เดวิด และ นิค เชฟฟ์ คำสารภาพจากครอบครัวเด็กติดยาตัวจริงใน Beautiful Boy

เดวิด และ นิค เชฟฟ์ คำสารภาพจากครอบครัวเด็กติดยาตัวจริงใน Beautiful Boy

เดวิด และ นิค เชฟฟ์ คำสารภาพจากครอบครัวเด็กติดยาตัวจริงใน Beautiful Boy

“เวลานอนไม่หลับ ผมจะลุกขึ้นมาหยิบปากกาเพื่อเขียนบันทึก” คุณพ่อ เดวิด เชฟฟ์ กล่าวถึงช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่พวกเขาหาทางออกไม่ได้ หลัง นิค เชฟฟ์ ลูกชายสุดที่รักของเขาติดยา “ไอซ์” หรือ เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) หนทางการเยียวยาจิตใจของคุณพ่อก็คือ การเขียนบันทึก “เมื่อผมกลับไปอ่านบันทึกที่ได้เขียนไว้ช่วงกลางดึก ผมก็ฉุดคิดขึ้นว่า ในตอนนั้นมันทำให้ผมลำบากใจมากแค่ไหน และความเจ็บปวดจิตใจที่ผมต้องแบกรับนั้นมันหนักขนาดไหน” จากบันทึกก่อนนอน สู่หนังสือ Beautiful Boy: A Father's Journey Through His Son's Addiction” บันทึกประสบการณ์ในการพยายามเลิกใช้ยาเสพติดและการหวนกลับไปใช้ยาอีกครั้งของลูกชาย ซึ่งไม่ได้เพียงแต่บอกเล่าเหตุการณ์อย่างเดียว แต่มันยังบอกถึงช่วงเวลาอันล้ำค่าสำหรับครอบครัวเชฟฟ์ ความปิติยินดี ความบริสุทธิ์ใจ และความรัก คุณพ่อเดวิด สารภาพว่า ในช่วงแรกตัวเองคิดว่าการรับมืออาการติดยาของนิคนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เขาเชื่อว่าพวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาการติดยานี้ได้ แต่พวกเขาคิดผิด ผลกระทบของยาเสพติดเป็นเรื่องนอกเหนือการควบคุม และส่งผลลึกลงไปถึงทุกอณูในชีวิต ทำให้พวกเขาค่อยๆ เรียนรู้ที่จะรับมือกับมัน [caption id="attachment_2452" align="alignnone" width="700"] เดวิด และ นิค เชฟฟ์ คำสารภาพจากครอบครัวเด็กติดยาตัวจริงใน Beautiful Boy นิค เชฟฟ์ รับบทโดย ทิโมธี ชาลาเมต์, เดวิด เชฟฟ์ รับบทโดย สตีฟ คาเรล[/caption] เช่นเดียวกับลูกชาย นิค เชฟฟ์ เขาเองก็เริ่มเขียนบันทึกความทรงจำตั้งแต่ครั้งแรกเข้ารับการบำบัดยาแต่ประสบความล้มเหลว นิคจึงออกจากสถานบำบัดที่นิวเม็กซิโก และได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย โดยครอบครัวเชฟฟ์ไม่เคยได้รับข่าวของเขาตลอดระยะเวลา 18 เดือน “ผมไม่ได้คุยกับคุณพ่อนานมาก ผมไม่ได้ติดต่อไปหาครอบครัวเลย เพราะผมไม่ต้องการให้พวกเขาผิดหวังรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง” เขากล่าว “ตอนที่ผมเลิกยาได้ 6 เดือน พวกเราได้กลับมาคุยกันอีกครั้งหนึ่ง พ่อผมเริ่มเขียนบันทึกความทรงจำในช่วงนั้น พ่อขอให้ผมส่งบันทึกให้เขาอ่าน และเขาเองก็จะส่งบันทึกของเขามาให้ผมอ่านด้วยเหมือนกัน” เพียงคุณพ่ออ่านบันทึกของลูกชาย เขาถึงกับร้องไห้กับตัวอักษรทุกหน้า เพราะทำให้รู้ว่าลูกชายต้องเผชิญหน้ากับความเลวร้ายเหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้หลายเท่า เช่นเดียวกับลูกชายที่ตกใจกับมุมมองของคุณพ่อ นิคไม่เคยรู้มาก่อนว่าพฤติกรรมของเขาทำให้ครอบครัวเกือบพังทลาย “ผมเคยคิดอยู่เสมอว่า ถ้าผมจะตายเพราะยา มันเป็นเรื่องของผมคนเดียว มันคงไม่ส่งผลกระทบอะไรกับคุณพ่อ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ผมทำมันกระทบกับทุกอย่างในชีวิตของเขา ผมทำให้พ่อรู้สึกเจ็บปวดตลอดเวลา ผมไม่เคยรับรู้ความเจ็บปวดของคุณพ่อมาก่อน ขณะเดียวกันพ่อเองก็เคยคิดว่าผมเพลินเพลินกับยาเสพติดเหมือนเป็นงานปาร์ตี้ที่ไม่มีวันรู้จบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมอยู่กับความเจ็บปวดอันมหาศาล” บันทึกของ นิค เชฟฟ์ ต่อมาได้กลายเป็นหนังสือ Tweak” โดยบันทึกความทรงจำสองเล่มนั้นวางขายบนชั้นหนังสือพร้อมๆ กัน  และทำให้เกิดกระแสเตือนผู้คนเกี่ยวกับอันตรายของยาเสพติดที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในครอบครัวของทุกคน จนกลายเป็นหนังสือขายดีระดับนานาชาติ เร็วๆ นี้ เรื่องราวของพ่อลูก