Hospital Playlist - มิตรภาพที่ไม่มีวันหมดอายุ

Hospital Playlist - มิตรภาพที่ไม่มีวันหมดอายุ
หากพูดถึงซีรีส์เกี่ยวกับหมอ ภาพจำของคนส่วนใหญ่คงเป็นห้องผ่าตัดและชีวิตในโรงพยาบาล เช่นเดียวกันกับซีรีส์ ‘Hospital Playlist’ หากสิ่งที่ต่างออกไปคือการสอดแทรกความอบอุ่นและการเรียนรู้ชีวิตไปพร้อม ๆ กับตัวละคร โดยผู้กำกับ ‘ชินวอนโฮ’  ชินวอนโฮให้คำจำกัดความของซีรีส์เรื่องนี้ไว้ว่า Wise Life Series คือการโฟกัสไปที่เรื่องราวและชีวิตประจำวันของคนธรรมดา ดังนั้น Hospital Playlist จึงไม่ได้นำเสนอเพียงเรื่องของหมอกับคนไข้เป็นหลัก แต่กลับบอกเล่าเรื่องราวของเพื่อนทั้ง 5 คนที่ทำอาชีพหมอในมุมมองที่หลากหลาย ผู้ชมจึงได้เห็นมุมอื่น ๆ ของตัวละคร และแง่คิดที่สอดแทรกเรื่องราวนอกเหนือจากในโรงพยาบาล   **บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์ Hospital Playlist**   ความแตกต่างสร้างความกลมกล่อม ‘ห้าเปล่า’ คือคำจำกัดความของเพื่อนสนิททั้ง 5 คน ที่รู้จักกันเกือบ 20 ปีตั้งแต่สมัยเรียน โดยแต่ละคนมีสิ่งที่ขาดและสิ่งที่เติมเต็มให้กับคนอื่นเสมอ ช่วยให้พวกเขากลมกลืนและรักษาความสัมพันธ์กันได้อย่างยาวนาน แม้เรามักจะพบคำกล่าวว่า เพื่อนต้องนิสัยเหมือนกัน แต่ความแตกต่างของตัวละครในเรื่องนั้นกลับช่วยเติมเต็มกันและกันจนกลายเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง  ‘แชซงฮวา’ คือนิยามของคำว่า Perfectionist เธอทำได้ดีทั้งในแง่การรับผิดชอบงานของตัวเองและคนอื่น หากจะมีสิ่งหนึ่งที่เธอทำได้ไม่ดีคงเป็นการร้องเพลง ส่วน ‘อีอิกจุน’ คือผู้เติมเต็มสีสันและสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนรอบข้าง เป็นที่ปรึกษาที่ดี แต่เมื่อมีเรื่องทุกข์ใจเขากลับเลือกเงียบแทนที่จะพูดกับใครสักคน เพราะกลัวเพื่อนจะไม่สบายใจไปด้วย  ‘คิมจุนฮวาน’ เป็นคนตรงไปตรงมา พูดจาโผงผาง และตัดสินใจเด็ดขาด หากเพื่อนลังเลในการทำบางสิ่ง เขาจะเป็นคนสนับสนุนให้เพื่อนกล้าลงมือทำ ‘อันจองวอน’ ชายผู้มีจิตใจอ่อนโยน สายประนีประนอม เขามีทุกสิ่งที่เพื่อนต้องการ แม้กระทั่งซอสพริก และสุดท้ายคือ ‘ยางซอกฮยอง’ หนุ่มรักสงบตัวพ่อ มักจะหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมและการพบปะผู้คน แต่เขาก็เป็นอีกคนที่มีคำแนะนำดี ๆ ให้เพื่อนเสมอ ลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันของพวกเขาเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนผสมอันแสนลงตัวของซีรีส์ Hospital Playlist โดยสิ่งที่เชื่อมโยงสหายทั้งห้าเข้าด้วยกันนั้นคือ ‘การเล่นดนตรี’    อายุเป็นเพียงตัวเลข ‘อายุเท่านั้น (40 ปี) ยังทำได้อีกหรอ’ คำที่หมอคยอลอุคกล่าวเมื่อทราบว่าหมอซงฮวายังมีมุมเหมือนเด็กในบางครั้ง ซึ่งสามารถใช้กับสถานการณ์นี้ได้เช่นกัน เพราะใครจะคิดว่าหมอในวัย 40 ปี ที่ทำงานหนักจนแทบไม่มีเวลานอนจะมีเวลามาซ้อมวงดนตรีที่พวกเขาเคยตั้งขึ้นสมัยเรียน  วงดนตรีนี้เริ่มต้นขึ้นในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่เมื่อพวกเขาสำเร็จการศึกษา ก็ห่างหายกันไปและไม่ได้สานต่อ จนกระทั่งจองวอนเสนอให้ทุกคนทำงานในวอร์ด Vip แลกกับค่าจ้างที่มากกว่าเดิมสองเท่า ทุกคนตอบตกลง ยกเว้นซอกฮยอง ไม่ว่าแจวอนจะเสนอสิ่งใด ซอกฮยองก็ปฏิเสธหมด โดยเขากล่าวว่าไม่ต้องการอะไรนอกจาก ‘การเล่นดนตรีกับเพื่อนอีกครั้ง’ ดนตรีไม่ได้เป็นเพียงแค่งานอดิเรกของพวกเขา แต่ยังเป็นสิ่งที่ช่วยร้อยเรียงเรื่องราวในแต่ละตอนได้อย่างงดงาม นับว่าเป็นเอกลักษณ์ของผู้กำกับชินวอนโฮในการใช้เพลงดังในอดีตที่แม้แต่คนเกาหลีก็อาจจะเผลอลืมไปแล้วมาเป็นเพลงประกอบเรื่องราวที่แสนธรรมดาและเรียบง่ายให้มีเสน่ห์มากขึ้น  อย่างเพลง I Knew I Love เกี่ยวกับคนแอบรักเพื่อน สื่อถึงความรู้สึกของอิกจุนที่แอบรักซงฮวาตั้งแต่สมัยเรียน เมื่อจบการศึกษาพวกเขาก็ห่างหายกันไป แต่เมื่อเจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกเดิม ๆ ในวันนั้นจึงกลับมา เพลง Aloha เพลงของคนมีความรักที่ใครได้ฟังก็ต้องรู้สึกดี มีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้คำมั่นสัญญาต่อคนรัก ว่าจะดูแลตลอดไป ไม่เปลี่ยนใจไปไหน และจะรักเธอเพียงคนเดียว ซึ่งตรงกับความรักของจุนฮวานและอิกซุน ที่ไม่ว่าเขาจะยุ่งจากการดูแลคนไข้แค่ไหน เขาจะหาเวลาหมั่นเติมความรักและดูแลอิกซุนเสมอ เพลง You to Me, Me to You เพลงปิดซีซั่นแรกซึ่งสื่อถึงความทรงจำที่สวยงามของทุกตัวละครในเรื่อง ทั้งหมอ คนไข้ เพื่อน คนรัก และครอบครัว แม้ว่าจะจากกันไป แต่ไม่เคยจางหายจากความทรงจำ แม้เส้นเรื่องหลักอย่างความรักจะเป็นไปตามสูตรสำเร็จที่เล่าถึง การพบกัน การรักกัน และการจากลา แต่บทเพลงและการนำเสนอเรื่องราวมิตรภาพในหลายมิติ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้นำเสนอความสัมพันธ์ที่แสนจะธรรมดาออกมาได้อย่างลุ่มลึกและกินใจ   รักฉบับครอบครัว ‘ถ้าแม่ไม่คิดถึงอูจู อูจูก็ไม่คิดถึงแม่ อูจูมีพ่อคนเดียวก็พอ พ่อดีที่สุดในจักรวาลแล้ว’ ครอบครัวในความหมายของหลาย ๆ คน อาจจะประกอบด้วย พ่อ แม่ และลูก แต่ไม่ใช่ความหมายที่แท้จริงสำหรับ ‘อูจู’ ลูกชายวัย 5 ปีของอิกจุนที่กล่าวกับเขาเมื่อเขาบอกกับลูกว่า ถ้าคิดถึงแม่ให้บอก เขาจะพาแม่ที่อาศัยอยู่ต่างประเทศมาเจอทันที