24 มี.ค. 2567 | 19:34 น.
บุษบา วงศ์นภาไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และรัฐกิจประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด (เป๊ปซี่โค ประเทศไทย) กล่าวว่าในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ‘เลย์’ มันฝรั่งทอดกรอบยอดนิยมของไทย ทำให้บริษัทให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตควบคู่กับแนวคิดในการสร้างความยั่งยืนเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการมีธรรมาภิบาลหรือ ESG (Environmental, Social and Governance) เพื่อตอบสนองเทรนด์ของผู้บริโภค และสร้างผลลัพธ์ที่ดีต่อโลก
โดยกลยุทธ์ pep+ ที่บริษัทฯ ดำเนินการมาเป็นระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี 2564 ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และเป็นกุญแจสำคัญที่ส่งเสริมให้เกษตรกรที่เพาะปลูกมันฝรั่งประสบความสำเร็จในหลายมติ ทั้งการเพิ่มความสามารถ แนวทางการปฏิบัติที่ดีด้านการเกษตร ตลอดจนการพลิกโฉมการเกษตรไปสู่ความยั่งยืน ถือเป็นการสร้างแนวทางใหม่ในการขับเคลื่อนธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกให้กับผู้คนและโลกผ่านผลิตภัณฑ์อาหาร อย่างแบรนด์เลย์
ขณะเดียวกันเป๊ปซี่โค ประเทศไทยยังส่งเสริมศักยภาพ และเพิ่มผลผลิตด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อช่วยให้เกษตรกรนำแนวทางปฏิบัติด้านการเกษตรแบบยั่งยืนมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดการนำเข้า โดยได้เพิ่มผลผลิตจาก 2 ตันต่อไร่ เป็น 3.0-3.2 ตันต่อไร่ และมีเป้าหมายที่จะเพิ่มเป็น 5 ตันต่อไร่ ภายใน 5 ปี ซึ่งประสบความสำเร็จแล้วในฟาร์มต้นแบบ
รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีดิจิทัล Agro Drone Scout หรือการใช้โดรนเพื่อประเมินโรคและตรวจสอบสภาพโดยทั่วไปของพื้นที่ปลูกมันฝรั่ง และ ListenField หรือการใช้เทคโนโลยีอินฟราเรดเพื่อตรวจสอบสภาพดิน การติดตั้งระบบชลประทานน้ำหยด และจัดการปัญหาศัตรูพืชและให้สารอาหารแก่พืชแบบผสมผสาน รวมไปถึงการสนับสนุนให้มีการให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน โดยร่วมมือกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ในการเสนอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับเกษตรกรที่สนใจการใช้ระบบน้ำหยดในการเพาะปลูก รวมถึงความร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตรเพื่อพัฒนาสายพันธุ์ท้องถิ่นสำหรับภูมิอากาศเขตร้อน เป็นต้น ซึ่งสามารถสร้างผลผลิตมันฝรั่งได้รวมกว่า 100,000 ตัน ต่อปี ส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้มากกว่า 1,500 ล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมไปถึงความเสี่ยงในการเกิดโรคพืชและแมลงศัตรูที่เพิ่มขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อการปลูกมันฝรั่งเป็นอย่างยิ่ง เป๊ปซี่โค ประเทศไทย จึงได้เดินหน้าเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว โดยได้ทำงานร่วมกับ จีไอแซด (GIZ) และหน่วยงานของไทย อาทิ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมการข้าว ผ่านโครงการการจัดการห่วงโซ่อุปทานข้าวและมันฝรั่งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศด้วยวิธีการปลูกข้าวมันฝรั่งและข้าวโพดหมุนเวียนอย่างยั่งยืน (Building a Climate Resilient Potato Supply Chain through a Whole-Farm Approach หรือ RePSC) เพื่อเสริมทักษะให้เกษตรกรไทยสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเรียนรู้แนวทางการจัดการพื้นที่เกษตรฟื้นฟูอย่างเป็นระบบ
ยกตัวอย่างเช่น การปรับปรุงดินและการให้ความรู้เรื่องศัตรูพืชและโรคคุณภาพของที่ดิน เพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน ปรับความเป็นกรด-ด่างของดิน การใช้ชีวภัณฑ์ในการควบคุมโรคทางดิน ระบบชลประทานที่มีประสิทธิภาพ ระบบน้ำหยด และระบบให้น้ำตามร่องแบบสลับ การเพิ่มศักยภาพของเกษตรกรและเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเกษตรกรหญิง รวมทั้งสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อเพิ่มรายได้ครัวเรือนและยังช่วยเสริมทักษะการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