‘ฮงดูชิก’ (Hometown Cha-Cha-Cha)  เพราะเราต้องการใครสักคนที่เป็นเหมือน ‘บ้าน’ ให้พักพิง

‘ฮงดูชิก’ (Hometown Cha-Cha-Cha)  เพราะเราต้องการใครสักคนที่เป็นเหมือน ‘บ้าน’ ให้พักพิง
**บทความชิ้นนี้เผยแพร่เนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ Hometown Cha-Cha -Cha** หากพูดถึงซีรีส์อบอุ่นหัวใจที่กำลังมาแรงในช่วงนี้คงจะเป็น Hometown Cha-Cha-Cha ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘ยุนฮเยจิน’ (รับบทโดย ชินมินอา) ทันตแพทย์สาวในเมืองกรุงที่เข้ามาเปิดคลินิกในชนบท ก่อนจะพบรักกับ ‘ฮงดูชิก’ หรือ ‘หัวหน้าฮง’ (คิมซอนโฮ) ใน ‘กงจิน’  หมู่บ้านริมทะเลที่ต่างจากกรุงโซลอย่างลิบลับ แม้จะเป็นซีรีส์โรแมนติกคอมเมดี้ชวนเขิน แต่สิ่งที่โดดเด่นพอ ๆ ความสนุกและดีต่อใจคงจะเป็นตัวละคร ‘ฮงดูชิก’ หรือที่ชาวบ้านในกงจินเรียกว่า ‘หัวหน้าฮง’ ผู้มีชีวิตสวนทางกับกรอบของสังคมไม่ว่าจะเกาหลีใต้หรือแม้กระทั่งสังคมไทย เพราะเขาคือเด็กฉลาดทั้งด้านภาษาและวิทยาศาสตร์จนสอบติดมหาวิทยาลัยโซล แต่ฮงดูชิกในวัย 30 กว่าปี กลับดำรงชีพด้วยการรับจ้างงานสารพัดตามแต่ชาวบ้านในกงจินจะเรียกใช้ แถมยังรับเงินเท่าค่าแรงขั้นต่ำด้วย ‘ความเต็มใจ’ อีกต่างหาก นอกจากวิถีชีวิตที่สวนกระแสแล้ว ยังตามมาด้วยปริศนาที่ไม่มีใครรู้ว่าก่อนหน้านี้ฮงดูชิกหายไปไหนและทำอาชีพอะไร เหตุใดเขาจึงกลับบ้านมาด้วยแววตาหม่นเศร้า พร้อมกับชีวิตใหม่ที่ตั้งใจจะ ‘ไม่มีอาชีพ’ เป็นหลักเป็นแหล่ง ยิ่งเรื่องราวดำเนินไป ยิ่งเผยให้เห็นมากกว่าความสามารถรอบด้านของตัวละครนี้ แต่ยังมีทั้งบาดแผล การเรียนรู้ และการก้าวผ่านให้ผู้ชมได้ซึมซับและคิดตามทีละน้อย    เป็ดที่แข็งแกร่งแห่งกงจิน  “ผมกำลังค้นหาประสบการณ์ผ่านงานทุกงานที่มีอยู่บนโลกนี้ แต่ถ้าจะให้เจาะจงว่าเป็นอาชีพสักอย่าง...ครับ ไม่มีอาชีพ” หากเป็ดคือคำเปรียบเทียบสำหรับคนที่ทำอะไรได้หลาย ๆ อย่าง แต่ไม่ชำนาญเลยสักอย่าง ฮงดูชิกคงเปรียบเสมือนเป็ด ‘พิเศษ’ ที่แข็งแกร่งกว่าเป็ดตัวไหน ๆ เพราะแม้เขาจะทำงานได้หลากหลาย แต่ไม่ใช่แค่ ‘พอทำได้’ เพราะเขาเชี่ยวชาญจนถึงขั้นมีใบประกอบวิชาชีพเรียงราย ไม่ว่าจะเป็นนักให้คำปรึกษาเยาวชนระดับสาม ใบอนุญาตประกอบอาหารจากปลาปั๊กเป้า ใบอนุญาตสอนพับกระดาษสี ช่างซ่อมสารพัดสิ่ง ชาวประมง บาริสต้า นายหน้าที่ดิน ฯลฯ ‘ฮงดูชิก’ (Hometown Cha-Cha-Cha)  เพราะเราต้องการใครสักคนที่เป็นเหมือน ‘บ้าน’ ให้พักพิง ‘ฮงดูชิก’ (Hometown Cha-Cha-Cha)  เพราะเราต้องการใครสักคนที่เป็นเหมือน ‘บ้าน’ ให้พักพิง ฮงดูชิกใช้ชีวิตสันโดษโดยไม่สนกระแสสังคม เขาไม่มีรถหรู ไม่มีสูทเท่ ๆ หรือแม้แต่หวนกลับไปงานเลี้ยงสังสรรค์กับผองเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย แถมยังมีจุดเด่นเรื่องการพูดห้วน ๆ โดยไม่แบ่งแยกช่วงวัยหรือความสนิท และไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ฮงดูชิกก็ดูจะไม่หวั่นไหวไปกับคำถามถึงการใช้ชีวิตในแบบของเขา ซึ่งครั้งหนึ่งฮงดูชิกเคยให้เหตุผลว่า “ชีวิตมีแค่หนเดียว แล้วผมก็มีทุกอย่างที่ผมต้องการแล้วครับ เตียงนุ่ม ๆ ให้ผมได้นอนหลับคืนนี้ มีกระดานโต้คลื่นที่ทนทานสำหรับผม และมีคนที่รักอยู่ข้าง ๆ” แม้หลายคนจะไม่ได้ต้องการใช้ชีวิตแบบฮงดูชิก แต่ตัวละครนี้ก็ทำให้เราได้หวนกลับมาทบทวนชีวิต และไล่เรียงถึงสิ่งสำคัญรวมทั้งความต้องการแท้จริงของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งที่ทำให้ฮงดูชิกสามารถดำเนินชีวิตตามวิถีนี้ได้อย่างราบรื่น คงเป็นความฉลาดที่สามารถทำงานหลากหลายได้อย่างชำนาญจนทุกคนวางใจเรียกใช้บริการเสียจนคิวแน่นเอี๊ยด แถมค่าแรงขั้นต่ำของเกาหลีอยู่ที่ 8,720 วอนต่อชั่วโมง (ประมาณ 245 บาท) หรือประมาณ 6 เท่าของประเทศไทย ดังนั้นการไม่มี ‘อาชีพที่มั่นคง’ จึงไม่ได้กระทบต่อคุณภาพชีวิตของเขามากนัก   กงจินงดงามเพราะผู้คน แม้จะดูเข้มแข็ง หัวใจมั่นคงดุจหินผา และเป็นที่พึ่งพาของคนอื่น ๆ ได้ แต่หากย้อนไปในวัยเด็ก ฮงดูชิกเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก เขาจึงเติบโตมาโดยมีคุณปู่อยู่เคียงข้าง ก่อนจะเสียคุณปู่ไปอีกครั้งในวัยมัธยมฯ จนกระทั่งฮงดูชิกสอบติดมหาวิทยาลัยโซลและเข้าสู่วัยทำงาน เขากลับสูญเสียคนรอบกายไปอีกครั้งราวกับชีวิตของเขานั้น ‘ต้องคำสาป’  ฮงดูชิกเริ่มโทษตัวเอง และเริ่มคิดว่าตนเองไม่สมควรรักหรือได้รับความรักจากใคร แม้กระทั่งการมีความสุขกับชีวิต ฝันร้ายได้ตามหลอกหลอนฮงดูชิก จนเขาต้องไปพบจิตแพทย์ กลายเป็นคนที่สร้างกำแพงปิดกั้นตัวเองกับคนอื่น ๆ ขณะที่ความรู้สึกราวกับไม่เหลือใครบนโลกใบนี้ถาโถมเข้ามา ข้อความของใครคนหนึ่งจากกงจินได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล เพราะหลังจากได้รับข้อความนั้นฮงดูชิกตัดสินใจหวนคืนสู่บ้านเกิดอีกครั้ง แทนการเลือกที่จะปลิดชีวิตตัวเอง แต่ชีวิตใหม่ของเขาที่กงจิน กลับชวนให้บางคนสงสัยว่าทำไมเขาเลือกใช้ชีวิตรูปแบบนี้ โดยเฉพาะยุนฮเยจิน ซึ่งเปรียบเทียบชีวิตของฮงดูชิกว่าเหมือนกับการนำคอมพิวเตอร์สเปกขั้นเทพมาใช้เล่นเกมกู้ระเบิด หรือใช้รถสปอร์ตมาแล่นบนคันนา แต่ฮงดูชิกกลับตอบเธอไปว่า “อย่าดูถูกสุนทรียศาสตร์อันเรียบง่ายของเกมกู้ระเบิดสิ อีกอย่าง คันนาในคืนฤดูร้อนก็งดงามจะตายไป คุณนี่ช่างไม่รู้อะไร” นั่นเป็นเพราะตอนที่ฮงดูชิกกลับมายังกงจิน