ซึ่งการเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวกลาย ๆ เกือบจะครบปีของอิกจุน ทำให้เขาต้องดูแลทุกอย่างเกี่ยวกับลูก ทั้งการทำอาหาร การทำกิจกรรมในวันหยุด และการสอนหนังสือ  ไม่ว่าการเป็นหมอจะยุ่งเพียงใด เขาจะหาเวลาว่างให้ลูกเสมอ อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกยังเปรียบเสมือนมิตรภาพแสนอบอุ่น เพราะเขาเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง อย่างตอนที่อูจูเคยบอกว่ามีแฟนแล้ว อิกจุนนิ่งไปสักพัก และถามว่าตัวแค่นี้มีแฟนแล้วเหรอ แฟนชื่ออะไร อูจูก็ตอบว่าชื่อโมเนด้วยน้ำเสียงสดใส เหมือนตอบคำถามเพื่อนของเขา   เพื่อนรักต่างเพศ ‘นายชอบซงฮวาเหรอ’ ‘นายไม่มีเพื่อนใช่ไหม’ ‘มีสิ แต่นี่่มันชายหญิง ไม่แปลกหรือไง’ ‘ไม่แปลก นายนี่มันคร่ำครึเหลือทน’   ‘พวกเธอเหมือนแฟนกันเลย’ ‘เราแค่สนิทกัน เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน’ ‘ชายหญิงเนี่ยนะ’ ‘โอ้โฮ! โบราณจริง ๆ นี่มันพ่อชัด ๆ’   นี่คือบทสนทนาระหว่างจุนฮวานกับแฟนเก่าของซงฮวา และหมออิมชางมินกับหมออันชีฮง หมอประจำบ้านปี 3  แม้โลกจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่วาทกรรม ‘ชายหญิงเป็นเพื่อนกันไม่ได้’ ก็ยังไม่หายไปตามกระแสโลกที่ผันเปลี่ยน อย่างที่มักมีคำกล่าวว่า หากมีคนมาเห็นชายหญิงอยู่กันสองต่อสอง คนจะมองไม่ดี แม้ว่าเจตนาบริสุทธิ์ก็ตาม แต่แท้จริงแล้วความเป็นเพื่อนไม่ได้ถูกกำหนดด้วยเพศชาย เพศหญิง หรือ LGBTQ+ เพราะปัจจัยในการเลือกคบเพื่อนแตกต่างออกไปตามตัวบุคคล อาจเป็นงานอดิเรก บทสนทนา หรือทัศนคติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่ว่าเพศใดก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้    รักที่ไม่ได้ลงเอยด้วยการแต่งงานเสมอไป “ถ้าเธอต้องการให้อยู่แบบนี้ไปอีก 5 ปี 10 ปี ยังได้เลย พี่โอเคทุกอย่าง สิ่งที่พี่ต้องการไม่ใช่การแต่งงาน แต่เป็นการอยู่กับเธอไปนาน ๆ” แม้ใครจะมองว่าจุนฮวานเป็นคนโผงผาง ตรงไปตรงมา และไม่มีความโรแมนติกเอาเสียเลย นั่นคงจะผิดถนัดหากได้เห็นเขาในมุมของคนรัก เพราะจุนฮวานเป็นคนรักของ ‘อิกซุน’ น้องสาวอิกจุนเพื่อนสนิทของเขา ซึ่งทั้งคู่คบกันโดยที่อิกจุนไม่รู้  เมื่อเป็นรักต่างวัย ทัศนคติของทั้งคู่จึงแตกต่างกันไปด้วย อย่างจุนฮวานมีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตพอสมควร เขาจึงคิดถึงเรื่องแต่งงาน ขณะที่อิกซุนกลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น ทั้งยังตัดสินใจว่าจะเรียนต่อ แต่จุนฮวานก็ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจ เขากลับสนับสนุนให้เธอทำตามความฝัน เพราะสำหรับเขาแล้ว การสนับสนุนคนรักถือเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง และความรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด นี่จึงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของความรักที่ไม่ได้จบลงด้วยการแต่งงานเสมอไป   Don’t judge a book by it’s cover ‘ฉันมองเขาผิดไปสินะ ไม่คิดเลยว่าเขามีมุมนี้ด้วย’ การประเมินลักษณะนิสัยคนจากภายนอกหรือการรู้จักเพียงผิวเผินเป็นเรื่องที่พบเจอได้ทั่วไป แต่ใช่ว่าจะตรงตามที่เราคิดเสียทั้งหมด  อย่าง ‘หมอยางซอกฮยอง’ ที่ภายนอกดูเป็นคนไม่สนใจใคร ไม่ชอบเข้าสังคม หากไม่ใช่เพื่อนสนิท คงยากที่จะเห็นเขาในมุมอื่น ทำให้หมอและพยาบาลในแผนกสูตินรีเวชคิดว่าเขาคงไม่มีมุมอ่อนโยน หรือนึกถึงผู้อื่น แต่ความคิดดังกล่าวถูกขจัดสิ้นเมื่อมีคนไข้รายหนึ่งต้องการคลอดลูก แม้ว่าลูกของเธอจะมีภาวะสมองตาย หากคลอดก็อยู่ได้นานสุดแค่ 1 วัน ซอกฮยองเมื่อทราบเช่นนั้นจึงขอให้ ‘หมอชูมินฮา’ ช่วยเอาผ้าปิดปากลูกของเธอทันทีเมื่อคลอด และช่วยเปิดเพลงดัง ๆ เพื่อป้องกันในกรณีลูกเธอร้อง  หมอมินฮามองว่าการกระทำของซอกฮยองนั้นใจร้ายสิ้นดี แต่เมื่อเธอได้ทราบความจริงว่า หากคนไข้ได้ยินเสียงร้องของลูก แต่จะไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดู ความเจ็บปวดนี้คงเกินจะรับไหว รวมถึงคำให้กำลังใจต่อคนไข้ต่าง ๆ นานา หลังจากนั้นมินฮารวมถึงคนอื่น ๆ จึงเปลี่ยนความคิดที่มีต่อซอกฮยอง จะเห็นได้ว่าซีรีส์เรื่องนี้ถ่ายทอดชีวิตประจำวันของหมอที่เปี่ยมไปด้วยความรัก ความห่วงใย และการให้กำลังใจทั้งคนไข้ ครอบครัว เพื่อน และคนใกล้ชิด ซึ่งผู้ชมจะได้เดินทางและเติบโตไปพร้อม ๆ กับตัวละครในเรื่อง บางคราวอาจได้เจอสถานการณ์เช่นเดียวกับตัวละคร ซึ่งทำให้เราได้มองเห็นมุมมองที่แตกต่างหลากหลาย และที่สำคัญคือเรื่องมิตรภาพที่ไม่มีวันหมดอายุ อย่างเพลง Me to You, You to Me “สำหรับเธอ ฉันก็คงเหมือนพระอาทิตย์ที่กำลงตกดิน เป็นความทรงจำที่งดงามมาจากอีกฟากหนึ่ง ขอให้จดจำเวลาที่ดีที่เคยมีความหมายกับพวกเราเอาไว้นะ เปรียบดั่งภาพวาดที่หลงเหลือไว้โดยไม่รู้สึกเสียดาย” - Me to You, You to Me (OST. Hospital Playlist) ดังนั้นคำว่า Hospital ในที่นี้อาจมีความหมายมากกว่าสถานที่ที่ช่วยเยียวยาคนไข้ แต่ยังหมายถึงการช่วยเยียวยาและปลอบประโลมผู้ชมได้อย่างอบอุ่นอีกด้วย   เรื่อง: ขวัญจิรา สุโสภา (The People Junior)   อ้างอิง https://www.cosmo.ph/entertainment/hospital-playlist-k-drama-review-a4575-20201114-lfrm2