เอดินสัน คาวานี: นายพรานนักล่าประตู หัวหมู และความสำเร็จ

เอดินสัน คาวานี: นายพรานนักล่าประตู หัวหมู และความสำเร็จ
หาก "ชาร์รัวอาส" (Charrúas) เป็นนักรบ นักล่า ที่ชำนาญการแผลงศรในเผ่าอินเดียนแดงของอเมริกาใต้
เอดินสัน คาวานี กองหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีสายเลือดของเผ่าพันธุ์นี้ คงเปรียบเป็นนายพรานในเผ่าที่เชี่ยวชาญการล่าประตูและความสำเร็จ
ดาวยิงอุรุกวัยเคยเล่าถึงท่าดีใจซึ่งคล้ายการยิงธนูไว้ใน "ยูไนเต็ด รีวิว" ว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบรรพบุรุษของเขา
"มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาวสักเล็กน้อย มันอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติเรา ชาร์รัวอาสเป็นชนเผ่าพื้นเมือง และชื่อของ อินเดีย ลูกสาวของผม ก็มีที่มาจากชื่อเผ่านี้ด้วยเช่นกัน”
“ลูกศรที่ผมทำท่าจุดไฟยิง คือการฉลองประตูที่สื่อถึงสิ่งเหล่านี้ มันเป็นการผสมกันระหว่างชื่อของลูกสาวของผม และสื่อถึงชนเผ่าพื้นเมืองของอุรุกวัย ซึ่งมันมีความหมายพิเศษมาก ๆ สำหรับผม”
เจ้าของฉายา "เอล มาทาดอร์" เกิดที่ซัลโต เมืองที่มีประชากรหนาแน่นอันดับ 2 ในประเทศอุรุกวัย เขาเกิดตรงกับวันวาเลนไทน์พอดี เมื่อปี 1987 โดยเป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาพี่น้อง 3 คน ของหลุยส์ คาวานี และเบอร์ตา โกเมซ บิดาและมารดา
พ่อของคาวานีเคยเป็นนักเตะอาชีพเช่นกัน และลูกชายทั้ง 3 ก็หล่นไม่ไกลต้น ต่างเดินตามรอยผู้ให้กำเนิดด้วยการเป็นนักเตะอาชีพทั้งหมด แต่ดูเหมือน เอดินสัน จะหลงไหลและคลั่งในเจ้าลูกกลม ๆ มากกว่าใคร และผู้เป็นพ่อ ก็เป็นสายซับอย่างเต็มที่เพื่อให้ลูกคนสุดท้องได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพ แม้ว่าฐานะที่บ้านจะค่อนข้างยากจนก็ตาม
ในยามนั้น บ่อยครั้งที่คาวานีน้อย จะไปไล่กวดหวดลูกบอลกับคู่แข่งที่โตกว่า สนามไหน เวทีใด ก็ไม่เกี่ยง แม้สนามจะเป็นดินขรุขระ เต็มไปด้วยกรวดทราย บนพื้นถนน หรือ สตรีทซ็อคเกอร์ โดยมี กาเบรียล บาติสตูต้า จอมถล่มประตูเท้าหนักทีมชาติอาร์เจนติน่า เป็นไอดอล
แต่ตามบันทึกระหว่างนั้น จากการที่เขาต้องเล่นกับนักบอลรุ่นพี่ ไอ้หนูคาวานี่ต้องเจอการ "บูลลี" ต่าง ๆ นา ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ต่อมาเขามีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งมาก ๆ
ก่อนที่ดานูบ เอฟซี หนึ่งในสโมสรดังในมอนเตดิวีโอ เมืองหลวงของอุรุกวัย ที่เคยปั้น อัลวาโร เรโคบา และดีเอโก ฟอร์ลัน จนโด่งดังมาแล้ว จะหยิบยื่นโอกาสการเป็นผู้เล่นอาชีพให้ด้วยการดึงเข้าทีมเยาวชนขณะที่ "เอล มาทาร์ดอร์" มีอายุได้ 13 ปี
