ฟอร์เรสท์ มาร์ส: จากเสบียงทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็น M&M’s ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ

ฟอร์เรสท์ มาร์ส: จากเสบียงทหารในสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็น M&M’s ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ
มารู้จักกับความเป็นมาทางด้านธุรกิจของช็อกโกแลตที่เจ้าของแบรนด์กินรสถั่วลิสงไม่ได้เพราะแพ้ถั่ว เป็นช็อกโกแลตที่ปรับสูตรจากแรงบันดาลใจในสงครามกลางเมืองสเปน แต่แจ้งเกิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในฐานะเสบียงทหาร และเป็นขนมชิ้นแรกที่ได้เดินทางไปในอวกาศ...ช็อกโกแลต M&M’s
“ช็อกโกแลตรสนมที่ละลายในปาก - แต่ไม่ละลายในมือ”
คือสโลแกนของขนมช็อกโกแลตทรงกลมสีสันสดใสยี่ห้อ M&M’s ที่บ่งบอกจุดเด่นและเอกลักษณ์ ปรากฏให้โลกได้เห็นครั้งแรกผ่านโฆษณาบนโทรทัศน์ในปี 1954 และถูกใช้ทำการตลาดมาจนถึงปัจจุบัน
ย้อนกลับไปกว่าจะมีเม็ดช็อกโกแลตหลากสีในซองสีน้ำตาลให้เราได้เติมความหวานนั้น ขนม M&M’s ที่ถูกก่อตั้งและบริหารภายใต้บริษัทผู้ผลิตขนมสัญชาติอเมริกันอย่าง Mars นั้นมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แม้จะไม่น่าตื่นตาเท่าโรงงานช็อกโกแลตมหัศจรรย์จากวิลลี วองก้า (Willy Wonka) ในนิยาย Charlie and the Chocolate Factory แต่ที่มาของ M&M’s เริ่มต้นมาจากสงคราม ทะลุผ่านอีกสงคราม และได้ไปไกลถึงอวกาศเลยทีเดียว 
และนี่คือเรื่องราวไม่หวานของขนมช็อกโกแลตแสนหวาน M&M’s ซึ่งได้ชื่อตัวย่อแต่ละ ‘M’ มาจากนามสกุลของมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง 2 คนที่เราอยากชวนชมและชวนชิม
จุดเริ่มต้นความหวาน ล้วนมาจากครอบครัว
ก่อนจะมาเป็น M&M’s ที่ทุกคนรู้จักนั้น ทุกอย่างเริ่มต้นในครอบครับ Mars โดยมีบุคคลสำคัญคือ ฟอร์เรสท์ มาร์ส ซีเนียร์ (Forrest Mars Sr.) ผู้เป็นเจ้าของ ‘M’ ตัวแรกในชื่อแบรนด์
ฟอร์เรสท์ลืมตาดูโลกท่ามกลางกองขนมในรัฐมินนิโซตาปี 1904 มีคุณพ่อชื่อ แฟรงก์ มาร์ส (Frank Mars) ที่มักทำขนมข้ามคืน เพื่อนำไปขายตอนกลางวัน และเปิดร้านขนมเล็ก ๆ นอกตัวเมืองมินนีแอโพลิส ชีวิตของฟอร์เรสท์เริ่มต้นปกติดี จนกระทั่งพ่อแม่หย่าร้างกันเมื่อเขาอายุได้เพียงแค่ 6 ขวบ จึงต้องย้ายไปอาศัยกับครอบครัวฝั่งแม่ เริ่มเรียนมัธยมฯ จนจบมหาวิทยาลัยด้วยปริญญาสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ เจอหน้าพ่อเป็นครั้งคราวตามโอกาส และกลับมาช่วยธุรกิจของพ่อในขณะที่ตอนนั้นเปิดเป็นบริษัทเต็มตัวในชื่อ Mars Inc. หลังเรียนจบทันที
