ประเทศในฝันจากมุมมอง ‘สุดารัตน์-พิธา-สุชัชวีร์’ และแนวคิดนำไทยสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

ประเทศในฝันจากมุมมอง ‘สุดารัตน์-พิธา-สุชัชวีร์’ และแนวคิดนำไทยสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ถกเรื่องการรับมือความเปลี่ยนแปลง แลกเปลี่ยนแนวคิดเพื่อนำประเทศไปสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า และมุมมองเรื่องประเทศในฝัน ในงานเสวนาซึ่งเป็นช่วงหนึ่งของงาน The People Awards 2023

ความท้าทายของคนยุคใหม่ในช่วงที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจ สังคม การเมือง เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนผ่านด้วยอัตราเร่งที่ไวกว่าที่คิด การปรับตัวเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อรับมือกับ ‘วันพรุ่งนี้’ ซึ่งจะมาพร้อมปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ล้วนกระทบต่อวิถีชีวิตผู้คน

The People ในฐานะสื่อออนไลน์ที่สื่อสารเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนแบบเจาะลึกทุกแง่มุม รวมถึงบทวิเคราะห์วิธีคิดของบุคคล ผู้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงสังคม จากอดีต ปัจจุบัน จนถึงอนาคต เราเชื่อมั่นในพลังของผู้คน นั่นจึงนำมาสู่งานมอบรางวัล The People Awards ซึ่งปีนี้ (2023) จัดภายใต้แนวคิด ‘People of Tomorrow’ มอบรางวัลแก่คนที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้วันพรุ่งนี้ของทุกคนดียิ่งขึ้น และเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจให้ผู้คนอยากเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมเปลี่ยนแปลงสังคม

งานประกาศรางวัลปี 2023 จัดขึ้นวันที่ 5 เมษายน 2023 เวลา 14:00-16:30 น. ที่คริสตัล บ็อกซ์ (Crystal Box) ชั้น 19 เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท (Gaysorn Urban Resort)

ในงานไม่เพียงมีประกาศรางวัล 10 คนสุดท้ายที่ได้รับรางวัล The People จัดเวทีเสวนาประเด็น ‘People of Tomorrow: โลกเปลี่ยน คนปรับ การเตรียมตัวเป็นผู้นำแห่งอนาคต’ ดำเนินรายการโดย วราวิทย์ ฉิมมณี ผู้ประกาศข่าวจาก Nation TV พูดคุยกับนักการเมืองแถวหน้าของไทยอย่าง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ผู้ก่อตั้ง และหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย, พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบายกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นว่า คนในวันพรุ่งนี้ต้องปรับตัวเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงอย่างไร

 

การรับมือความเปลี่ยนแปลง

คุณหญิงสุดารัตน์ แสดงความคิดเห็นว่า โลกยุคนี้เผชิญความท้าทายและความเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยเผชิญความท้าทายของโลกอย่างน้อย 5 ด้าน เป็นสิ่งที่คนต้องปรับตัวและไม่ใช่ปรับแบบตั้งรับแต่ต้องรุก เปลี่ยนวิกฤตมาเปลี่ยนให้เป็นโอกาส ความท้าทายของโลก 5 ด้าน ได้แก่ Climate Change, Geopolitics, Aging Society, Emerging Decease และ Technology Disruption

หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยมองว่า เรื่องที่ 5 (Technology Disruption) เราคุ้นชินมาระยะหนึ่งแล้ว ขณะที่โรคระบาด (Emerging Decease) ก็โดนมาเป็นระยะ สมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็เจอเรื่องซาร์ส และไข้หวัดนก 2 รอบ และต้องสู้ด้วยวิธีที่ถูกต้องให้จบเร็วที่สุด

สำหรับความท้าทายใหม่ที่อาจมองไม่เห็นแต่จะกระทบมากคือ Climate Change เอกชนไทยมีเวลาแค่อีก 2 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำเรื่องส่งออก ถ้ายังผลิตสินค้าที่มาจากโรงงานซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะเจอกำแพงภาษีที่ขณะนี้ต้นทุนผลิตสินค้าก็แพงอยู่แล้ว โดยเฉพาะค่าไฟ ขีดความสามารถในการแข่งขันจะแย่ลงมากจน SMEs อยู่ไม่ได้ ยิ่งเจอกำแพงภาษี 10-20 เปอร์เซ็นต์เพิ่มมาอีก

ในเรื่อง Aging Society คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า

“เราเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกในโลกที่มีสัดส่วนประชากรสูงวัยสูงที่สุด และโชคร้ายที่คนแก่ของไทย แก่ก่อนรวยเป็นส่วนใหญ่ ข้อมูลนี้ไม่ใช่ข่าวดี”

