27 ก.พ. 2566 | 11:48 น.
“ออโต้แบคส์” ศูนย์บริการรถยนต์ครบวงจรอันดับ 1 จากญี่ปุ่น ได้เริ่มเปิดดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2543 เป็นที่รู้จักของคนไทยตั้งแต่ประมาณ 20 ปีที่แล้ว โดยถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในปี 2560 เมื่อ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เข้าไปซื้อหุ้น บริษัท สยามออโต้แบคส์ จำกัด ในสัดส่วน 38.26% และล่าสุดในปี 2563 ที่ผ่านมา ก็ซื้อหุ้นเพิ่มรวมเป็น 76.52% ทำให้ พีทีจี สามารถกำหนดแนวทางการดำเนินธุรกิจของออโต้แบคส์ได้สะดวกขึ้น
นายรังสรรค์ พวงปราง ประธานกรรมการ บริษัท สยามออโต้แบคส์ จำกัด และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า ภายหลังจากการเข้าซื้อหุ้น ศูนย์บริการรถยนต์ออโต้แบคส์ แล้วนั้น ส่งผลให้บริษัท สยามออโต้แบคส์ จำกัด เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการขยายศูนย์บริการในประเทศไทย โดยบริษัทฯ มุ่งหวังที่จะเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ non - oil ให้เพิ่มสูงขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม จากการที่ในอดีตได้เกิดแบรนด์คู่แข่งมากขึ้น ออโต้แบคส์ ได้กำหนดทิศทางที่ชัดเจนโดยเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ให้รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ พร้อมหาสาเหตุของปัญหา และแนวทางการแก้ไข ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ได้รับการยอมรับ และไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาว โดยการซ่อมบำรุงช่วงล่างต่าง ๆ จะใช้เวลาไม่เกิน 3 - 4 ชั่วโมง ซึ่งออโตแบคส์จะเสนอแพ็คเกจดูแลรถยนต์รายปี ช่วยให้ลูกค้าควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี
สำหรับออโต้แบคส์ ถือเป็นธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์ในรูปแบบโมเดิร์นที่ให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐานในการให้บริการของพนักงานทั้งในงานช่าง และงานบริการ โดยมีการตรวจประเมินจากทีมงาน ออโต้แบคส์ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประจำทุกปี อีกทั้งยังมีการจัดการอบรมต่าง ๆ ให้พนักงานของเรามีเชี่ยวชาญในเรื่องรถยนต์ เพื่อส่งต่อความปลอดภัยด้วยมาตรฐานที่ไว้ใจได้ ให้ผู้บริโภคมั่นใจในคุณภาพ และมาตรฐาน
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่สำหรับรถ ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ รวมถึงสภาพสิ่งแวดล้อม ถือเป็นหัวใจสำคัญของออโต้แบคส์ ซึ่งประเทศญี่ปุ่นก็ยึดถือแนวคิดนี้เช่นกันคือ ไม่ได้มองว่าเราเป็นธุรกิจรถยนต์ แต่มองว่าเป็นธุรกิจค้าปลีก และเมื่อเป็นค้าปลีกก็จำเป็นจะต้องทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย ด้วยการเพิ่มเครือข่ายให้แพร่หลายมากขึ้น และเมื่อมีสาขามากขึ้น ครอบคลุมพื้นที่บริการมากขึ้น และหัวใจหลักของธุรกิจคือ การบริการก็จะถูกยกระดับให้มากขึ้นหลังจากนี้ ทั้งเรื่องคุณภาพ และความหลากหลายของทั้งการบริการ และสินค้า
“ออโต้แบคส์ ยังคงมุ่งมั่นที่จะสรรหาสินค้า และบริการที่เป็นมิตร เพื่อตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นสินค้า และบริการที่เกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยพยายามจะเลือกเฟ้นสิ่งที่ดีที่สุด ในราคาที่เหมาะสม เพื่อนำเสนอให้ลูกค้าได้มีทางเลือกในการรับบริการที่มากขึ้น”