เข้าไปได้ไม่นานนัก ฟอร์เรสท์ก็ได้มีส่วนสร้างผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตแท่งยอดฮิตอย่าง Milky Way แบบงง ๆ เขาเล่าไว้ในหนังสือ The Emperors of Chocolate ซึ่งเขียนโดย Joel Glenn Brenner ถึงที่มาไอเดียของช็อกโกแลตแท่งรสมอลต์นี้ว่า มันเป็นช็อกโกแลตแท่ง ที่ทำมาจากเปลือกเคลือบรสช็อกโกแลตมอลต์ สอดไส้ด้วยถั่วคั่ว และเติมความหวานด้วยคาราเมลราดรอบแท่ง
“ตอนนั้นผมแค่พูดสิ่งที่เข้ามาในหัวออกไป และผมคงเป็นบ้า ถ้าหลังจากนั้นไม่นาน พ่อทำบาร์ลูกกวาดและมันคือรสช็อกโกแลตมอลต์ พ่อใส่คาราเมลไว้ด้านบนและช็อกโกแลตรอบ ๆ มันไม่ใช่ช็อกโกแลตคุณภาพดี เขาแค่ซื้อช็อกโกแลตราคาถูก แต่ไอบ้านี่มันดันขายได้ซะงั้น”
ไอเดียแบบไม่ได้ตั้งใจของฟอร์เรสท์กลายมาเป็นยอดขายราว 800,000 ดอลลาร์ภายใน 1 ปีเมื่อ Milky Way เปิดตัวและวางขายในปี 1924 เป็นความสำเร็จที่กลายเป็นผลิตภัณฑ์สำคัญ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างฟอร์เรสท์และแฟรงก์กลับไม่สำเร็จเท่าที่ควร ฟอร์เรสท์ขัดแย้งกับพ่อเมื่อเขาต้องการขยายธุรกิจให้ออกไปไกลสู่ยุโรป แต่พ่อเห็นไม่ตรงกัน จนเขาต้องเดินออกมาเมื่อความสัมพันธ์พังทลาย
“ผมบอกพ่อ ผู้หมกมุ่นกับธุรกิจของเขาว่า ถ้าเขาไม่ยอมยก 1 ใน 3 ของธุรกิจให้ ผมก็จะไป และเมื่อเขาบอกให้ไป ผมเลยออกมาซะเลย”
การเดินทางตามหาตลาดและเก็บเกี่ยวประสบการณ์เริ่มต้นขึ้น ฟอร์เรสท์เดินทางไปหลากหลายประเทศทั่วยุโรป ลงหลักปักฐานในประเทศอังกฤษเมื่อปี 1932 พยายามเอาชนะตลาดช็อกโกแลตที่นั่นด้วยการผลิต Mars Bar ขนมช็อกโกแลตคล้ายคลึงกับ Milky Way แต่มีรสชาติหวานกว่า เนื่องจากรสชาติช็อกโกแลตของอังกฤษที่แตกต่างจากอเมริกา และใส่ทริกในโฆษณาด้วยการขายจุดเด่นว่ามีสารอาหารจากทั้งนม ไข่และเนย เป็นมากกว่าขนมหวานทำลายร่างกาย
หลังจากนั้น เขายังได้เดินทางไปยังประเทศสเปนในช่วงที่กำลังเกิดสงครามกลางเมือง และได้สังเกตเห็นทหารที่เข้ารบขณะนั้นกินขนม ‘ช็อกโกแลตเคลือบทรงกลม หุ้มด้วยเปลือก’ ที่ไม่ละลายในความร้อน กลายเป็นไอเดียสุดบรรเจิดที่ให้กำเนิด M&M’s ในยุคที่อุณหภูมิช่วงหน้าร้อนทำให้ช็อกโกแลตละลายคากระเป๋า เลอะเทอะไปทั่วมือ และยอดขายช็อกโกแลตลดฮวบฮาบ“ในช่วงวันเวลานั้น ร้านค้าต่าง ๆ ยังไม่มีเครื่องปรับอากาศ รถก็ไม่มีเครื่องปรับอากาศ และบ้านก็ยังไม่มีเครื่องปรับอากาศ” โฆษกของ Mars กล่าวในงานครบรอบ 50 ปีของ M&M ในปี 1990
ดังนั้นเขาจึงบ่มเพาะไอเดียอันหอมหวานให้เป็นสโลแกนคุ้นหูอย่าง ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ ด้วยการบินกลับมายังสหรัฐฯ ได้รับสิทธิบัตรในการผลิต ตามหาหุ้นส่วนร่วมทุนเพื่อสานฝัน จนได้เจอกับบรูซ เมอร์รี (Bruce Murrie) ลูกชายคนสำคัญของผู้บริหาร Hershey และเริ่มลงขันก่อตั้งธุรกิจอย่างเต็มตัว
เพื่อนคู่คิด พันธมิตรตัว M
เรื่องราวของ ‘M’ ตัวที่สองใน M&M