ส่วนเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) เราหนีไม่พ้นที่จะต้องเผชิญผลกระทบ แต่ขณะเดียวกัน ในขณะที่เรื่องวิกฤต เห็นโอกาสในการสร้างรายได้มหาศาลให้คนไทย

ประเทศในฝันจากมุมมอง ‘สุดารัตน์-พิธา-สุชัชวีร์’ และแนวคิดนำไทยสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

สำหรับพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เขากล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงว่า หากสรุปภายในบรรทัดเดียว ในฐานะที่เป็นส.ส. 4 ปี โลกาภิวัตน์กำลังกินไทย แต่ไทยไม่ได้กินโลกาภิวัตน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง PM 2.5 เรื่องทุนจีน ปัญหาเรื่องโรคระบาด

ปัญหาราคาปุ๋ยจากผลของเหตุการณ์ที่เกิดในยูเครนกำลังเข้ามากินไทยเรื่อย ๆ แต่ไทยไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อะไรจากโลกาภิวัตน์ได้เลย ประเทศเราเป็นประเทศการเกษตร แต่ 95 เปอร์เซ็นต์ของปุ๋ยยังต้องนำเข้าอยู่

“ผมคุยกับ SMEs ถามเขาว่านโยบายอะไรที่อยากให้ทำให้ SMEs มากที่สุด คือให้สู้กับสินค้าจีนที่เข้ามาแล้วไม่เสียภาษี แค่นั้น คุณไม่ต้องออกนโยบายอะไรให้สวยหรู ให้ยาก ๆ เลย

ทำอย่างไรให้สินค้า SMEs ไทยสู้กับจีนที่เข้ามาได้ ร้านอาหารไทยทำอย่างไรให้สู้กับร้านอาหารจีนที่เข้ามาได้ เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญที่คิดว่าโลกาภิวัตน์กำลังกินไทย แต่ไทยไม่ได้กินอะไรจากโลกาภิวัตน์เลยแม้แต่นิดเดียว ณ ช่วงนี้”

พิธา กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 คือเทคโนโลยีกำลังได้กินคนไทย หลายงาน หลายอาชีพ อุตสาหกรรม รถ EV ชิ้นส่วนน้อยลง อาชีพจำนวนหลายแสนอยู่ในรถสันดาป พวกนี้กำลังหายไป เทคโนโลยีกำลังกินเรา แต่เราไม่สามารถเอาเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาดินน้ำลมไฟในไทยได้ เพราะฉะนั้น สองอันนี้เป็นเรื่องที่สรุปได้ภายในบรรทัดเดียว และเห็นชัดที่สุด

ประเทศในฝันจากมุมมอง ‘สุดารัตน์-พิธา-สุชัชวีร์’ และแนวคิดนำไทยสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

ด้านสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ กล่าวว่า ความเชื่อที่ว่า ‘เราแข่งกับตัวเอง’ จะทำลายเราไปเรื่อย ๆ วันนี้ โลกเปลี่ยนไปมาก ถ้าเราไม่ขยับ และปัจจุบันเราไม่ได้ขยับ เราไม่เชื่อกันเอง อนาคตประเทศไทยจะยากขึ้น ๆ

‘เรื่องภาวะโลกรวน’ ในมุมมองของสุชัชวีร์ คือจุดตายยิ่งกว่าปัญหาปากท้อง การควบคุมอุณหภูมิโลกเป็นเรื่องยาก หลายท่านไม่ได้รับการให้ความรู้ที่ถูกต้องจากผู้นำภาครัฐมากที่ควร ฝนตกมากกว่าเดิม ไฟป่ามากกว่าเดิม หลาย ๆ ท่าน ยังไม่ซีเรียสเลยว่า กรุงเทพฯ จมทะเลแน่นอน นักวิทยาศาสตร์ระดับโลกหลายคนเห็นว่า กรุงเทพฯ ประเทศไทย คืออีกหนึ่งประเทศที่จะหายไป

“วันนี้เสาไฟฟ้าที่บางขุนเทียนไปอยู่ในทะเล วันนี้น้ำทะลักที่บางพลัด บางกอกน้อย ทุกท่านเฉย ปัญหาเรื่องนี้ไม่มาเป็นอันดับแรกเลย ทั้งที่วันนี้ผู้นำโลกบอกว่าเรื่องนี้เป็นอันตรายต่อมนุษยชาติมากที่สุด”