ณ ที่แห่งนี้ ทำให้ คาวานีได้แจ้งเกิด เพราะเขามีโอกาสติดทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 20 ปี ก่อนจะคว้ารางวัลดาวซัลโวในการแข่งขันรอบสุดท้ายปี 2007 ด้วยการซัดไป 7 ประตูจาก 9 แมตช์ พาทีมทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศ จนทำให้สปอตไลต์ส่องไปที่ไอ้หนูวัย 20 ปี ยักษ์ใหญ่ในกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี มองตาเป็นมัน ทั้งยูเวนตุส และเอซี มิลาน อยากจะได้ตัวไปร่วมทัพ
แต่เป็น ปาแลร์โม สโมสรเล็ก ๆ กลับได้ลายเซ็นเขาไปในยามนั้นด้วยค่าตัว 4.475 ล้านยูโร (170 ล้านบาท) และเริ่มสร้างชื่อจากที่นั่น
ในปี 2007 วันที่ 11 มีนาคม เป็นวันที่เขาจำไม่ลืม เพราะเป็นแมตช์แรกของเอดินสันในลีกยุโรป ดาวเตะผมยาวหมายเลข 7 ในเสื้อสีชมพูถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง และยิงประตูตีเสมอฟิออเรนติน่าได้แบบงามหยดด้วยการวอลเลย์โครมเดียวคล้ายกับลูกยิงใบไม้ร่วงในตำนานของ มาร์โก ฟาน บาสเทน
ก่อนที่เขาจะยึดตัวจริงในทีมได้เป็นการถาวรในซีซันต่อมา เบ็ดเสร็จท่านนายพรานยิงไปทั้งสิ้น 37 ประตูจาก 117 เกมให้กับปาแลร์โม จนได้ฉายา "เอล มาร์ทาดอร์" (นักสู้วัว) เนื่องจากความเยือกเย็นในการจบสกอร์ แต่ดูเหมือนสนามสตาดิโอ เรนโซ บาร์เบรา จะเล็กไปสำหรับเขาเสียแล้ว
เดือนกรกฎาคม ปี 2010 เป็นนาโปลีที่ซื้อตัวดาวยิงหุ่นชะลูดไปร่วมทัพด้วยค่าตัว 17 ล้านยูโร (640 ล้านบาท) และสุดยอดนักล่าประตูก็ไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวัง 3 ซีซันที่เล่นในถิ่นดีเอโก อาร์มันโด มาราโดนา เขาทำไปทั้งสิ้น 104 ประตูจาก 138 เกม พาทีมคว้าแชมป์โคปป้าอิตาเลียได้ 1 สมัย คว้ารางวัลดาวซัลโว เซเรีย อา, ติดทีมยอดเยี่ยมของเซเรีย อา ทั้ง 3 ซีซัน
อีกทั้ง ยังได้เล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายปี 2010 อยู่ในทีมชุดคว้าอันดับ 4 และคว้าแชมป์โคปา อเมริกากับทีมจอมโหดได้ด้วยในปีต่อมา
หลุยส์ คาวานี ผู้เป็นบิดาภูมิใจมากกับความสำเร็จของลูกชายในยามนั้น และย้อนถึงวันวานในวันที่ครอบครัวยังลำบาก
"ผมและเอดินสันชอบไปตกปลา ซึ่งบริเวณที่เราตกกันไกลจากบ้านไปประมาณ 30 กิโลเมตร เราขึ้นรถคันเก่า ๆ ไป และเห็นเรือลำใหญ่อยู่ตรงนั้น ผมจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเอดินสันในวัย 11 ขวบ เคยบอกกับผมว่า พ่อ วันหนึ่งผมจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ซื้อรถคันใหม่ให้พ่อ และซื้อเรือลำใหญ่ ๆ แบบนั้นด้วย ซึ่งเป็นฝันที่เกินตัวเขามาก แต่มาถึงวันนี้ ผมมีทั้งรถคันใหม่และเรือลำใหญ่แล้วจริง ๆ"
ฤดูร้อน ปี 2013 ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในลีกเอิงฝรั่งเศส ปาดหน้าเรอัล มาดริด, แมนเชสเตอร์ ซิตี และเชลซี คว้าตัวดาวยิงผมสลวยไปร่วมทัพด้วยการเจียดเงิน 64 ล้านยูโร (2,400 ล้านบาท) พร้อมมอบสัญญาให้ 5 ปี
