไปครอง 

วิกตอเรียบอกว่า “ปัญหาก็คือคนปากร้ายบางคนที่เขียนบทวิจารณ์อย่างน่ารังเกียจ เพราะมองไม่เห็นว่ามันเป็นการล้อเลียนตั้งแต่ต้นจนจบ เราตั้งใจจะสร้างหนังสนุก ๆ ซึ่งฉันคิดว่าเราทำได้”

ปีเดียวกับที่ภาพยนตร์ออกฉาย สาว ๆ ยังบอกลาจากไซมอน เนื่องจากความเห็นที่แตกต่าง และจุดตกต่ำของวงก็เริ่มขึ้น 

มีพบก็ต้องมีพราก

แม้จะยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนทีมบริหาร แต่สาว ๆ ก็พยายามรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ทว่าการจัดการวงด้วยตัวเองถือเป็นงานยากลำบากสำหรับพวกเธอ 

หลังจาก Spice Girl กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก พวกเธอต้องพรากจากเพื่อนฝูงและครอบครัวนานหลายเดือนด้วยเหตุผลด้านภาษี โดยในปี 1998 พวกเธอต้องไปอาศัยอยู่นอกอังกฤษ ด้วยการตระเวนจัดทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งทำให้พวกเธอทั้งเหนื่อยและโดดเดี่ยวมาก

“ฉันร้องไห้ทุกวันเพราะอยากกลับบ้าน” วิกตอเรียเขียนในหนังสือ ‘Forever Spice’ เมื่อปี 1998

“ฉันโทรไปที่บ้าน แล้วแม่ก็พูดว่า น้องสาวเพิ่งมาหาแม่พร้อมกับลูกตัวน้อย ฉันได้ยินเสียงเด็กทารก และเสียงจากละครเรื่อง EastEnders ทางโทรทัศน์ จากนั้นพ่อของฉันก็กลับเข้ามาในบ้านเพื่อกินมื้อเย็นกับทุกคน ส่วนฉันต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง

“โอเค เรามีชื่อเสียง และกำลังทำในสิ่งที่เราชอบ แต่สิ่งเดียวที่ฉันคิดในเวลานั้นคือ พระเจ้า! ฉันคิดถึงครอบครัวและบ้านของฉัน ฉันคิดถึงการได้มองกระจกที่ไอจับ เวลาที่แม่ทำอาหารเย็น และเก้าอี้ที่วางกั้นให้ประตูเปิดออก เพื่อไม่ให้สัญญาณเตือนไฟไหม้ดัง

“ฉันไม่อยากเป็นคนเข้มแข็งอีกต่อไป ฉันแค่อยากนั่งร้องไห้ แล้วมีใครสักคนเดินเข้าพร้อมโล่ พร้อมกับบอกว่า ฉันจะปกป้องเธอเอง”

การทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกของ Spice Girls ในปี 1998 ซึ่งมีแฟน ๆ 2.1 ล้านคนเข้าชมคอนเสิร์ตทั้งหมด 97 ครั้ง เฉพาะในสหรัฐฯ ทำเงินให้พวกเธอ 60 ล้านดอลลาร์ 

แต่ระหว่างทาง ทั้งเมลบีและวิกตอเรีย เบ็คแฮม เกิดตั้งท้องขึ้นมา ทั้งคู่พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะปกปิดเป็นความลับไม่ให้ทีมงานและแฟน ๆ รู้

เมลบีเปิดเผยในภายหลังว่า “ตอนที่วิกตอเรียกับฉันท้องครั้งแรก บ่อยครั้งที่เราทั้งคู่จะขอให้ทีมงานช่วยถอดชุดออก ไม่มีใครรู้ว่าทำไม เพราะเราเพียงแต่พูดว่า เราแค่อ้วนขึ้น”

เมื่อการทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกเดินมาถึงครึ่งทาง ในวันเกิดของเมลบี ช่วงเดือนพฤษภาคม 1998 เจรี ฮัลลีเวล หรือ จินเจอร์ สไปซ์ ก็ลาออกจากวงชนิดที่ไม่มีใครตั้งตัวได้