ดาบที่สอง ในอนาคต สิ่งที่ชี้เป็นชี้ตาย วิศวกรรมชีวการแพทย์คือจุดเป็นจุดตายของโลก วันนี้ ใครที่เข้าถึงเทคโนโลยีการแพทย์คือผู้ชนะ เราไม่ซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกาก็มีทางออก จากจีน หรืออื่น ๆ ก็ได้ ถ้าเราไม่ได้วัคซีน ไม่ได้เครื่องยิงมะเร็ง ไม่ได้เครื่องวินิจฉัยโรคก่อน ท่านตาย

เรื่องนี้จะเกิดความเสียเปรียบ ได้เปรียบ มหาศาล วันนี้ไม่มีใครพูดถึงวิศวกรรมชีวการแพทย์ ไม่ซีเรียสเพียงพอ นี่คือจุดตายดาบสอง

ดาบที่สาม ประเทศที่พัฒนาแล้วแข่งกันเรื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์ ผนวกกับ AI ผนวกกับฐานข้อมูลมหาศาล ใครได้เทคโนโลยีนี้ไป ใครเป็นเจ้าเทคโนโลยีจะครองตลาด เศรษฐกิจ การเมือง อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

สามอย่างนี้ในมุมมองของสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ คือจุดตายที่ผู้นำไทยยังไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง

ประเทศในฝันจากมุมมอง ‘สุดารัตน์-พิธา-สุชัชวีร์’ และแนวคิดนำไทยสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

การปรับตัว

ในแง่การปรับตัวตามมุมองส่วนตัว สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ มองว่า อันดับแรกต้องคิดไม่เหมือนเดิม ไทยอยู่แบบเดิมทำแบบเดิมคิดแบบเก่า 4 ปีก็เหมือนเดิม อันดับแรก อยากให้ทุกคนมีความหวัง ถ้าคำว่า ‘ไม่ได้’ เกิดในสังคมไทยไปเรื่อย ๆ สุดท้ายเราตายอย่างเดียว สุดท้ายเราต้องกินน้ำใต้ศอกของคนอื่น หากคนเรามีความเชื่อจะเกิดพลัง พลังในการให้ความหวัง ดังนั้น อันดับแรกมีความหวัง แล้วเชื่อมั่นในคนไทยด้วยกัน

ประการต่อมา หวังอย่างเดียวไม่ทำอะไรก็ไม่เกิด ถ้ามีพลังพิเศษ สิ่งที่อยากมากที่สุดคือ อยากให้คนไทยเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพทุกคน ต่อให้ไม่มีทรัพยากร แต่มีความรู้จริง ๆ ตรงนี้คือจุดเปลี่ยน ทำให้ประเทศไทยต้านทานการเปลี่ยนแปลงของโลกยุค disruption ได้

สำหรับมุมมองส่วนตัวของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มองว่า ต้องเป็นผู้นำที่ฟังมากกว่าพูด รู้ว่าเมื่อไหร่ต้องนำ เมื่อไหร่ต้องตาม จะทำให้เป็นผู้นำที่รู้ว่าเมื่อโลกเปลี่ยน การเปลี่ยนหมายถึงมีสิ่งหนึ่งขึ้น อันหนึ่งลง

“สำหรับผมคิดว่า ผู้นำทางการเมืองต้องมีวิธีฟังคนที่เห็นต่าง ไม่ใช่ว่าเข้าห้องไปแล้วเป็นผู้นำที่พูดอย่างเดียว ขณะเดียวกันก็ต้องเป็นผู้นำที่สร้างผู้นำ”

พิธา แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า สถานการณ์แบบนี้ซูเปอร์แมนก็เอาไม่อยู่ โดยเฉพาะโครงสร้าง การเข้าสู่อำนาจ การเลือกตั้งครั้งนี้ คำถามคือทำอย่างไรให้ประเทศไทยเปลี่ยน ไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวนายกฯ ถ้าคิดว่าเปลี่ยนนายกฯ จะคิดแบบหนึ่ง ถ้าคิดว่าอยากรื้อโครงสร้างใหม่ ไม่ใช่แค่ตัวนายกฯ จะคิดแบบหนึ่ง

“การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่ของใครคนหนึ่ง แล้วทำให้พรรคการเมืองเป็นสถาบันที่มีส่วนร่วม จากสมาชิก จากคนที่ไปเป็นอาสาสมัคร เพราะเราไม่มีเงินถุงเงินถังเป็นหัวคะแนน เรามีแต่หัวคะแนนธรรมชาติที่เขาต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงของประเทศในมุมมองของเขา”

สำหรับคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มองว่า ไทยเราอยู่ไม่ง่าย เราเจอสงครามความขัดแย้งตั้งแต่รัฐประหาร 2549 เป็นเวลา 17 ปีมาแล้วที่เราเกิดปัญหาภายใน ปัญหาภายในไม่มีท่าทีจะจบหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ ถ้ายังคิดแบบเดิม ติดในกรอบแบบเดิมที่อยู่ในแค่ 2 ขั้ว เหล่านี้คือความจริงที่ทุกคนรับรู้ ประเทศถดถอยไปเยอะจากการรัฐประหาร 2 ครั้ง และไม่อยากเห็นว่าจบการเลือกตั้งครั้งนี้แล้วมาเริ่มการปะทะครั้งใหม่ เป็นโอกาสที่คนฉวยรัฐประหารอีก

“ดิฉันอยากให้เห็นการเปลี่ยนแปลง อยากสร้างประเทศที่ดีที่สุดให้คนรุ่นต่อไป คิดเหมือนคนที่เป็นแม่ แล้วเผอิญมาเป็นผู้นำทางการเมือง”

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ปัญหาภายในที่มี ถ้าแก้การเมืองไม่ได้ เราแก้เศรษฐกิจไม่ได้ แต่โชคร้ายว่าเราเจอปัญหา ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกทั้ง 5 ด้านที่กล่าวข้างต้น ถ้าเป็นองค์กรใหญ่อาจปรับตัวทัน ถ้าเป็น SMEs มีโอกาสล้มหายตายจาก โควิด-19 เห็นได้ชัด สายป่านสั้นไปหมด สายป่านยาวอยู่ได้

“ดิฉันเป็นคนสู้ อยู่ทางการเมืองไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ละเรื่องยากทั้งสิ้น 31 ปีทางการเมือง เรารู้ระบบกลไกรัฐราชการและรู้ว่าจะเอาอยู่ได้อย่างไร มองว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นเราพลิกให้เป็นโอกาสได้ สำหรับประเทศไทย”

ทั้งนี้ การรับมือวิกฤติ ผู้นำที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต้องรู้จักปรับตัว เรียนรู้ตลอดเวลา หลายคนรู้ว่าเวลานี้ตนเองไปคบเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ คบคนรุ่นเดียวกันจะคุยกันแต่อดีตที่เรามีความสุข คบคนรุ่นใหม่มีความรู้เพิ่มทุกวัน

คติประจำตัวเองคือ ทำงานจริงจัง ฟังเสียงประชาชน ตั้งแต่สมัยปี 35 สู้กับเผด็จการ เมื่อเป็นส.ส.ครั้งแรก

“31 ปีที่เคียงข้างร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน ทำงานแล้วไม่เหนื่อย เราต้องพาประชาชนออกจากสงครามนี้ให้ได้ และพาประชาชนไปชนะ”

ประเทศในฝันจากมุมมอง ‘สุดารัตน์-พิธา-สุชัชวีร์’ และแนวคิดนำไทยสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า

มองทางออกในฐานะผู้เสนอตัวในทางการเมือง

ในแง่การมองทางออกในมุมมองตามสถานะที่แต่ละคนเสนอตัวเป็นผู้นำทางการเมืองจากการลงเล่นการเมืองในนามพรรคไทยสร้างไทย คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า สิ่งที่ต้องมีคือมุมมองทางการเมืองที่ชัดเจน สองคือซื่อสัตย์ ไม่โกง ทำเพื่อประชาชนจริง ๆ

สำหรับพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ คิดว่า การร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงคือ เราต้องการคนกล้า มากกว่าคนเก่ง ไม่ต้องการคนเก่งแล้วไม่มีความกล้า ถ้าได้ทั้งกล้าและเก่งถึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ คนที่กล้าชนกับตู้ห่าว กล้าชนกับตั๋วช้าง กล้าชนกับส.ว.ทรงเอ เพราะทุกสิ่งที่มีปัญหา มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งหมด

ขณะที่ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ เล่าถึง จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ว่า เมื่อปี 1962 เจเอฟเคไปพูดบรรยายที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พูดว่า “เราจะไปดวงจันทร์” (We shall go to the moon) เคนเนดี้ พูดในพื้นที่ Republican เท่านั้นไม่พอ บอกว่าจะไปภายในสิบปี และแล้ว นีล อาร์มสตรอง ไปดวงจันทร์ในปี 1969 ประเทศไทยต้องการผู้นำแบบนั้น มีวิสัยทัศน์ มีเป้าหมายชัดเจน

