09 เม.ย. 2567 | 18:30 น.
KEY
POINTS
ศาสนาอาจเป็นหัวใจหลักในการยึดโยงใจที่แหลกสลายให้หลอมรวมเป็นหนึ่ง แต่ใช่ว่าศรัทธาและความเชื่อจะนำมาซึ่งจุดจบอันงดงาม เมื่อ ‘แม่ชีมาเรียม ซูลาคิโอติส’ (Mariam Soulakiotis) ใช้ความเชื่อเข้ามาบดบังความเป็นจริง กว่าจะรู้ตัวพวกเขาก็กลายเป็นเพียงหนึ่งในเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของเธอ
ก่อนที่มาเรียมจะถวายความภักดี มอบทุกอย่างของชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้า คาดกันว่าเธอเกิดที่กรีซในช่วงต้นทศวรรษ 1880 -1900 เป็นลูกสาวครอบครัวชาวไร่ พออายุ 20 ปีเธอก็ออกไปใช้ชีวิตทำงานอยู่ในโรงงานเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว แต่ถึงอย่างประวัติที่แท้จริงของเธอยังคงเป็นปริศนา
มาเรียมในวัย 23 ปี ได้เจอกับ ‘คุณพ่อแมทธิว คาร์ปาทาคิส’ (Father Matthew Karpathakis) ผู้กำลังเผยแพร่หลักคำสอนของนิกายใหม่ที่เขาก่อตั้งขึ้น หลังจากประกาศแยกตัวจากคริสเตียนอีสเทิร์นออร์โธดอกซ์กระแสหลัก ออกมาเป็นอีกกลุ่มหนึ่งโดยใช้ชื่อว่า the New Calendarists.
อุดมการณ์อันแน่วแน่ของคุณพ่อแมทธิว ทำให้เธอเชื่ออย่างสุดใจว่านิกายใหม่จะช่วยให้เธอรอดพ้นจากช่วงเวลาอันยากลำบาก มาเรียมลาออกจากโรงงาน ยอมสละทิ้งทุกอย่างทางโลก เพื่อรับใช้พระองค์อย่างใกล้ชิด
ในปี 1927 คุณพ่อแมทธิวในวัย 66 ปี ตัดสินใจซื้อที่ดินเพื่อสร้างอารามใหม่ขึ้นมา โดยหวังจะเปลี่ยนพื้นที่แห่งนี้กลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และสรรเสริญพระแม่มารีย์ในเวลาเดียวกัน ส่วนมาเรียมก็ได้รับบทบาทสำคัญ ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของอารามแห่งนี้ โดยหวังเพียงแค่ว่าจะใช้ชีวิตอย่างสงบ ดูแลผู้มีกำลังศร้ทธาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ประจวบกับสุขภาพของคุณพ่อแมทธิวไม่ค่อยแข็งแรงนัก เขาจากไปอย่างสงบในปี 1939 มาเรียมจึงยิ่งมีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งดูแลอาราม ไปจนถึงคัดเลือกสมาชิกเข้าร่วมนิกาย กระทั่งได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้านักบวชหญิง (Abbess) ในเวลาต่อมา
จากเด็กสาวชาวไร่ เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือล้นพ้น พฤติกรรมของมาเรียมเริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอทั้งแข็งกร้าว เลือดเย็น และขาดการประนีประนอม ทำให้ผู้เข้าร่วมนิกายต่างยำเกรงต่อหัวหน้านักบวชรายนี้ มาเรียมมักเข้มงวดกับครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย เธอมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้สมควรต้องเสียสละทรัพย์สิน-เงินทองมากกว่ากลุ่มอื่น จึงเป็นที่มาของการตั้งกฎให้พวกเขาเซ็นชื่อยินยอมสละทรัพย์สินให้กับโบสถ์
ส่วนบททดสอบในการเข้าร่วมนิกายก็โหดร้ายไม่ต่างกัน เริ่มจากการสารภาพบาป, อดอาหาร และให้อยู่ท่ามกลางความเงียบ ห้ามพูด ห้ามส่งเสียง หากพวกเขาผ่านไปได้ พระเจ้าก็พร้อมอ้าแขนต้อนรับเหล่าผู้กล้าแกร่ง
แต่ถ้าหากพวกเขาปฏิเสธเข้ารับการทดสอบ จะต้องเจอกับบทลงโทษสุดโหด ถึงขั้นถูกทุบตีอย่างรุนแรง นอกเหนือจากนั้น หากผ่านการทดสอบไปได้ ผู้มีศรัทธาทุกคนจะต้องตัดขาดจากครอบครัว เพื่ออุทิศเวลาที่เหลือให้กับพระเจ้าได้มากที่สุด เพราะตามหลักนิกายแล้ว การติดต่อกับคนนอกที่แปดเปื้อนไปด้วยบาป ก็ไม่ต่างจากการเอาตัวเข้าไปคลุกคลีกับบาปอยู่ตลอดเวลา
นอกเหนือจากการทำร้ายร่างกาย ผู้เข้าร่วมนิกายหลายคนต้องทำงานอย่างหนัก และมักถูกสั่งอดอาหารอยู่เป็นประจำ เพราะมาเรียมเชื่อว่าพวกเขายังทำงานหนักไม่มากพอ และนี่คือจุดเริ่มต้นเหตุการณ์อันน่าสยดสยอง เมื่อชาวบ้านในละแวกนั้นสังเกตเห็นความผิดปกติ เริ่มจากเสียงกรีดร้อง และข่าวลือว่ามีผู้ถูกทรมานอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ก็ยิ่งทำให้ชาวบ้านหวาดระแวง จนไม่กล้าข้องเกี่ยว
