อิ้งค์-วรันธร เปานิล เรียนดนตรีมันยากนะ ! กับความน่ารักสดใสที่บางครั้งก็แอบทุกข์บ้าง

อิ้งค์-วรันธร เปานิล เรียนดนตรีมันยากนะ ! กับความน่ารักสดใสที่บางครั้งก็แอบทุกข์บ้าง
วรันธร เปานิล หรือ “อิ้งค์” ถือเป็นนักร้องสาวเสียงดีที่กำลังมาแรงครองใจใครหลายคนอยู่ในปัจจุบัน ย้อนกลับไปราว ๆ สิบปีที่แล้ว อิ้งค์ ถูกจดจำในฐานะหนึ่งในนักร้องของวงเกิร์ลกรุ๊ปอย่างวง “Chilli White Choc” ตอนนั้นถึงแม้การได้เป็นนักร้องจะเป็นสิ่งที่เคยฝันไว้ แต่สุดท้ายอิ้งค์ก็ตัดสินใจพักงานในวงการเพลงทั้งหมด เพื่อกลับไปโฟกัสกับการเรียน ซึ่งเธอก็หวังว่าไม่วันใดก็วันหนึ่งเธอจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับโอกาสในการทำเพลงที่เป็นของเธอจริง ๆ อิ้งค์ คือผลผลิตจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาดุริยางคศิลป์ตะวันตก เอกขับร้องคลาสสิค เท่านั้นยังไม่พอเธอจบมาพร้อมกับเกียรตินิยมอีกด้วย นี่ถือว่าเป็นการการันตีความสามารถและความเป็น “คนดนตรี” ขนานแท้ของเธอได้อย่างดี อิ้งค์ กลายเป็นที่รู้จักจากเพลง “เหงา เหงา” ซึ่งถือเป็นซิงเกิลเปิดตัวของเธอ ก่อนจะค่อย ๆ มีเพลงฮิตเพิ่มเข้ามาไม่ว่าจะเป็น “ฉันต้องคิดถึงเธอแบบไหน”, “เกี่ยวกันไหม”, “ยังรู้สึก” และล่าสุดกับเพลง “ดีใจด้วยนะ” The People มีโอกาสนั่งคุยกับสาวคนนี้ในหลาย ๆ ประเด็น ทั้งเบื้องหลังการเรียนดนตรีที่มันยากกว่าที่คิด ความหลงใหลในความวินเทจ มุมมองความรักที่เธอมี และเบื้องหลังความสดใสของเธอที่บางครั้งเธอแอบซ่อนความทุกข์ไว้บ้างเหมือนกัน The People : อัพเดทหน่อยช่วงนี้ทำอะไรอยู่
 อิ้งค์ : ก็มีซิงเกิลใหม่ชื่อว่า “ดีใจด้วยนะ” เป็นเพลงใหม่ล่าสุดเลย ซึ่งเพลงนี้มีความพิเศษมาก ๆ เพราะว่าเพิ่งจะปล่อย แล้วเป็นเพลงที่อิ้งค์ว่าทุกคนก็อาจจะยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวมุมมองความรักแบบนี้จากเพลงของอิ้งค์มาก่อน ส่วนมากก็จะเป็นแการตั้งคำถาม การสงสัยกับตัวเอง สิ่งที่ตัวเองรู้สึก แต่ว่าอันนี้เป็นเหมือนสิ่งที่เราเองก็ตั้งใจอยากจะบอกกับเพลงนี้เหมือนกัน พูดได้ว่ามาจากเรื่องของเราด้วยส่วนหนึ่ง The People : อิ้งค์เริ่มเข้าวงการเพลงแต่เด็ก ตอนนั้นคิดไหมว่าจะต้องดัง จะต้องมีเงินจากอาชีพนี้ อิ้งค์ : จริง ๆ ตอนนั้นอิ้งค์ไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้นค่ะ อิ้งค์รู้สึกว่าเรา enjoy กับการร้องเพลง แล้วตอนนั้นมีเพื่อนเยอะมาก เป็นอะไรที่ดูสนุกมาก ซึ่งอิ้งค์รู้สึกว่าเราได้อะไรจากตรงนั้นมาก เพราะว่าการที่เราเอาตัวเองเข้าไปทำงานในวัยแค่ 13-14 มันเป็นอะไรที่ถ้าถามว่าจะต้องดังระดับโลกไหม ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรเลย รู้สึกว่าอยากสนุก อยากใช้การร้องเพลง อยากออกไปเจอเพื่อน ๆ เก็บประสบการณ์มากกว่า แล้วก็ได้ประสบการณ์มาเยอะมากจริง ๆ 

The People : แต่สุดท้ายก็ต้องหยุดทำเพราะการเรียน 
อิ้งค์ : จริง ๆ ต้องบอกว่าตอนนั้นอิ้งค์ค่อนข้าง fail เพราะว่าอิ้งค์เรียนตกลงไปเยอะมาก จากเกรดที่ได้ 3 กว่า ก็เหลือ 2 กว่า ตอนนั้นเครียดมากเพราะว่าตัวเองแบ่งเวลาไม่ได้เลย คือเราได้เรียนรู้ว่า โอเค เราอาจจะยังไม่พร้อมกับการอยู่ตรงนั้น เพราะว่าเราไม่สามารถจัดการชีวิตส่วนตัวได้ เราก็แอบรู้สึกว่ามันน่าจะต้องรักษาอะไรไว้สักอย่าง เลยเลือกการเรียนไว้ก่อน 

The People : แต่สุดท้ายการได้เลือกเรียนในสิ่งที่รักมันคือความสุขของอิ้งค์หรือเปล่า อิ้งค์ : ใช่ ก็ยังไม่ได้ทิ้ง หลังจากออกมาประมาณ ม.3 อิ้งค์ก็ยังเลือกเรียนเอกดุริยางค์ของโรงเรียนสาธิตประสานมิตร ที่มีเอก voice ด้วยอยู่แล้ว ซึ่งเราก็เลือกเรียนเลยเพราะรู้สึกว่าโอเค มันเป็นสิ่งที่เราชอบ เราอาจจะไม่ได้เป็นนักร้องในวันนี้ หรือว่าอนาคตเราอาจจะไม่ได้เป็น แต่อิ้งค์ว่าการเรียนอะไรที่เรารู้สึกชอบมันเป็นสิ่งที่สำคัญนะ เพราะว่าทำให้เรารู้สึกมีความสุข ถ้าเกิดว่าเราไปเรียนอะไรที่ไม่ใช่ตัวเรา สมมติว่าอิ้งค์นั่งเรียนเอกวิทย์ ก็ตกวิทย์อยู่แล้ว คือไปเรียนเอกวิทย์น่าจะทุกข์ใจหนัก เลยคิดว่าเอาอะไรที่เรารู้สึก enjoy ดีกว่า เราทำมันได้ดีพอผลออกมามันก็จะดีตามที่เราทำได้ ก็เลยเลือกเรียนเอก voice ค่ะ แล้วตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็สอบเข้าจุฬาเอก voice เหมือนกันที่คณะศิลปกรรมค่ะ อิ้งค์-วรันธร เปานิล เรียนดนตรีมันยากนะ ! กับความน่ารักสดใสที่บางครั้งก็แอบทุกข์บ้าง 
The People : แต่ตอนเรียน อิ้งค์ก็ไม่เคยคิดว่าจบไปจะได้ทำอาชีพนี้ ? 
อิ้งค์ : ใช่ The People : เรียนจบเกียรตินิยมดนตรีมา หลายคนคิดว่าเรียนดนตรีนี่ง่าย ๆ ? อิ้งค์ : ยากมาก คือคิดดูแค่เราจะบังคับตัวเองให้ลดความอ้วนยังยากเลย เหมือนแบบห้ามกินนะ แต่นี่คือเราต้องบังคับตัวเองให้ไปทำสิ่งเดิม ๆ ๆ ทุกวัน สำหรับอิ้งค์มันยากตั้งแต่ตอนที่เริ่มไปติว เริ่มไปอ่านหนังสือก่อนเข้าเรียนอีกค่ะ คือยากตั้งแต่ตอนนั้นเลย เราเป็นคนที่ชอบร้องเพลงก็จริงแต่ว่าเรื่องทฤษฎีดนตรีต่าง ๆ คือรู้บ้าง เพราะว่าเราเคยมีพื้นฐานเปียโนมาบ้าง แต่การที่เราจะเข้าไปเรียนในคณะดนตรี มันไม่ได้มีแค่ดนตรี ไม่ได้มีแค่ร้องเพลงอย่างเดียว มันมีทั้งทฤษฎีดนตรี มีทั้งประวัติศาสตร์ มีทั้ง harmony เรียนทุกอย่างเลย เรียนที่ดนตรีมันจะมีทุก ๆ ด้านได้ การที่เรารู้แค่ด้านเดียวไม่ได้แปลว่าเราจะสามารถเรียนจบออกมาได้อย่างสบาย ก็เลยต้องเติมความรู้ตัวเองเยอะมาก พยายามกว่าคนอื่นเยอะมาก เพราะเอก voice เป็นเอกที่ค่อนข้างยากลำบากในการเรียนดนตรีมาก ๆ เพราะต้องมีทั้งการแต่งเพลง เราก็ต้องไปเรียนรู้โครงสร้างของการแต่งเพลงมาอีกว่า