การร่วมทุนผ่านความร่วมมือของชายหนุ่ม 2 นามสกุลอย่าง Mars และ Murrie กลายมาเป็นชื่อ M&M’s และขนมช็อกโกแลตเม็ดกลมหลากสี เคลือบด้วยเปลือกแข็ง มีตัวอักษร m อยู่ตรงกลาง ที่เปิดตัวสู่ตลาดในเมืองนิวอาร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เมื่อปี 1941 โดยใช้ช็อกโกแลต Hershey จากเมอร์รี ผู้เป็นหุ้นส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจ เป็นส่วนประกอบหลัก พร้อมกับจุดเด่นในการเอาชนะความร้อนที่ต่อยอดสู่โอกาสสำคัญ
โชคออกจะเหมาะเจาะ เพราะในยุคนั้นสหรัฐฯ กำลังส่งทหารเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 และมองหาแหล่งพลังงานดี ๆ เป็นเสบียงในการเดินทาง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสดีของ M&M’s ที่จะแจ้งเกิดในสงครามในฐานะเสบียงเติมพลังของเหล่าพลทหารด้วยคุณสมบัติทนความร้อน พกพาง่าย ให้พลังงานจากน้ำตาลได้ดี พวกเขาจึงผลิตและบรรจุในกระบอกกระดาษแข็งทรงสูงคล้ายกระบอกใส่ลูกแบดมินตัน ส่งขายให้กองทัพสหรัฐฯ ทันที
ยังไม่พอ เมื่อทหารเหล่านี้กลับจากสงครามสู่บ้านแล้ว รสชาติความหวานของ M&M’s ก็ครองใจพวกเขาไปเรียบร้อย เกิดเป็นการบอกต่ออย่างแพร่หลาย ทำให้ยอดขายของ M&M’s พุ่งสูงสุดในประวัติการณ์ ขายดีมหาศาลในยุคทศวรรษ 1950 สวนทางกับความสัมพันธ์ของฟอร์เรสท์และเมอร์รี่ที่กำลังแย่ลง
ฟอร์เรสท์ไม่ใช่นักธุรกิจผู้สงบเสงี่ยม แม้จะมีความทะเยอทะยานและความตั้งใจสูง แต่เขามักจะบริหารธุรกิจด้วยนิสัยโผงผาง อารมณ์ร้อน ไร้ความอดทนในการบริหาร จนเมื่อทนไม่ไหว เขาเลือกที่จะจ่ายเงิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับเมอร์รีแลกกับการซื้อหุ้นของเมอร์รี และเปลี่ยนบริษัทจากการบริหารคู่ ยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดเพียงคนเดียว
แต่ทว่าไม่มีอะไรฉุดกระแสความฮิตของ M&M’s ได้อยู่ แม้ตอนแรกเริ่มจะมีเพียงรสชาติดั้งเดิมคือช็อกโกแลตกับสีเปลือกเคลือบหลัก ๆ อย่างสีน้ำตาล แดง ส้ม เหลือง เขียว และม่วงในซองแพ็กเกจสีน้ำตาล แต่ความต้องการที่แปลกใหม่ทำให้บริษัทเพิ่มรสชาติขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่น รสถั่วลิสงในปี 1954 ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว ฟอร์เรสท์ไม่เคยได้ลิ้มลองรสนี้เพราะอาการแพ้ถั่วของตัวเอง รวมถึงรสอื่น ๆ ที่ออกมาในภายหลังทั้ง อัลมอนด์, มินต์, มอคค่า หรือราสป์เบอร์รีให้บรรดาคนรักช็อกโกแลตได้เลือกสรรตามใจ
นอกจากนี้ เพื่อป้องกันการลอกเลียนแบบในช่วงที่ขนมกลายเป็นวัฒนธรรมป็อป M&M’s จึงเริ่มพิมพ์ตัวอักษร m ลงไปตรงกลางขนมแต่ละเม็ดด้วยสีดำ เป็นสัญลักษณ์ให้คนกินมองง่าย ๆ ว่า M&M’s ของแท้ต้องมีตัว m เท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวในภายหลัง
ออกเดินทางจากสงครามสู่อวกาศ