เขาไม่ต่างจากรถสปอร์ตน้ำมันหมดหรือคอมพิวเตอร์พัง ๆ ที่ถูกทิ้งไว้ในห้องอันว่างเปล่า ส่วนคันนาอันงดงามและสุนทรียศาสตร์แบบเกมกู้ระเบิดนั้น คงเหมือนกับความเรียบง่ายของกงจิน และความงดงามของผู้คนที่คอยปลอบโยนเขาจนสามารถลุกขึ้นยืนและกลับมาใช้ชีวิตปกติได้อีกครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจที่ฮงดูชิกเต็มใจจะใช้ชีวิตในกงจินต่อไป โดยปราศจากอาชีพเป็นหลักเป็นแหล่ง  ‘ฮงดูชิก’ (Hometown Cha-Cha-Cha)  เพราะเราต้องการใครสักคนที่เป็นเหมือน ‘บ้าน’ ให้พักพิง แม้จะเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักของผู้คนในกงจิน จนสภาพจิตใจของเขาค่อย ๆ ดีขึ้น ทว่ากลับไม่มีใครรับรู้ตัวตนที่แท้จริงของฮงดูชิก ไม่มีแม้กระทั่งการเปิดใจเล่าเรื่องราวเพื่อแบ่งเบาความปวดร้าวที่แบกไว้ในใจมาแสนนาน  กำแพงของฮงดูชิกตั้งตระหง่านอยู่นานหลายปี จนกระทั่งฮงดูชิกได้พบกับยุนฮเยจิน ตัวละครที่เผชิญกับความสูญเสียในวัยเด็กเช่นเดียวกับเขา แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือมุมมองชีวิตและวิธีการก้าวผ่านปัญหา  เพราะขณะที่ยุนฮเยจินพยายามจัดแจงชีวิตให้เป็นอย่างใจ หลีกเลี่ยง ‘ความไม่แน่นอน’ ต่าง ๆ และเมื่อมีปัญหาเธอมักจะบอกเล่าเรื่องราวกับเพื่อนสาวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันอยู่เสมอ แต่ฮงดูชิกกลับปล่อยให้ความปวดร้าวไหลผ่านชีวิตของเขาไปโดยกดและกอดเก็บความเจ็บปวดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งในตอนหลังฮงดูชิกได้ค่อย ๆ เรียนรู้ความกล้าที่จะสื่อสารความรู้สึกภายในใจออกมาเพราะยุนฮเยจิน ส่วนยุนฮเยจินเองก็ได้เข้าใจว่าบางครั้งมนุษย์เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้หรือพยายามแล้วจะสำเร็จในทุก ๆ เรื่องเสมอไป เช่น ฉากที่ฮงดูชิกพายุนฮเยจินลุยฝน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความไม่แน่นอนและปัญหาที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยฮงดูชิกมองว่า บางทีการเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมอาจไม่ใช่สิ่งเลวร้ายเสมอไป หรืออีกฉากที่ฮงดูชิกบอกกับยุนฮเยจินว่า “(คุณ) คงคิดว่า ขอแค่มีความตั้งใจ ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้… แต่ชีวิตของคนเรา มันไม่เท่าเทียมกันขนาดนั้นหรอกนะ บางคนก็มีชีวิตเหมือนถนนลูกรังที่ขรุขระ และมีคนที่วิ่งแทบเป็นแทบตาย แต่ท้ายที่สุดก็เจอกับหน้าผาสูงชันด้วย เข้าใจไหม” เมื่อมุมมองที่ต่างกันสุดขั้วถูกแบ่งปันและแลกเปลี่ยน ทั้งคู่จึงค่อย ๆ เปิดใจซึมซับมุมมองใหม่ ๆ จนกลายเป็นสองตัวละครที่เรียนรู้และเติบโตไปพร้อม ๆ กัน   