เดวิด และ นิค เชฟฟ์ กำลังจะกลายเป็นภาพยนตร์ Beautiful Boy โดยผู้กำกับชาวเบลเยียม เฟลิกซ์ ฟาน โกรนินเกน เจ้าของผลงาน The Broken Circle Breakdown (2012) ที่เคยเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศมาแล้ว ทั้งนี้ Beautiful Boy จะนำเรื่องราวของหนังสือทั้งสองเล่มมาผสมผสานกันจนเป็นเรื่องราวตลอด 10 ปีของชีวิตของคนในครอบครัวเด็กติดยา พร้อมถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆ ทั้งความเจ็บปวด แรงบันดาลใจ และพลังบวก ผ่านการต่อสู้ดิ้นรนกับอาการอยากยาของเด็กชายคนหนึ่ง เกิดเป็นเรื่องเล่าระหว่างคนสองคนในสถานการณ์เดียวกันที่มีมุมมองต่างกันโดยสิ้นเชิง เดวิด และ นิค เชฟฟ์ คำสารภาพจากครอบครัวเด็กติดยาตัวจริงใน Beautiful Boy สองพ่อลูกได้เชิญผู้กำกับ เฟลิกซ์มาพูดคุยที่บ้านด้วยเช่นกัน โดยเปิดใจเล่าเรื่องประสบการณ์ต่างๆ อย่างเปิดเผย รวมถึงความหวาดกลัวและความรู้สึกละอายที่อยู่ในใจ “ผมรู้สึกว่าเขามีความตั้งใจที่จะบอกเล่าเรื่องราวของพวกเราจริงๆ” คุณพ่อเดวิดกล่าวถึงผู้กำกับ “สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกชื่นชมตั้งแต่การพบกันครั้งแรกก็คือ ความตั้งใจของเขาที่มีต่อการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับภัยของยาเสพติด และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นจากการใช้ยา” เดวิด เชฟฟ์ ยังกล่าวย้ำถึงความเชื่อเกี่ยวกับผู้ติดยาเสพติดว่า ปัจจุบันยังมีความเข้าใจผิดกันอยู่มาก เปรียบเสมือนโรคร้ายที่แอบซ่อนอยู่ เพราะผู้เสพมักไม่กล้าเล่าประสบการณ์ของตัวเอง โดยเขาหวังว่าหนังเรื่องนี้จะสามารถกลายเป็นสื่อแทนคำพูดของพวกเขาได้ “คนทั่วไปตัดสินว่าการกระทำของคนติดยาเป็นการกระทำที่ผิด ตัดสินว่าครอบครัวของพวกเขาเลี้ยงดูไม่ถูกวิธี พวกเราตัดสินกันเองทั้งนั้น พวกเรานี่เองที่เป็นคนตีตราบาปให้กับผู้ติดยา เราทุกคนคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดไกลจากครอบครัวของตัวเอง แต่ในความเป็นจริงนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหาครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งที่ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเลยสักครั้ง” เช่นเดียวกันลูกชาย นิค เชฟฟ์ ที่บอกว่า เราไม่ต้องการให้ใครมาย่ำยีหรือดัดแปลงเรื่องราวในอดีตของตนเอง “หลายครอบครัวต้องประสบกับปัญหาที่พวกผมเคยเผชิญกันมาแล้ว ผมอยากจะให้ผู้คนรับมือกับยาเสพติดและการรักษาอาการจากยาเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง พวกเขาต้องการบอกเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงๆ โดยไม่เติมแต่งองค์ประกอบอื่นๆ เข้าไป” ท้ายที่สุดแล้ว ถึงแม้เราจะรู้ถึงโทษของยาเสพติด แต่สำหรับบางคนมันก็ยังเป็นความอันตรายที่หอมหวาน ก่อนจะเผชิญหน้ากับผลกระทบอันเลวร้ายตามมา ยาเสพติดเป็นภัยอันตรายโดยไม่สนว่า คุณมีเงินแค่ไหน เรียนจบมาสูงขนาดไหน หรือคนรอบข้างจะรักคุณมากเพียงใด “ทุกคน” เป็นทาสของยาเสพติดได้เสมอ

“ผมเรียนรู้จากหนังสือของเดวิดและนิคว่า ผมและครอบครัวยังคงมีอคติเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ยาเสพติดอยู่ เราไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เราไม่รู้วิธีการช่วยเหลือพวกเขา เรื่องราวของพวกเขาทั้งสองได้ตกผลึกจนกลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ และเราหวังว่าเสียงของพวกเราจะส่งไปถึงผู้ที่กำลังต่อสู้กับอาการอยู่ไม่มากก็น้อย... ผมหวังว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถเปิดใจและให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เหมือนกับที่เรื่องราวของครอบครัวเชฟฟ์ได้เปิดใจผม” ผู้กำกับ เฟลิกซ์ ฟาน โกรนินเกน

เดวิด และ นิค เชฟฟ์ คำสารภาพจากครอบครัวเด็กติดยาตัวจริงใน Beautiful Boy     ที่มา