คำอธิบายอย่างเป็นทางการของเจรีคือความเหนื่อยล้าที่ทำให้เธอจำเป็นต้องหยุดพัก เธอกล่าวว่า “ฉันรู้อยู่เต็มอกว่าฉันกำลังจะจากไป” ส่วนในแถลงการณ์ต่อมาเธอบอกว่า “ฉันแค่รู้สึกว่างเปล่า และได้มอบทุกอย่างเท่าที่ทำได้ให้กับพวกเขาไปแล้ว ฉันรู้สึกว่าวงมีขนาดใหญ่มาก และสาว ๆ ก็แทบจะไม่ต้องการฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันรู้สึกเป็นส่วนเกิน ล้อยังหมุนต่อไปได้หากไม่มีฉัน ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวงอีกต่อไป” 

แต่ในหนังสืออัตชีวประวัติของเธอที่ชื่อว่า ‘If Only’ เจรีให้เหตุผลว่า เธอรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกทางวงขัดขวางไม่ให้เธอให้สัมภาษณ์ทางทีวี ในประเด็นที่เธอรอดชีวิตจากมะเร็งเต้านมในช่วงวัยรุ่น

“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย นี่มันคือการช่วยชีวิตคนนะ ฉันรู้ในตอนนั้นเลยว่าวงจบแล้ว จินเจอร์ สไปซ์ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว” 

“มันค่อนข้างยากเหมือนกัน” เอ็มมาพูดถึงเรื่องนี้ “เราทำการแสดงมากมายในยุโรป แต่เราค่อนข้างกังวลกับทัวร์อเมริกา” เอ็มมาพูดถึงการหายไปของเพื่อนร่วมวง 

“เวลาคิดถึงเจรีก็เหมือนเวลาที่คิดถึงแม่ คุณอาจจะคิดถึงเธอ แต่คุณจะไม่คิดถึงความจู้จี้จุกจิกของเธอ” เมลซีกล่าวอีกมุม

และสำหรับวิกตอเรีย เธอบอกว่า “ข้อดีอย่างหนึ่งคือ พอไม่มีเจรี ฉันเลยได้ร้องเพลง Wannabe เป็นครั้งแรก”

ความสัมพันธ์ของเพื่อนสาวทั้งห้าตึงเครียดอยู่หลายปี แต่สุดท้ายทั้งวงก็กลับมาคืนดีกัน โดยในการรียูเนียนเมื่อปี 2019 (ที่ไม่มีวิกตอเรีย) เจรีถึงกับขอโทษที่เธอออกจากวงในตอนนั้น

“ฉันขอโทษ ขอโทษที่ฉันจากไป ฉันทำตัวเหมือนเด็กเหลือขอ มันดีมากที่ได้กลับมาอยู่กับสาว ๆ ที่ฉันรัก”

การตัดสินใจออกจากวงของเจรีในตอนนั้น เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนที่วงจะออกทัวร์ในอเมริกา สมาชิก 4 คนที่เหลือ เดินหน้าต่อด้วยการซ้อมเต้นและร้องใหม่ 

ซิงเกิลสุดท้ายของอัลบั้มที่ 2 คือ ‘Viva Forever’ จึงกลายเป็นเพลงที่มีความหมายมากเมื่อเจรีออกจากวงไป หลังจากนั้นสมาชิกที่เหลือในวงก็อัดซิงเกิลส่งท้ายในเดือนธันวาคม 1998 ที่ชื่อว่า ‘Goodbye’ ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต  U.K. Singles 

ไม่กี่ปีต่อมา พวกเธอก็แยกย้ายไปทำงานเดี่ยวของตัวเอง ถึงจะปล่อยสตูดิโออัลบั้มที่ชื่อว่า ‘Forever’ ออกมาในปี 2000 แต่ผลตอบรับก็อยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น ไม่เปรี้ยงปร้างเหมือนตอนแรก 

เมลซีเริ่มด้วยการร้องเพลงคู่กับ ‘ไบรอัน อดัมส์’ ในเพลง  ‘When You're Gone’ และมีซิงเกิลอันดับ 1 ใน U.K. Singles ปี 2000 ถึง 2 เพลง ในขณะที่เมลซีปล่อยอัลบั้ม ‘Hot’ ในปี 2000 แต่ยอดขายไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไหร่ 