เพราะทุกคนล้วนต้องการ 'บ้าน' ให้ใจได้พักพิง เมื่อเผชิญเรื่องเลวร้าย มนุษย์ล้วนต้องการพื้นที่ปลอดภัยเพื่อพักพิงและตั้งหลักชีวิตของตัวเอง ฉะนั้นในวันที่ไม่รู้จะหันไปทางไหน ฮงดูชิกจึงแพ็กกระเป๋ากลับ ‘บ้าน’ หลังเดิมในกงจิน  แม้การกลับบ้านครั้งนี้ จะทำให้เขาได้กลับสู่พื้นที่ปลอดภัยในสภาพแวดล้อมเดิม แต่ในแง่ความรู้สึกฮงดูชิกกลับยังไม่มีใครสักคนที่พอจะเป็น ‘บ้าน’ ให้กับเขาได้อย่างแท้จริง เพราะเขาไม่เคยกล้าเปิดใจเล่าถึงฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนและบาดแผลที่ฝังลึกมานานหลายปี แม้กระทั่งคุณยายกัมรีที่ดูแลเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ  แต่เมื่อได้พบกับยุนฮเยจินที่เผชิญการสูญเสียคนที่รักอย่างสุดหัวใจเช่นเดียวกัน อาจเป็นจุดเชื่อมให้ทั้งคู่ค่อย ๆ เปิดใจเข้าหากัน และมุมมองที่แตกต่างช่วยให้ตัวละครทั้งสองได้เรียนรู้วิธีมองปัญหา หรือรับมือกับพายุโหมกระหน่ำด้วยวิธีการที่ต่างออกไป โดยเฉพาะฮงดูชิกที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากการโทษตัวเองแล้วกอดเก็บความปวดร้าวไว้แต่เพียงผู้เดียว มาเป็นคนที่กล้าเผยด้านอ่อนแอ และกล้าพอที่จะเปิดใจให้ใครสักคนได้เป็นเหมือน ‘บ้าน’ ของเขา  แม้จะใช้เวลานานพอสมควร แต่เพราะยุนฮเยจินไม่ได้บีบบังคับให้เขาเล่าออกมาทันที และให้เวลากับฮงดูชิก ทำให้เขารู้สึกวางใจว่าคน ๆ นี้ไม่ได้ ‘อยากรู้’ คำตอบเบื้องหลังชีวิตของเขาอย่างเดียว แต่อยาก ‘รับฟัง’ และแบ่งเบาความปวดร้าวของเขาอย่างจริงใจ จนกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยปลดล็อกให้ฮงดูชิกค่อย ๆ ก้าวข้ามฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนมานานหลายปีผ่านการบอกเล่าเรื่องราวภายในใจ ปล่อยน้ำตาให้เอ่อล้นในอ้อมกอดของคนที่เป็นเหมือน ‘บ้าน’ ของเขา และที่สำคัญคือการเริ่มให้อภัยตัวเองและมีความสุขอย่างแท้จริง ตัวละครฮงดูชิกจึงสะท้อนให้เราเห็นว่า ไม่ว่าภายนอกเขาจะเข้มแข็งและมีความสามารถรอบด้านเพียงใด แต่สุดท้าย...ในความเป็นมนุษย์ เราล้วนต้องการ ‘การรับฟัง’ อย่างเข้าใจ และต้องการใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้างในวันที่โหดร้าย โดยไม่ใช่เพียงคนรักเท่านั้น แต่อาจเป็นครอบครัว มิตรสหาย หรือใครก็ตามที่ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่บนโลกนี้อย่างเดียวดาย   เพราะท้ายที่สุดแล้วบาดแผลในจิตใจไม่ได้ดีขึ้นด้วยการกดมันเอาไว้ เช่นเดียวกับเรื่องราวของหัวหน้าฮง หรือ ฮงดูชิกที่ค่อย ๆ ปลดล็อกความทุกข์เศร้าภายในใจ ด้วยการบอกเล่าออกมาทีละน้อย หลังจากที่เขาได้พบ ‘บ้าน’ ของหัวใจอย่างแท้จริง