ที่ถิ่นปาร์กเดแพร็งส์ คาวานีประสบความสำเร็จอย่างสูงทั้งในแง่ของชื่อเสียงเงินทองทั้ง ค่าเหนื่อยที่สูงถึง 200,000 ยูโรต่อสัปดาห์ (7.5 ล้านบาท) และมีรายได้จากการเป็นพรีเซนเตอร์รวมถึงความสำเร็จในแง่ของจำนวนประตูและถ้วยรางวัล เขาถลุงไป 200 ประตู จาก 301 เกม ได้แชมป์ลีกเอิง 6 สมัย, เฟร้นช์ คัพ 5 สมัย และ เฟร้นช์ ลีก คัพ 6 สมัย, ได้รางวัลดาวซัลโวลีกเอิง 2 ฤดูกาล รวมเบ็ดเสร็จยิงไปทะลุ 400 ประตูในชีวิตนักเตะอาชีพ หากนับรวมประตูในทีมชาติด้วย
คาวานี่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ต้นแบบของกองหน้าแบบสมัยใหม่ ที่เล่นได้หลากหลายทั้งการยืนเป็นตัวเป้า หรือ ด้านริมเส้น
รูปร่างไม่ได้หนามากนัก แต่สามารถโขกบอลได้ดี มีสัมผัสแรกที่นุ่มนวล เปิดให้เพื่อนทำประตูได้ ยิงประตูได้ทั้งจากนอกเขต และในเขตโทษ
ศูนย์หน้าจอมเก๋าแย้มเคล็ดลับของการเป็นสุดยอดดาวยิงว่า เป็นเรื่องของ "วุฒิภาวะ" และ"การอยู่ถูกที่ถูกเวลา"
"ผมคิดเสมอว่า ในทุกแง่มุมของการใช้ชีวิตนั้น วุฒิภาวะเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เหมือนเป็นทางลัดให้กับชีวิต เช่นกันในการเล่นฟุตบอล เมื่อคุณมีวุฒิภาวะ และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในด้านประสบการณ์ ความมั่นใจ นั่นหมายความว่า ทุกปีที่ผ่านไป ตัวคุณจะเติบโตขึ้น ดังนั้นผมคิดว่า ประสบการณ์นั้นสำคัญมาก ๆ"
"ปัจจุบันมีนักเตะพรสวรรค์มากมาย แต่คุณต้องเล่นให้สม่ำเสมอด้วย ไม่ใช่เพียงการเล่นดีเพียงแค่ 2-3 นัด ซึ่งความสม่ำเสมอนั้นเกิดขึ้นได้จากความมีวินัยในตัวเอง"
ส่วนการเป็นดาวยิงที่ยืนตำแหน่งถูกที่ถูกเวลานั้น แข้งจอมเก๋าวัย 34 ปีที่ผ่านร้อนหนาวมาครบแล้ว ให้ความเห็นว่า มีกองหน้าจำนวนมากที่ยิงประตูโดยไม่ต้องเคลื่อนที่มากนัก
"บอลมาถึงเขา และก็ปิดบัญชีเข้าไป แต่ว่าคุณจำเป็นต้องมีเซนส์และการคาดการณ์ที่ดีด้วยนะว่า ลูกบอลจะมาจากทิศทางใด และจะตกลงตรงจุดใด ข้างหน้า หรือ ข้างหลัง ซึ่งตัวผมเอง ทำงานหนักมากกับเรื่องการคาดการณ์ทิศทางของบอลและการเล่นด้วยสัญชาตญาณ โดยการมองเพื่อนร่วมทีมว่า ส่งบอลไปทางไหน และมองกองหลังว่า วิ่งแบบใด เพื่อมองหาจุดที่เราจะได้เปรียบที่สุดในการจบสกอร์"
เนื่องจากปัญหาบาดเจ็บในช่วง 2 ซีซันหลังกับเปแอสเช ทำให้เขามีโอกาสลงสนามไม่มากนัก และตกเป็นตัวสำรอง ก่อนจะถูกปล่อยจากทีมในช่วงโควิด-19 ระบาดเมื่อปี 2020 และเซ็นสัญญาระยะสั้น 1 ปี แบบไม่มีค่าตัวกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเดือนตุลาคม ท่ามกลางข้อกังขาในฝีเท้าว่ายังเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะในยามนั้นวัยล่วงเลยมาถึง 33 ปีแล้ว ประกอบกับมีอาการบาดเจ็บมาต่อเนื่อง แต่ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ผู้จัดการทีมปีศาจแดง ก็ยังเชื่อมั่นในความสามารถ และประสบการณ์
