20 มี.ค. 2567 | 12:00 น.
ถือว่าเป็นหนึ่งในนักข่าวรุ่นใหม่ที่พร้อมทำหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน และพิสูจน์แล้วว่าผลงานของเธอในการทำหน้าที่โดดเด่นไม่แพ้ใครด้วยแพสชัน ช่วยเหลือคน สำหรับ น้องหยก-เพ็ญสิริ เอกพัฒนกุล ผู้สื่อข่าวภาคสนามจากรายการ ลุยชนข่าว ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่พูดถึงว่า เป็นหนึ่งในนักข่าวที่ประชาชนต่างรักหมดใจ หลังตามสืบคดีดังของเน็ตไอดอลสาวชาวเมียนมาหายตัวไปจนพบศพคนแรก แถมยังถูกเพจดังมากมายยกย่องให้เธอเป็น 1 ใน 3 นักข่าวทหารเสือของ “พุทธ อภิวรรณ” แต่หลายคนคงยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วน้องหยก เพิ่งเริ่มต้นเข้ามาทำงาน และเป็นน้องใหม่ของสายงานนักข่าวภาคสนามข่าวอาชญากรรมเพียงแค่ 8 เดือนเศษหลังจบการศึกษาปริญญาตรี
มาทำความรู้จักกันให้มากขึ้น หยก หรือ นางสาวเพ็ญสิริ เอกพัฒนกุล อายุ 23 ปี เกิดวันที่ 11 พฤศจิกายน 2543 จังหวัดภูเก็ต ไอจี mheeyokz เฟซบุ๊ก Yok Phensiri จบการศึกษาปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตสงขลา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ วิชาเอกนิเทศศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับ 1 เกรดเฉลี่ย 3.90 ความฝันในวัยเด็กในช่วงที่กำลังศึกษาอยู่ปริญญาตรีชั้นปีที่ 4 หยกชื่นชอบวิชาการเขียนและการรายงานข่าวเป็นอย่างมาก แต่ยอมรับว่าในตอนนั้นหยกรู้แค่ว่าตัวเองชอบ จนกระทั่งเรียนจบ หยกรู้สึกว่าตัวเองอยากทำงานด้านสายข่าว และอยากลองเปิดประสบการณ์ที่ติดอยู่ในใจว่าแท้จริงตัวเองชอบเป็นนักข่าว และเขียนข่าวหรือไม่ จนได้ตัดสินใจสมัครงานกับข่าวช่อง 8
จากผลการเรียนสะดุดตา จนถูกเรียกสัมภาษณ์งาน “หลังจากสมัครงาน หยกก็ถูกเรียกสัมภาษณ์งาน ผ่านช่องทางออนไลน์ หยกก็คิดในใจว่า คุณพุทธ และคุณไอซ์ สารวัตร จะรับเข้าทำงานหรือเปล่า เพราะด้วยความที่หยกเป็นเด็กจบใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงาน ไม่เคยลงสนามข่าวของจริง แต่ท้ายที่สุดหยกก็ได้รับโอกาสจากช่อง 8 ทำให้หยกต้องย้ายจากจังหวัดภูเก็ต เข้ามาอยู่ในจังหวัดกรุงเทพฯ ด้วยบทบาท ผู้สื่อข่าวภาคสนามช่อง 8 เต็มตัว โดยไม่ได้ถูกจำกัดว่าเรายังไม่มีประสบการณ์ แต่มองด้วยความรู้สึกว่าเราพร้อมที่จะเรียนรู้ และตั้งใจจริง ความรู้สึกที่ได้ทำงานในวันแรก หยกยอมรับว่าตัวเองยังขาดอะไรหลาย ๆ อย่าง เหมือนกับว่าเรายังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าสิ่งที่กำลังทำคืออะไร