“ถ้าเกิดเป็นเคนเนดี้ แล้ววันนั้นมีคนบอกอย่าไปเลย เด็กก็การศึกษายังไม่เท่าเทียม คนเลี้ยงปศุสัตว์ในเท็กซัสยังไม่ได้รับการสนับสนุนเลย ท่านเป็นเคนเนดี้ หากบอกถอยดีกว่า วันนี้ประเทศไทยเป็นอย่างนั้น มันทำให้ไม่มีผู้นำที่มุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า”

ในความคิดเห็นของ สุชัชวีร์ คิดว่า วันนี้ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะระบุวิสัยทัศน์ เป้าหมาย ของเรา อีกเรื่องที่อยากทำถ้ามีโอกาสคือ ตั้งวิสัยทัศน์ของประเทศ ต่อมาคือเรื่องการศึกษาควรเป็นเรื่องแรกที่พรรคการเมืองดีเบตกัน ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง เพราะนี่คือจุดเป็นจุดตายของประเทศไทยวันนี้และในอนาคต

 

ประเทศในฝัน

ช่วงท้ายของการเสวนา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กล่าวถึงประเทศไทยในฝันว่า ในโลกที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง มองทุกวิกฤตเป็นโอกาส โอกาสมีมากมายในโลก ถ้าผู้นำมีวิสัยทัศน์ กล้าเปลี่ยนแปลง มีองค์ความรู้เพียงพอ มือสะอาด ทำเพื่อประชาชนจริง ๆ โอกาสเต็มไปหมด ทุกหมวดจะหาเงินได้จากวิกฤตที่เกิด ไม่มีใครอยู่ในจุดที่เหมาะสมเท่าประเทศไทย ไทยต้องเป็นหลุมหลบภัยถ้ามีโรคระบาดครั้งหน้า

เรื่องภาวะโลกร้อน มีประเทศไหนจะเหมาะเท่าไทยในการทั้งปรับเปลี่ยนการผลิต เราเป็นมหาอำนาจด้านอาหารของโลกไม่พอ เราควรต้องเป็นแหล่งผลิตคาร์บอนเครดิตเอาไปขายได้มากมาย เพราะเราเป็นประเทศเกษตรกรรม

ส่วนพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เอ่ยถึงประเทศไทยในฝันภายใต้ประโยคเดียวว่า ‘คนไทยเท่าเทียมกัน เท่าทันโลก’ คนไทยจะเท่าเทียมกันได้ต้องเป็นประเทศที่มีนิติรัฐ นิติธรรม ความเท่าเทียมในสิทธิการทำมาหากิน ทลายทุนผูกขาด เท่าทันโลกในการเห็นงบประมาณแผ่นดินออกจากการเน้นเรื่องของความมั่นคงและมาทำหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นสากลโลก เราสามารถสร้างงาน สร้างประเทศ จากปัญหาที่เรากำลังมีอยู่และโลกกำลังต้องการได้หลายอย่าง

ดังนั้น ถ้าทำให้คนไทยเท่าเทียมกันก่อน และคนไทยเท่าทันโลกจะเป็นทางออกที่มี

สำหรับสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ เล่าความฝันถึงประเทศไทยว่า อยากเห็นคนไทยเหมือนลูกของเรา เรารักลูก พร้อมให้ทุกอย่างกับลูก อยากให้ทุกคนคิดว่า ถึงเวลาที่คนไทยทุ่มทรัพยากรทุกอย่างกับเด็กไทย เพราะเหลืออยู่น้อยนิด อยากสร้างเด็กไทยให้อนาคตไม่แพ้ใครจริง ๆ ฝันว่าวันหนึ่งเด็กไทยไม่ว่าเกิดที่ไหน ไม่ว่ายากดีมีจน จะเข้าถึงอาหารที่ดี ไม่มีเด็กไทยทุพโภชนาการ

ฝันว่าอยากเห็นเด็กไทยสามารถเรียนในสิ่งที่อยากเห็น ทำสิ่งที่อยากทำ มีอิสระที่จะใช้ชีวิตของตัวเองอย่างไม่ต้องพึ่งพาใคร เพราะอย่างนั้นแล้ว นโยบายพรรคประชาธิปัตย์ให้เด็กไทยได้เรียนปริญญาตรีฟรี ไม่มีค่าหน่วยกิต เริ่มในสาขาที่ตลาดต้องการก่อน ในอนาคตการเรียนปริญญาตรีเป็นสวัสดิการเหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว 

นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวงเสวนา เชื่อว่าข้อมูลและแนวคิดที่นักการเมืองแถวหน้าของไทยจะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่จุดประกายให้ผู้คนคิดถึงสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงวันพรุ่งนี้ให้เป็นวันที่ดีกว่า และร่วมกันก้าวไปพร้อมกัน