บทบรรณาธิการ #4 เป็นดารามันเหนื่อย ใน “บันเทิงเชิงร้าย”

บทบรรณาธิการ #4 เป็นดารามันเหนื่อย ใน “บันเทิงเชิงร้าย”

บทบรรณาธิการ #4 เป็นดารามันเหนื่อย ใน “บันเทิงเชิงร้าย”

พูดถึงดาราเขียนหนังสือ ถ้าถามว่าตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา คนที่เราตามอ่านเพราะผลิตผลงานอย่างสม่ำเสมอ นั่นก็คือ ทราย-อินทิรา เจริญปุระ ในสมัยที่การอ่านมติชน สุดสัปดาห์ ถือเป็นความ Hype ของเด็กรัฐศาสตร์ ที่ธรรมศาสตร์ ในช่วงวันศุกร์ ต้องมีเพื่อนฝูงสักคนเดินถือนิตยสารหัวนี้เดินเข้ามาที่คณะซึ่งอยู่ทางฝั่งท่าพระอาทิตย์ แล้วแบ่งปันกันอ่านบ้าง สัปดาห์ไหนมีตังค์ก็ซื้ออ่านเองบ้าง สัปดาห์ไหนไม่มีใครซื้อ ก็ขึ้นไปอ่านที่ห้องสมุดคณะบ้าง จะมีหรือไม่มีในมือ ต้องหามาอ่านให้จงได้-ติดกันเบอร์นั้น ท่ามกลางคอลัมนิสต์คนโปรดมากมายในนิตยสาร (ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเลือกทำงานสื่อที่แรกกับค่ายมติชน เพราะอยากใกล้ชิดกับนักคิดนักเขียนที่เราชอบ) ที่แม้จะเน้นหนักไปทางวิเคราะห์การเมือง แต่คอลัมน์ “รักคนอ่าน” ของทราย เจริญปุระ ที่เธอแนะนำหนังสือที่เธออ่านโดยเล่าประกอบเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของเธอ ถือเป็นของที่ขาดไม่ได้ ถ้าเป็นอาหาร ก็คงเป็นของหวานนุ่มๆ ที่เอามาทานล้างปากให้สบายใจหลังจากที่ผ่านเมนคอร์สอันหนักหน่วงของคอลัมน์การเมือง และเศรษฐกิจในเล่ม ให้รู้สึกว่า ชีวิตยังมีมุมงดงามอื่นให้ติดตาม จากสื่อกระดาษ ความ Hype มันย้ายมาอยู่ออนไลน์ คนอ่านก็ตามมาอ่านงานบนโลกออนไลน์ ไม่ได้หนีหายไปไหน แต่โตมาด้วยกัน เราเลยได้ตามอ่าน คอลัมน์ “บันเทิงเชิงร้าย” ของเธอในเว็บไซต์ thematter.co เพิ่มขึ้นอีกทาง   ...   ยอมรับอย่างหนึ่งว่า นอกจากเรื่องความเจนจัดในการใช้ภาษาที่ดู “พลิ้ว” มากขึ้นแบบคนเขียน คนอ่านโตไปด้วยกัน ทราย เจริญปุระ เธอเก่งมากในเรื่องสร้อยภาษาที่เขียนประโยคสักอย่างให้เรา (ผมคนหนึ่งล่ะ) จดจำติดหัวมา อย่าง ตอนปรากฏการณ์ BNK48 ในหนัง Girls Don’t Cry สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ติดหูติดปากจากปรากฏการณ์นี้ก็คือ ประโยคที่ทรายเขียนถึงหนังประมาณว่า “อยากจะเดินไปหวีผม แล้วบอกอะไรสักอย่างกับพวกเธอ” แค่ประโยคนี้มันก็ทำให้เราเก๊ตถึงความรู้สึกแล้วว่า น้องๆ พวกเอ็งเหนื่อย พวกเอ็งท้อกับวงการบันเทิงใช่ไหม มานี่-ในฐานะที่พี่อยู่วงการบันเทิงมาก่อน โตมากับการกินข้าวกองถ่ายมาก่อน พี่จะเล่าให้เอ็งฟัง น่าเสียดายว่า ตอนนี้ผมไว้ทรงสกินเฮด พออ่าน “บันเทิงเชิงร้าย” จบแล้ว อยากให้แกมาหวีผม แล้วบอกอะไรสักอย่างให้ฟังบ้าง แต่มันคงจะออกแนวหัวล้านได้หวีแน่นอน (ฮา)   ...   “บันเทิงเชิงร้าย” (สำนักพิมพ์ Bunbooks) เป็นหนังสือที่อ่านเพลิน ผมชอบมาก อ่านรวดเดียวจบ (ถึงตรงนี้ที่เขียนไปยังไม่ได้เงินโฆษณาอะไรนะครับ เขียนเพราะชอบจริงๆ) ตอนลงบทความใน The Matter ผมอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง แต่พอมาอ่านรวมเล่ม แล้วเห็นภาพรวมของวงการบันเทิงและตัวตนของความเป็น “คนกอง” ที่อยู่กับกองถ่ายหนังในแง่มุม “คนใน” มากๆ มองเผินๆ หนังสือเล่มนี้มันดูเหมือนรวมบทความเมาธ์มอยหยิกกัดแกมเอ็นดูวงการบันเทิง ตั้งแต่เรื่อง บรรยากาศกองถ่าย ช่างแต่งหน้า ข้าวกองถ่าย ไปจนถึงที่ฉี่ที่เยี่ยว ด้วยภาษาแบบทราย เจริญปุระ ที่คนคุ้นเคยเธอผ่านหน้าจอ จะนึกภาพออกเลยว่าเธอจะพูดอะไรออกมาด้วยน้ำเสียงยังไง ซึ่งผมชอบความ bitch ที่ดูจริงใจของเธอตรงนี้มาก ๆ อย่างเช่นตอนพูดถึงรายการเยี่ยมบ้านดารา “...พอใกล้ถึงเวลานัดก็ใส่ชุดอยู่บ้านเดินมาจากห้องนอน คำว่าชุดอยู่บ้านของฉันหมายถึงชุดอยู่บ้านจริงๆ ใส่เสื้อนุ่มกับกางเกงเน่า แม่เห็นแล้วถึงกับขอให้ขึ้นไปเปลี่ยน เพื่อลดความ ‘จริง’ ลงบ้าง พอเปลี่ยนเสร็จเดินลงมา ก็โดนทีมงานขอให้ไปเปลี่ยนอีกรอบ เพราะสีผิดไปจากสีหลักของสปอนเซอร์ ไม่บอกก่อน คราวหน้ากูจะใส่สีรุ้งให้รู้แล้วรู้รอด”   ...   ที่บอกว่าเผิน ๆ เหมือนกับเป็นเรื่องเมาธ์มอยวงการบันเทิง เพราะพออ่านภาพรวมของเล่ม มีความเป็นอัตชีวประวัติของพี่ทรายกับงานที่แกทำมาทั้งชีวิตชัดเจนมาก ตั้งแต่เป็นเด็กที่โตในกองถ่าย เริ่มเล่นละครเรื่อง “ล่า” จนมาสู้การเป็น “เลอขิ่น” ในหนังตำนานพระนเรศวรอยู่หลายปี แม้ว่าสำนวนการเล่าเรื่องตัวเองจะมีทั้งวีนแตก รื่นรมย์กับเรื่องริมทาง (เช่นเรื่องช่างไฟกับตำมะยมที่หาได้ข้างทาง) ไปจนถึงเรื่องชวนเศร้าที่เล่าอย่างธรรมดาที่สุดอย่างเรื่องคุณพ่อกับความจริงจังในการทำงานในกองถ่าย แต่ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้เราได้เห็นชีวิตคนทำงานคนหนึ่งที่งดงามมาก มันไม่ได้งดงามเพราะทำงานที่รัก แต่งดงามเพราะการเล่าเรื่องเพื่อที่จะบอกว่า ทั้งชีวิตอยู่กับมัน โลกความจริงมันไม่ใช่ฮันนีมูนพีเรียด มันมีความดีความร้าย แต่เธอดีลและคิดว่าอยู่กับมันได้ มันก็เหมือนกับชีวิตคนทั่วไป เราอาจจะไม่ได้รักงานมากขนาดนั้น เจอส่วนไม่ดีเราก็บ่น เจอความสำเร็จเราก็เก็บไว้ขิงกันบ้าง บางวันอารมณ์เสีย ก็มีออกอารมณ์กับเพื่อนร่วมทีม พอได้สติก็ขอโทษขอโพยแล้วทำงานด้วยกันต่อไป รวมๆ คือเราต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะมันคือชีวิตของเรา นี่สิ...มืออาชีพ   ...   บทที่พูดถึงเรื่องนี้ได้ดีที่สุดก็คงเป็นตอนที่ทรายแสดงเป็น “เลอขิ่น” กับเรื่องการเตรียมตัวเป็นปีๆ เพื่อฝึกคิวบู๊ และความสัมพันธ์กับซีซี ม้าที่แสดงร่วมกับเธอ น้ำเสียงเธอเล่านี่หลายอารมณ์มาก โดยเฉพาะฉากขี่ม้าผ่านเอฟเฟกต์ในหนัง คือมันมีทั้งอารมณ์หวาดหวั่น ไปจนถึงอารมณ์แบบมันจะได้ดั่งใจไหมวะ แต่ก็ต้องทำ จนผ่านไปด้วยกันได้ในที่สุด ตอนท้ายเธอบอกว่า... “ฉันตะกายลงจากหลังซีซี ซีซีมองฉันอย่างอ่อนโยน แล้วเราก็ถอนหายใจพรืดยาวออกมาพร้อมกัน” ชีวิตของเราแต่ละคน คงมี “ม้า” ที่เราควบตะบึงไปข้างหน้าที่แตกต่างกันนั่นล่ะ แม้บางอารมณ์เราจะเซ็งม้าในใจของเราเองบ้าง แต่ถึงเวลาควบม้าผ่านอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว... เราว่าเราคิดแบบทรายนี่ล่ะ