ซึ่งทุกครั้งที่หยกรู้สึกแบบนั้น รุ่นพี่ในทีมทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือช่างภาพก็จะให้คำแนะนำกลับมา โดยเฉพาะคุณพุทธ อภิวรรณ และคุณไอซ์ สารวัตร ที่จะคอยให้ข้อคิด แนวทางการทำงาน และอธิบายการเป็นนักข่าวให้หยกได้เข้าใจ แบบไม่ชี้นำ ด้วย 2 ประโยคว่า “ทำทุกอย่างจนกว่าจะสิ้นข้อสงสัย” และ “ให้เราทำงานเหมือนกับเราเป็นญาติของแหล่งข่าว” และเราจะได้มุมมองที่แตกต่างในการทำข่าว”
คำตอบที่เคยตั้งคำถามในใจ สุดท้ายก็ถูกไขจนกระจ่าง “หลังจากได้ทำหน้าที่นักข่าวช่อง 8 มาเป็นเวลา 8 เดือน หยกก็ได้รู้คำตอบที่ติดค้างตั้งแต่ตอนเรียนแล้วว่าทำไมถึงชอบการทำข่าว คำตอบคือ “การช่วยเหลือ” โดยคำนี้จะเป็นแพสชันการทำงานของหยกมาตลอด ซึ่งได้มาหลังจากการทำข่าวคดีคนหายออกจากบ้าน ในจังหวัดนครราชสีมา (ฝรั่งชื่อโรแลนฆาตกรรมภรรยาชาวไทย) ตอนแรกที่หยกได้เข้าไปพูดคุยกับครอบครัวของผู้สูญหาย
แววตาทุกคนดูหมดหวัง จนในวันที่เจอร่างของผู้สูญหาย แววตาของทุกคนได้เปลี่ยนไปกลายเป็นความโล่งใจปนความเศร้าโศก และคนในครอบครัวของเขาก็เข้ามากอดพร้อมกับพูดว่า ขอบคุณนะที่มาช่วย ขอบคุณที่ไม่ทอดทิ้ง ซึ่งคำสั้นๆ ที่มาจากใจ เป็นประโยคที่หยกยังจำจนมาถึงทุกวันนี้ และได้ตระหนัก พร้อมแพสชันในใจว่าการทำงานเป็นนักข่าวคือเราได้ “ช่วยเหลือคน” เราสามารถเป็นกระบอกเสียงแทนชาวบ้านได้ ทำให้หยกตั้งปณิธานตั้งแต่นั้นมาว่า ทุกคนคือครอบครัว เหมือนที่คุณไอซ์ สารวัตรเคยบอก”
เพราะทุกคดี คือคนในครอบครัวทำให้มีแรงผลักดันในการทำงาน “พอมาถึงคดีดังของพี่สาชาวเมียนมาที่สูญหาย หลังจากที่ได้รับมอบหมายให้ตามสืบคดีนี้ หยกคิดเสมอระหว่างที่ตามหาความจริง เราจะช่วยเหลือพี่สาอย่างไร หากพี่สาคือคนในครอบครัว มันเลยทำให้หยกมีแรงผลักดันตามหาพี่สาจนเจอในที่สุด ซึ่งตอนปฏิบัติงาน หยกคิดเสมอว่าหากหยกเป็นน้องของพี่สา หยกจะทำอย่างไร หยกจะพิสูจน์ และตามหาพี่เจอได้ที่ไหนบ้าง ซึ่งหลังจากที่ได้เจอพี่สา ไม่ใช่แค่หยกที่รู้สึกเบาใจ แต่ยังมีครอบครัวของพี่สาอีกหลายสิบคนที่เขาก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน ซึ่งหยกภูมิใจมากค่ะ ที่ทีมลุยชนข่าวค้นหาร่างพี่สาจนเจอ”
ไขคดีดัง ได้ความอบอุ่นจากคนรอบข้าง “เมื่อสิ้นสุดหลังการค้นพบศพของพี่สา การตอบรับของคนรอบข้าง สิ่งแรกที่สัมผัสได้เลยคือครอบครัวของพี่สากับชาวบ้านในพื้นที่ หลายคนเดินเข้ามาแล้วพูด ขอบคุณที่มาช่วย ถึงแม้เป็นประโยคสั้น ๆ แต่เรากลับฟังแล้วรู้สึกตื้นตันใจ ด้านครอบครัวของหยกเองก็รู้สึกภาคภูมิใจที่หยกได้ช่วยเหลือผู้อื่นเหมือนกันค่ะ หลังจากที่ผ่านมาครอบครัวของหยกก็ไม่ได้สนับสนุน ให้ลูกไปทำงานไกลบ้าน เพราะว่าหยกเป็นผู้หญิง และต้องออกไปเจอคนมากหน้าหลายตา และเขาก็เป็นห่วงว่าเราอาจจะเจอฆาตกร หรือกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในพื้นที่ทำเราไปทำข่าว และดูแลตัวเองไม่ได้ โดยที่ผ่านมาครอบครัวก็รู้สึกเป็นห่วง และเคยตั้งคำถามกลับมาหลายครั้งว่า ทำไมต้องตามติด และลงลึกในแต่ละข่าว และในวันนี้หยกคิดว่าครอบครัวก็คงจะรู้คำตอบจากการทำงานในบทบาทนักข่าวภาคสนามสายอาชญากรรมของหยกแล้ว ซึ่งหยกภูมิใจกับความพยายาม และเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้นอีกด้วยค่ะ”
บุคคลสำคัญที่เป็นตัวอย่างในการทำงานของหยก คือ “พุทธ อภิวรรณ กับ สารวัตร กิจพานิช ทั้งสองคนเป็นต้นแบบของการทำงานสำหรับหยก ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่น ความตั้งใจ ความทุ่มเท และการใช้หัวใจในการทำงาน พร้อมเป็นครูในการเดินทางบนเส้นทางอาชีพนักข่าวของหยกอีกด้วย หยกรู้สึกขอบคุณที่มอบโอกาสให้เด็กจบใหม่คนนี้ได้เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานด้านข่าวของช่อง 8”
จุดเริ่มต้น และการสานฝันที่แท้จริง “ส่วนเส้นทางการทำงานหลังจากนี้ หยกมองว่าตัวเองก็ยังคงอยู่ในจุดของการเป็นนักข่าวเหมือนเดิม วันนี้หยกได้คำตอบแล้วว่าทำไมตัวเองถึงชื่นชอบในการทำข่าว เพราะการเดินบนเส้นทางของนักข่าวมันคือการทำงานเพื่อช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เป็นข่าวเอง และครอบครัวของเขา แต่หลังจากนี้หยกก็คงต้องพัฒนาตัวเองในอีกหลายด้าน แถมต้องเรียนรู้ประสบการณ์อีกมากมาย และหยกเชื่อว่า วันนี้มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เส้นทางสายอาชีพในฝันที่หยกจะต้องเดินต่อไปด้วยความมุ่งมานะ และความพยายามเพื่อตัวเราเอง และประชาชน สุดท้ายหยกขอขอบคุณผู้ชมทุกท่านที่ติดตามสนับสนุนข่าวช่อง 8 และรายการ ลุยชนข่าว มาโดยตลอด ทุกคำชื่นชม และคำแนะนำจะคอยเป็นเหมือนกำลังใจที่ดีในการทำงานของทีมข่าวทุกคนค่ะ”
และนี่คือจุดเริ่มต้น ที่มาของความสำเร็จ ของผู้หญิงที่ชื่อ หยก-เพ็ญสิริ เอกพัฒนกุล ผู้สื่อข่าวภาคสนามข่าวอาชญากรรมจากรายการ ลุยชนข่าว เรื่องราวทั้งหมดนี้อาจกลายเป็นแรงบันดาลใจ ความมุ่งมั่น ในการมองหาแพสชันของการทำงานให้กับเด็กจบใหม่ของใครหลายคน ที่มีใจรักในสายงานข่าว และกำลังมองหาอาชีพที่ใช่ เพราะการรักในสิ่งที่ทำจะสามารถเป็นกุญแจดอกสำคัญให้เข้าสู่เส้นชัยแห่งความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
แฟนๆสามารถติดตามรายการ “ลุยชนข่าว” ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 19.00 – 22.15 น. และวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 20.10 – 22.15 น. ห้ามพลาด เพราะ #ข่าวช่อง8ที่นี่ของจริง!