"เขามีพลังงานที่เหลือล้น มีความเป็นผู้นำ มีจิตใจที่แข็งแกร่ง และสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เขาจะนำมาซึ่งประตูให้กับทีม เป็นโอกาสดีที่นักเตะวัยรุ่นของเรา จะได้เรียนรู้จากหนึ่งในยอดกองหน้าที่ดีที่สุดของยุโรปในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา"
แรกเริ่มกับการค้าแข้งในอังกฤษ คาวานียังต้องใช้เวลาปรับตัว และเรียกความฟิตอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปนั่งในหัวใจ "เร้ดอาร์มี" ได้ในเกมพรีเมียร์ลีกกับเซาธ์แฮมป์ตันเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน วันนั้น ทีมนักบุญออกนำไปก่อนถึง 2-0 ก่อนที่ดาวยิงอุรุกวัยจะถูกเปลี่ยนตัวลงมา และสาธิตให้เห็นถึงความไวในการดมกลิ่นและพุ่งเข้าหาบอลอย่างถูกที่ถูกเวลา ทำคนเดียว 2 ประตูพาปีศาจแดงแซงชนะนักบุญ 3-2 ในวันนั้น
นับตั้งแต่วันนั้น คาวานีกลายเป็นกำลังสำคัญของทีมเรื่อยมา และโชว์ให้เห็นถึง "คลาส" อันเหนือชั้นอีกครั้งในเกมสำคัญกับโรมา ในศึกยูโรป้าลีก รอบรองชนะเลิศ นัดแรก ที่ปีศาจแดงถล่มหมาป่าเละ 6-2 พลธนูจอมซัลโวยิง 2 และแอสซิสต์อีก 3 มีส่วนกับ 5 ประตูของผีแดง โดยเฉพาะประตูสุดท้ายที่แอสซิสต์ไซด์ก้อยให้กับ เมสัน กรีนวูด ได้รับคำยกย่องเป็นอย่างมาก
ส่วนเกมนัดที่ 2 กับโรม่า เขาทำคนเดียว 2 ประตู โดยเฉพาะประตูที่ 2 ที่วิ่งโฉบมาโขกลูกเปิดของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ส่งตั๋วให้ปีศาจแดงเข้าชิงยูโรป้าลีก
ทั้งยังยิงประตูสุดท้ายตอกฝาโลงในนัดที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกมามีชัยเหนือแอสตัน วิลล่า 3-1 (9 พ.ค. 2021) ด้วยเซนส์ของนักล่าประตู เพื่อต่อลมหายใจในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2020/2021 นี้
ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์ถึงความเป็นสุดยอดนายพรานนักล่าของเขาอีกแล้ว แต่ใครจะเชื่อว่า สัญชาตญาณนักล่าของคาวานีนั้น ไม่เพียงแค่อยู่ในการแข่งขันฟุตบอลที่ไล่ล่าถ้วยแชมป์และประตูเท่านั้น แต่ "หลุยส์" พ่อของคาวานี ย้อนความทรงจำว่า ตั้งแต่สมัยเด็ก เขาและเอดินสันจะพกปืนไรเฟิลไปออกล่าสัตว์ในป่า ทั้งหมูป่าและกระต่าย เอดินสันยิงปืนได้แม่นพอ ๆ กับยิงบอลเข้าตาข่าย"
"เราออกล่ากันเสมอ เราทั้งคู่ชอบใช้เวลาในการตกปลา และล่าสัตว์ เอดิ ไม่เคยหยุดล่าทั้งในป่าและในแม่น้ำ เขาบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันช่วยให้เขาใจเย็น"
"เอดิสัน ชอบหัวหมูมากที่สุด"
เรื่อง: My name is
ภาพ: NurPhoto / Gettyimages
ที่มา