อันที่จริงไม่ใช่ทุกคนอยากจะเข้าร่วมนิกายใหม่ของคุณพ่อแมทธิวมากนัก แต่เพราะมีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าอารามแห่งนี้ช่วยรักษาวัณโรคได้ โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว พวกเขาจึงเดินทางมาหาเหล่านักบวช หวังเพียงแค่ว่าโรคร้ายจะถูกปัดเป่า และได้รับการรักษาให้กลับมามีชีวิตเหมือนคนปกติได้อีกครั้ง
ถึงแม้จะมีแพทย์ประจำคอยดูแลความเจ็บป่วย แต่เรื่องตลกร้ายก็คือ นายแพทย์รายนี้ทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ เซ็นใบมรณะบัตรให้กับเหล่าผู้มาเยือน ส่วนข่าวการรักษาวัณโรคนั้นเป็นแค่กลอุบาย ที่มาเรียมตั้งขึ้นมาเพื่อให้นิกายของเธอเป็นที่รู้จักก็เท่านั้น
ในปี 1950 เด็กสาวชาวกรีซรายหนึ่งเดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เธออ้างว่าแม่ของเธอมีพฤติกรรมเปลี่ยนไป เริ่มตั้งแต่ยอมเปลี่ยนชื่อที่ดินให้เป็นของโบสถ์ เธอไม่เคยเห็นแม่เป็นแบบนี้ และไม่เชื่อว่าแม่จะทำด้วยความสมัครใจ
ขณะที่ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี มีคุณพ่อรายหนึ่งแจ้งความว่าลูกสาวอายุ 18 ปีของเขาหายตัวไป เมื่อตำรวจลงปฏิบัติหน้าที่พวกเขาก็เจอกับจุดเชื่อมโยงบางอย่างจากโบสถ์แห่งนี้ และนั่นทำให้แม่ชีมาเรียมเริ่มเป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
วันที่ 4 ธันวาคม 1950 เจ้าหน้าที่ตำรวจ 85 นายได้บุกเข้าไปยังอาราม หลังจากสำรวจพื้นที่มาไม่ต่ำกว่า 2 วัน โดยใช้ข้ออ้างว่านี่เป็นสถานที่นำเข้าและส่งออกของผิดกฎหมายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่พวกเขาพบกลับเลวร้ายกว่านั้นมาก เด็ก 46 คนตกอยู่ในสภาพผอมโซ พวกเขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือ อีกทั้งยังมีแม่ชีถูกเปลือยกายอีกจำนวนหนึ่งถูกทรมานอยู่ในห้องใต้ดิน และยังมีศพอีกว่า 170 ศพ ถูกค้นพบในอารามแห่งนี้อีกด้วย
เมื่อวันพิจารณาคดีมาถึงในวันที่ 4 กันยายน 1951 มาเรียมไม่ถูกตั้งข้อหาใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดหรือมีส่วนยุ่งเกี่ยวกับการเสียชีวิตของผู้ร่วมนิกาย นอกจากข้อหานี้จะตกไปแล้ว การที่เธอมีเงินสดกว่า 750,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และถือครองโฉนดที่ดินเอาไว้กว่าสามร้อยแห่ง ก็ถือว่าไม่ขัดต่อหลักกฎหมายเช่นกัน
แม้มาเรียมจะไม่ถูกตั้งข้อหาในอาชญากรรมร้ายแรงที่เธอก่อ แต่ชาวบ้านและสื่อต่างเรียกขานเธอว่า ‘แม่ชีรัสปูติน’
เมื่อคดีของมาเรียมเริ่มเป็นที่สนใจต่อสาธารณะชนมากขึ้นเรื่อย ๆ หลักฐานจากทั่วสารทิศที่ชี้ว่าเธอคือซาตานในคราบนักบวชก็ยิ่งปรากฎชัด สุดท้ายเธอถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 26 เดือน ในข้อหานำเข้าและส่งออกของผิดกฎหมาย
ส่วนในการพิจารณาคดีในครั้งที่ 2 และ 3 มาเรียมถูกตัดสินจำคุก 10 ปี และเพิ่มอีก 4 ปีตามลำดับ ในข้อหาละเมิด ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง และกักขังอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงฆาตกรรม 7 กระทง แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเธอมีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตอย่างน้อย 177 ศพ
ในปี 1954 มาเรียมเสียชีวิตในเรือนจำ Averoff ด้วยวัย 71 ปี
และไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นฆาตกร ทั้งหมดเป็นเพียงนิยายหลอกเด็ก โดยมีเจ้าหน้าที่และชาวบ้านแต่งขึ้นมาก็เท่านั้น
ไม่มีใครยืนยันได้ว่า 177 ศพนั้น เกิดจากการทรมานของเธอ หรือจากโรคภัยที่พวกเขาเป็น แต่ในเอกสารยินยอมเข้าร่วมนิกาย พบว่ากว่า 500 คนที่ลงชื่อได้หายตัวไปอย่างลึกลับ และบางรายเสียชีวิตอย่างปริศนา
หลังการจากไปของมาเรียม มีผู้ออกมาประท้วง บอกว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ที่โดนใส่ความ ปัจจุบันยังคงมีเหล่าผู้ศรัทธาเชื่อมั่นว่ามาเรียมไม่มีความผิด เธอแค่ต้องการช่วยเหลือผู้ทุกข์ยากให้รอดพันจากความทรมาน และเชื่ออย่างสุดใจว่ามาเรียมคือนักบุญ
อ้างอิง
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : Wikipedia