ส่วนวิกตอเรีย ที่ต่อมารู้จักกันในนาม ‘วิกตอเรีย เบ็คแฮม’ ก็ไปไม่รุ่งกับเพลงเดี่ยวเหมือนกัน ยกเว้นเอ็มมาที่ทำได้ค่อนข้างดีในซิงเกิล ‘What Took You So Long’ ในปี 2001 แต่ก็เป็นความสำเร็จเพียงประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น แล้วจากนั้นทุกคนก็แยกทางกันอย่างเป็นทางการในปี 2001 

การกลับมาพบกันของ 5 สาว

มีข่าวลือเป็นระยะว่าพวกเธอจะรียูเนียนกัน แล้วพวกเธอก็ได้ฤกษ์มารวมกันจริง ๆ ในปี 2007 ซึ่งครั้งนั้นเมลบีกล่าวว่า “ฉันรู้มาตลอดว่าพวกเราจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีก ฉันไม่เคยสงสัยเรื่องนี้เลย”

ทัวร์รอบโลกเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนั้นเอง พร้อมกับ 2 ซิงเกิลฮิตอย่าง ‘Headlines’ และ ‘Voodoo’ แต่ก็ยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดเช่นในอดีต อย่างไรก็ตาม ทัวร์ของพวกเธอก็ขายบัตรได้หมดเกลี้ยง จนต้องมีการขยายรอบ 

อีกหนึ่งตำนานที่เกิดขึ้นระหว่างการรียูเนียนครั้งนี้คือการปะทะกับสื่อ แต่ไหนแต่ไรมา Spice Girls ขึ้นชื่อเรื่องการตอบโต้สื่อที่ไม่เป็นสองรองใคร แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแต่ความแซ่บในการตอบคำถามก็ยังไม่ลดน้อยลง เช่น ตอนที่มีนักข่าวถามพวกเธอทำนองว่า พอมีลูกแล้ว พวกคุณจะยังซ้อมเต้นกันไหวอยู่ไหม? ที่ทำเอาเมลบีปรี๊ดแตกถึงกับปีนลงจากเวที ตรงไปปลดกระดุมเสื้อของนักข่าวชายคนนั้น เพื่อขอดูว่าหุ่นเขาฟิตพอจะวิจารณ์เรือนร่างพวกเธอหรือไม่

ครั้งสุดท้ายที่ 5 สาว Spice Girls แสดงร่วมกันคือพิธีปิดการแข่งขันโอลิมปิกที่ลอนดอนในปี 2012 โดยทันทีที่ทั้ง 5 สาวก้าวออกมาจากรถแท็กซี่ เสียงกรีดร้องต้อนรับก็ดังกระหึ่ม พวกเธอเปิดตัวด้วยเพลง Wannabe ที่ทำให้โลกได้รู้จักพวกเธอเป็นครั้งแรก แล้วก็ปีนขึ้นไปยืนบนหลังคารถแท็กซี่ต่อด้วยเพลง Spice Up Your Life ท่ามกลางเสียงปรบมือดังสนั่น

เมลซีเล่าว่า พวกเธอใช้เวลาซ้อมโชว์นี้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ครึ่ง แต่ก็ยังตื่นเต้นอยู่ดีพอถึงเวลาออกไปปรากฏตัวให้ผู้ชมเห็น

วิกตอเรียที่ตื่นตระหนกตอนอยู่บนรถแท็กซี่ และเกือบจะไม่ก้าวออกมาแล้ว เล่าว่า “ฉันรู้สึกเหมือนกับจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ” แต่เมื่อเธอเห็นความมั่นใจที่ฉายออกมาในตัวเอ็มม่า เธอก็ไม่รีรอที่จะเดินตามออกมา แถมยังชมเพื่อนตัวเองด้วยว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ (เอ็มมา) ฉันคงไม่ออกไปหรอก”

แม้จะทำงานและใช้ชีวิตร่วมกันจริง ๆ เพียงไม่กี่ปี และบางช่วงก็มีโกรธกัน ไม่พอใจกันบ้าง แต่ท้ายที่สุดกาลเวลาเกือบ 30 ปีก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ความโด่งดังระดับตำนานและมิตรภาพของ 5 สาว Spice Girls ไม่เคยขาดสะบั้นลงเลย เหมือนเนื้อเพลง Wannabe ในท่อนที่ร้องว่า Make it last forever, friendship never ends
 

ภาพ : Getty Images

อ้างอิง : 

bbc

m.aceshowbiz