ประวัติศาสตร์สำคัญของ M&M’s ถูกบันทึกอีกครั้งในปี 1981 เมื่อได้รับเกียรติจากทาง NASA และเหล่านักบินอวกาศที่คัดเลือกให้ขนมช็อกโกแลตเม็ดกลมแบรนด์นี้ได้เป็นเสบียงขึ้นไปกับกระสวยอวกาศ Columbia เนื่องจากคุณสมบัติอันโดดเด่นที่ทนต่อความร้อนและเบาในการพกพา เป็นขนมที่สมบูรณ์แบบในการขึ้นสู่วงโคจร จนได้รับสมญานามเป็นขนมชิ้นแรกที่ได้ไปอวกาศเลยทีเดียว
มากไปกว่านั้น M&M’s ยังเป็นขนมขบเคี้ยวอย่างเป็นทางการในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี 1984 ที่จัดขึ้นในลอสแอนเจลิส และมีโหลแก้วโอลิมปิกเป็นที่ระลึกให้แฟน ๆ ได้ตามเก็บสะสมแบบที่ลองค้นหาในเว็บไซต์ Ebay ทุกวันนี้ก็ยังสามารถตามหากันได้อยู่ เรียกได้ว่ายุค 80s นั้นเป็นช่วงเวลาทองของบริษัท Mars เจ้าของ M&M’s ที่ฟอร์เรสท์ได้ควบรวมและดูแลหลังคุณพ่อเสียชีวิตเมื่อปี 1964 และขยายสู่ตลาดโลก ทั้งออสเตรเลีย รัสเซีย และหลากหลายประเทศทั่วยุโรปตามความตั้งใจ
ทว่าการทำงานมีวันจบ ฟอร์เรสท์ตัดสินใจเกษียณตัวเองตอนอายุ 69 ปี ส่งต่อบริษัทที่มีทั้งขนมมากมายนอกจาก M&M’s เช่น Skittles, Mars bar, Snickers, Twix รวมถึงแบรนด์ที่ไม่ใช่ขนม เช่น ข้าว Uncle Ben’s Rice และอาหารสัตว์อย่าง Whiska และ Pedigree ให้กับลูกทั้ง 3 คนดูแลต่อไป
เรื่องราวของครอบครัว Mars และอาณาจักรขนมหวานเป็นจุดเด่นที่แม้พวกเขาจะไม่ได้ใช้ชีวิตในแสงสปอตไลท์ เผยตัวสู่สาธารณชนเท่าไร แต่รายชื่ออันดับมหาเศรษฐีจาก Forbes ต้องมีชื่อตระกูลนี้อยู่เสมอ เช่น จอห์น มาร์ส ลูกชายผู้มีทรัพย์สินกว่า 24.7 พันล้าน ครองอันดับที่ 29 จากคนรวยของ Forbes เมื่อปีที่ผ่านมา
และในขณะที่กำลังครอบครองทรัพย์สินถึง 4 พันล้าน เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 30 จาก Forbes ในปี 1999 ฟอร์เรสท์ก็จากไปอย่างสงบ ด้วยวัย 95 ปีในอพาร์ตเมนต์ที่ไมอามี ทว่าธุรกิจครอบครัวและอาณาจักรขนมหวานของพวกเขาก็ยังเดินหน้าด้วยความสดใส เป็นขนมหวานแห่งสหัสวรรษใหม่ในปี 2000 ซึ่งมีชื่อตรงกับตัวเลขโรมัน MM (M 1 ตัวมีค่า 1000 ในเลขโรมัน) เดินหน้าโปรโมตและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกยุคสมัย จนมีอายุครบ 80 ปีพอดีในปัจจุบัน
มาถึงตรงนี้ เชื่อว่าเรื่องราวของขนมช็อกโกแลตเคลือบที่มีประวัติอันยาวนาน จากไอเดียที่ฟอร์เรสท์ได้ปลุกปั้นและบริหาร อาจทำให้การลุ้นสีเปลือกช็อกโกแลตของ M&M’s ในซองขนมที่คุณล้วงสุ่ม ตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ไม่ต่างจากประโยคสำคัญจากตัวละครหนุ่มชื่อคล้ายกันอย่างฟอร์เรสท์ กัมพ์ แสดงโดย ทอม แฮงค์ส ที่กล่าวไว้ในภาพยนตร์ว่า
"ชีวิตก็เหมือนกับกล่องช็อกโกแลตหลากรสนั่นแหละ คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณจะหยิบเจออะไร” - ฟอร์เรสท์ กัมพ์ (1994)
ก็นั่นแหละ ไม่รู้เลยว่าจะเจอ ‘สี’ อะไร
ที่มา