สำหรับผลดำเนินการปี 2565 ที่ผ่านมา จากการขยายสาขาทั่วประเทศ 47 สาขา ส่งผลให้ยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 94% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยมีรายได้ปี 2565 กว่า 300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ วางแผนขยายสาขาให้ครบ 100 สาขา ในปี 2566 และตั้งเป้ารายได้รวมที่ 700 ล้านบาท และวางแผนเปิดให้บริการกว่า 200 สาขา ทั่วประเทศภายในปี 2568 แล้วขยายเป็น 350 สาขาทั่วประเทศในปี 2570 และส่งผลให้ขึ้นสู่ผู้ให้บริการอันดับ 1 ในธุรกิจ Fast - Fit ทันที
ขณะที่ส่วนตลาดรวมอยู่ที่ปีละ 35,000 ล้านบาท โดยเบอร์ 1 ขณะนี้มียอดขายปีละราว 8,000 ล้านบาท ซึ่งเราเชื่อว่าจากความตั้งใจให้บริการลูกค้า และขยายสาขาเพิ่มจะทำให้อีก 4 ปี เราจะขึ้นแท่นเป็นเบอร์ 1 และมีรายได้เกินเบอร์ 1 ที่ทำได้ในตอนนี้
“แต่ละศูนย์บริการมีพนักงานดูแล 6-7 คนโดยปริมาณ ซึ่งก่อนจะรับเข้าประจำศูนย์บริการจะมีการฝึกอบรม 1 เดือน เพื่อเพิ่มความชำนาญในการให้บริการมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เราจะรับคนที่มีประสบการณ์ในการทำงาน รวมถึงร่วมมือ กับสถาบันการศึกษารับฝึกงานให้กับเด็กสายช่างโดยตรง ซึ่งปกติแล้วการเปลี่ยนยางปกติจะต้องเปลี่ยนในระยะ 3-4 หมื่นกิโลเมตร และไม่ควรถึง 3 ปี”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสถานการณ์วิกฤตโควิดที่ผ่านมา และราคาพลังงานที่ผันผวนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้งานรถยนต์ในประเทศ ปีที่ผ่านมา การใช้บริการได้กลับมาในระดับปกติ และยอดซื้อรถมากขึ้น ออโต้แบคส์ยังมั่นใจว่าจะยังคงเติบโตได้อีก และด้วยวิชั่นของพีทีจี ตั้งเป้าขึ้นเบอร์ 1 ในตลาดของทุกธุรกิจที่ทำ จากการที่เป็นแบรนด์แข็งแกร่งในตลาด
“ภายใน 2 ปีนี้ ออโตเแบคส์มีแผนเตรียมระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะด้วยศักยภาพเราไม่ยาก ด้วยบริการที่มีมาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค และราคาที่ต้องจับต้องได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญตอนนี้คือ ให้ข้อมูลลูกค้า และชักจูงให้เข้ามาเป็นสมาชิกในกลุ่มธุรกิจเรา”
ทั้งนี้ปัจจุบัน พีทีจี เอ็นเนอยี มีสมาชิกที่ใช้บริการผ่านบัตรสมาชิก “PT Max Card Plus” ราว 2 แสนคน จากสถิติมีการใช้งานสม่ำเสมอแอคทีฟกว่า 90% โดยตั้งเป้าสิ้นปีมีสมาชิกกว่า 1 ล้านราย โดยส่วนใหญ่เป็นการโอนจากสมาชิก PT Max Card ที่ปัจจุบันมีสมาชิกราว 19 ล้านราย ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับ อาทิ ส่วนลดในการซื้อสินค้าบริการมากถึง 60% ขณะที่ยางรถยนต์รับสิทธิประโยชน์ซื้อ 3 แถม 1 ทุกยี่ห้อ
นอกจากนี้ ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ บัตรชมภาพยนตร์ 2 ที่นั่ง ส่วนลดราคาน้ำมัน 50 สตางค์/ลิตร (200 ลิตรต่อเดือน) ส่วนลดกาแฟ 50% ที่ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และ Coffee World (10 แก้วต่อเดือน) ฟรีค่าบริการจัดส่งน้ำมันฉุกเฉินจากบริการ Max Service 1 ครั้งต่อรอบอายุบัตร สิทธิ์ส่วนลด 60% ในการซื้อน้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้ 100% กับน้ำมันเครื่อง Maxnitron
ในขณะที่สมาชิกของ PT Max Card จะได้รับสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ใน 4 รูปแบบ ได้แก่