ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี เจ้าหงอกจอมทรนง

ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี เจ้าหงอกจอมทรนง

ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี เจ้าหงอกจอมทรนง

ในปี 1996 ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี (Fabrizio Ravanelli) หรือ "เจ้าหงอก" (เพราะความที่เขาผมหงอกก่อนวัยอันควร) คือหนึ่งในสามประสานแดนหน้าตัวหลักของ "ยูเวนตุส" (นอกเหนือจาก จานลูกา วิอัลลี และอเลสซานโดร เดลปิเอโร) และเป็นผู้ยิงประตูสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าถ้วยแชมเปียนส์ลีกไปครองได้เป็นสมัยที่สอง สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของเขาในทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทีมหนึ่งของยุคนั้น แต่ในปีต่อมา ราวาเนลลี กลับทำในสิ่งที่ทำให้คนในวงการฟุตบอลประหลาดใจเพราะเขาย้ายทีมด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์ (ซึ่งเยอะแล้วในยุคนั้น) เพื่อไปร่วมงานกับทีมเล็ก ๆ อย่าง "เดอะโบโร" มิดเดิลส์เบรอห์ หนึ่งในทีมร่วมก่อตั้งพรีเมียร์ลีกแต่ตกชั้นไปตั้งแต่ปีแรก และเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งภายใต้การนำของโค้ชรุ่นใหม่ไฟแรง "ไบรอัน ร็อบสัน" อดีตยอดกัปตันจากฟากโอลด์แทรฟฟอร์ด การย้ายตัวของราวาเนลลีเป็นที่ฮือฮามากในตลาดนักเตะปีนั้น เพราะเขาอยู่ในวัย 28 ปี ยังอยู่ในฟอร์มที่ดี เป็นผู้ยิงประตูสูงสุดของทีมในฤดูกาลก่อนและยังเป็นผู้ทำประตูประวัติศาสตร์ (แม้จะไม่ได้ชนะทีเดียวแต่ก็ทำให้ทีมได้ดวลจุดโทษชนะอาแจกซ์) หลายคนจึงกล่าวหาว่า "เงิน" คือปัจจัยหลักที่ทำให้ราวาเนลลีตัดสินใจย้ายทีม (ด้วยค่าจ้างสัปดาห์ละ 42,000 ปอนด์ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงมากในยุคนั้น กว่าที่ รอย คีน กัปตันแมนยูจะได้ค่าเหนื่อย 50,000 ปอนด์ เขาต้องรอถึงปี 2000) แต่เขาให้คำอธิบายที่ต่างออกไปว่า "ผมทำประตูในนัดชิงแชมเปียนส์ลีกเอาชนะอาแจกซ์มาได้ ผมเคยคิดว่าการออกจากทีมยูเวนตุสเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะผมคือผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลก ผมโกรธมากที่ยูเวนตุสคิดที่จะขายผม" ราวาเนลลีกล่าวกับ Daily Mail เหตุผลจริง ๆ ที่เขาต้องย้ายทีมจึงอยู่ที่ยูเวนตุสเองต้องการขายเขาออกไปอยู่ก่อนแล้ว เพราะทีมต้องการสร้างแกนของเกมรุกขึ้นมาใหม่โดยมี เดล ปิเอโร เป็นหัวใจสำคัญ (ซึ่งพวกเขามองว่าราวาเนลลีไม่ใช่ศูนย์หน้าที่ใช่) ก่อนหน้านั้นพวกเขาจึงได้ปล่อยตัวศูนย์หน้าระดับตำนานอีกรายก็คือ จานลูกา วิอัลลี มาให้กับเชลซี ทีมร่วมลีกของเดอะโบโร หลังขายวิอัลลีหมาด ๆ ผู้บริหารเรียกราวาเนลลีไปคุย เขาเข้าใจว่าถูกเรียกเพื่อไปรับตำแหน่งกัปตันต่อจากวิอัลลีเป็นแน่ แต่กลายเป็นว่า ทางสโมสรได้ตกลงรับข้อเสนอซื้อตัวจากมิดเดิลส์เบรอห์มาแล้ว และขอให้เขามาเจรจาสัญญาส่วนตัวกับไบรอัน ร็อบสัน ด้วยความที่เขาไม่อยากย้ายทีม เขาจึงบอกให้เอเยนต์เรียกค่าเหนื่อยแพงแบบสุดกู่ไปเลย ทีมอังกฤษจะได้ยอมถอย ตอนนั้นเขารับค่าเหนื่อยจากยูเว่สัปดาห์ละประมาณ 7,000 ปอนด์ ทางเอเยนต์จึงยื่นขอค่าเหนื่อยเพิ่มขึ้นอีก 6 เท่า เป็น 42,000 ปอนด์ แต่ปรากฏว่าโบโร่สู้ราคาโดยไม่คิดจะต่อแม้แต่เพนนีเดียวทำให้เขาต้องทำตามสัญญา (The Versed) การมาอยู่กับโบโร่จึงไม่ใช่สิ่งที่เขาเต็มใจเท่าไรนัก ภายหลังเขายอมรับว่า การออกจากยูเวนตุสเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่เขาก็ไม่เสียใจที่ย้ายมาอยู่ที่ทีส์ไซด์ "แน่นอน ผมไม่ควรย้าย ตอนนี้ผมรู้แล้ว แต่ตอนนั้นผมรู้สึกถึงพลังพิเศษบางอย่าง ผมเชื่อว่าตัวเองแกร่งสุด ๆ และคิดว่าผมสามารถไปจากยูเวนตุสได้ และจะทำได้ดียิ่งกว่าตอนอยู่" ราวาเนลลีกล่าว (Planet Football) ราวาเนลลีแสดงให้เห็นถึงความสุดยอดของเขาตั้งแต่เกมแรก พาทีมเล็ก ๆ ต้านทานทีมลุ้นแชมป์อย่างลิเวอร์พูลได้อย่างสุดมัน เสมอกันไปด้วยสกอร์ 3-3    "ผมทำแฮตทริกได้ในเกมแรกบนสนามริเวอร์ไซด์ตอนเจอกับลิเวอร์พูล ผมรู้สึกไร้เทียมทาน ผมคือ 'คิง!' ชื่อของผมปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ นักเตะทุกคนที่เคยเห็นผมพากันเลียนแบบท่าฉลองประตูของผมด้วยการถลกเสื้อขึ้นคลุมหัว ผมอยากให้ทุกคนจดจำฟอร์มการเล่นของผมไว้จะได้รู้ว่ากองหน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดควรจะเป็นยังไง" การประสานเกมรุกอย่างลงตัวกับคู่หูร่างเล็กชาวบราซิล "จูนินโญ" ทำให้ทั้งคู่ทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ราวาเนลลีคนเดียวทำไป 31 ประตูในทุกรายการ ช่วยให้ทีมเข้าชิงบอลถ้วยในประเทศได้ทั้งสองถ้วย แต่เขาก็ถูกมองว่าเป็น "ตัวปัญหา" เรื่องเยอะ เรียกร้องนู่นนี่อยู่ตลอดเวลา แต่นั่นก็เป็นเพราะเขามาก่อนกาลไปนิด ฟุตบอลอังกฤษยังตามหลังวงการฟุตบอลอิตาลีอยู่มาก เขาเล่าว่า ตอนที่เขามาโบโร่ใหม่ ๆ ก็ต้องอึ้งเมื่อรู้ว่าต้องไปซ้อมฟุตบอลในสวนสาธารณะ อาหารที่มีให้กินก็แค่ไข่กับถั่ว ขณะที่ตอนเขาอยู่ตูริน ยูเวนตุสมีสนามซ้อมที่พร้อมสรรพ มีคนดูแลด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และโภชนาการอย่างใกล้ชิด ทำให้เขาผิดหวังและเรียกร้องให้สโมสรสร้างสนามซ้อมและปรับปรุงเรื่องโภชนาการสำหรับนักเตะ ซึ่งควรเป็นสิ่งที่สโมสร "มืออาชีพ" ควรจะต้องมีอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นข้อเรียกร้องของเขาถูกมองว่าเป็นการตีรวนของนักเตะที่ไม่มีใจเสียมากกว่า "ที่นี่ไม่มีสนามซ้อม เราซ้อมกันในสวนสาธารณะหรือไม่ก็สนามเรือนจำใกล้ ๆ ผมไม่ได้อยากจะเป็นตัวปัญหา ผมเป็นคนมีแค่หน้าเดียวนั่นคือการพูดอย่างตรงไปตรงมา ตอนนั้นผมพูดไปว่า 'ผมมาจากยูเวนตุส ผมได้ถ้วยแชมเปียนส์ลีก แต่ตอนนี้ผมต้องมาซ้อมในสวนสาธารณะเพราะผมเชื่อในแผนงานของคุณ แต่คุณช่วยให้เกียรติกันหน่อย สร้างสนามซ้อมเถอะ'" นอกจากนี้ เขายังเป็นคนที่จ้ำจี้จ้ำไชไปเรียกร้องให้สโมสรซื้อกองหลังและนายประตูใหม่ (ซึ่งโดยปกติไม่ใช่เรื่องที่นักเตะจะทำ) เพราะ เขารู้สึกว่า ความพยายามของเขาในการทำประตูให้มากที่สุดต้องเสียเปล่าเมื่อนักเตะในเกมรับไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้กับเขาได้เลย ซึ่งสโมสรก็รับฟัง ช่วงกลางฤดูกาลพวกเขาไปซื้อ จานลูกา เฟสตา จากอินเตอร์ มิลาน และมาร์ก ชวาร์เซอร์ จากแบรดฟอร์ด มาช่วยทีมแต่มันก็สายเกินไปแล้ว ในช่วงปลายฤดูกาลแม้โบโร่จะกลับมาทำผลงานได้ดี แต่ก็ยังไม่ดีพอ แถมยังมาโดนสมาคมฟุตบอลลงโทษจากการที่ทีมไม่สามารถส่งรายชื่อนักเตะลงเล่นในเกมกับแบล็คเบิร์นช่วงเดือนธันวาคมได้ ซึ่งทางโบโร่อ้างว่าเป็นเหตุสุดวิสัยเนื่องจากทีมประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บระนาว ทำให้ต้องเลื่อนไปแข่งในเดือนมีนาคมแทน ซึ่งพวกเขาชนะ แต่ทางสมาคมสั่งตัด 3 แต้มเป็นการลงโทษ  พวกเขาจึงจบฤดูกาลด้วยคะแนนรวม 39 คะแนน อยู่ในอันดับ 19 ของตาราง ต้องตกชั้นไปตามระเบียบ แต่ถ้าพวกเขาไม่โดนหักคะแนนก็จะมี 42 คะแนน เท่ากับทีมอันดับ 13 ถึง 15 และทำให้โคเวนทรีต้องตกชั้นแทน ไม่เพียงแต่จะต้องตกชั้น มิดเดิลส์เบรอห์ที่เข้าชิงบอลถ้วยทั้งสองรายการก็ต้องพ่ายแพ้ในนัดชิงทั้งในลีกคัพ และเอฟเอคัพ ส่วนราวาเนลลีเมื่อทีมตกชั้นก็เร่งร้อนที่จะย้ายทีมทันทีและยังออกมาพูดจาไม่เข้าหูแฟน ๆ ว่าเขาคิดผิดที่ย้ายมาร่วมทีมอย่างโบโร่ แม้เขาจะสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมก็สร้างความไม่พอใจให้กับแฟน ๆ ที่ยุคนั้นยังคงมองหา "ความภักดี" ของนักเตะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป แฟน ๆ ก็เลิกถือสาและเห็นได้ชัดว่า ข้อเรียกร้องของราวาเนลลีคืออนาคตของวงการฟุตบอลที่ทุกสโมสรก็ทำตามเป็นแถว ๆ แฟนบอลโบโร่หลายคนจึงยอมรับเขาในฐานะฮีโร่คนหนึ่งที่ช่วยสร้างปรากฏการณ์และสีสันให้กับสโมสร แม้จะเป็นระยะเวลาเพียงหนึ่งฤดูกาลเท่านั้น