โอเค คอร์ดนี้ห้ามโดนกัน เดี๋ยวมันจะกัด มันเหมือนเรียนเลขซึ่งเป็นสิ่งที่อิ้งค์เกลียดมาก แต่ว่าอิ้งค์ก็ต้องไปนั่งเรียนมันอยู่ดีเพราะว่ามันจำเป็นสำหรับการเรียนดนตรีเหมือนกัน คือเราต้องฝึกฝนมากกว่าคนอื่น แล้วบางอย่างอิ้งค์ก็ให้เพื่อนช่วยเยอะมาก ๆ แบบเพื่อนที่เก่งอยู่แล้วเราก็จะขอสรุปเขามาอ่าน หรือไปนั่งติวอะไรกับเขา มันต้องขวนขวายทั้งนั้นเลย แล้วการเรียนดนตรี สมมติเราร้องเพลงเป็นใช่ไหมคะ แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะร้องเพลงนั้นได้ดีถ้าเราไม่ซ้อม มันยากมาก แค่อิ้งค์ไม่ซ้อมหนึ่งอาทิตย์แล้วอิ้งค์ไปเรียนร้องเพลง อ้าปากร้องโน้ตแรกอาจารย์ก็รู้เลยว่าคุณไม่ได้ซ้อม ทั้ง ๆ ที่เราคิดว่าเขาไม่รู้หรอกว่าเราไม่ได้ซ้อม แต่ว่าการที่เราไปนั่งดูคือมันฟ้องทุกอย่างเลยว่าคุณไม่มีวินัย เราเลยต้องบังคับตัวเอง ไม่มีใครมานั่งบอกว่า เฮ้ย อิ้งค์ไปซ้อมเดี๋ยวนี้ เราต้องบอกตัวเองว่า เฮ้ย อิ้งค์วันนี้ต้องซ้อมว่ะ ต้องซ้อมแล้วนะ อะไรอย่างนี้ The People : เรียนดนตรีคือสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิต ?
 อิ้งค์ : อิ้งค์ว่าการร้องโอเปร่ายากสุดแล้วในชีวิตอิ้งค์ที่อิ้งค์ทำมา คือยากมาก เราต้องร้องทุกโน้ตให้ตรง หรือว่าการไปยืนร้องนิ่ง ๆ ด้วยนะคะ คือยืนนิ่ง ๆ ยืนสวย ๆ แล้วคนดูก็จะนั่งโฟกัสที่เราอย่างเดียวจริง ๆ มันก็จะมีการซ้อมเรื่องอยู่ต่อหน้าคนอื่น เรื่องการเป็น performer ที่ดีว่า เออ เราจะทำยังไงในการยืนนิ่ง ๆ สวย ๆ หรือว่าใช้มือนิดหน่อยเท่านั้น คือให้คนรู้สึกถึงมันได้จริง ๆ อิ้งค์-วรันธร เปานิล เรียนดนตรีมันยากนะ ! กับความน่ารักสดใสที่บางครั้งก็แอบทุกข์บ้าง The People : ได้ข่าวว่า อิ้งค์ วรันธร เป็นคนเป๊ะสุด ! 
อิ้งค์ : ถามว่าเป็นคนเป๊ะไหม เป็นคนค่อนข้างเป๊ะ แต่ไม่ได้เป๊ะขนาดว่าร้องเพี้ยนไม่ได้เลย หรือว่าเพี้ยนโน้ตหนึ่งแล้วจะร้องไห้ คือเป็นคนที่รู้สึกว่าเราใช้ร่างกายเราร้องเพลง คือทุกคนอาจจะมีเครื่องดนตรีเป็นกีต้าร์ เป็นกลอง เป็นคีย์บอร์ด ซึ่งทุกอย่างมันจะแบบโอเค เราเล่นมันนะ แต่ว่าอันนี้เราใช้ร่างกายเราเป็นเครื่องดนตรีนึกออกไหมคะ ซึ่งขนาดคนปกติยังสามารถป่วยได้ ตอนนี้หายใจเข้าไปยังสำลักได้ คือมันสามารถเกิด accident ได้ตลอดเวลา การร้องเพลงเพี้ยนนิดหน่อย คือโอเคมันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรมาก ๆ สำหรับนักร้อง แต่ว่าด้วยการที่อยู่บนเวทีมันมีทั้งการเอนเตอร์เทน มีนู่นมีนี่ บางทีข้อผิดพลาดบางอย่างเราก็ต้องให้อภัยตัวเอง เพื่อที่จะได้มาปรับปรุงครั้งหน้า เราจะได้ไม่เป็นอีก The People : อิ้งค์ดูหลงรักในดนตรีแบบเก่า ๆ หรือวินเทจซาวนด์ทั้งหลาย แต่ว่าในมุมหนึ่งก็แอบมีความใหม่ในแบบเราเข้าไปด้วย
 อิ้งค์ : ด้วยความที่เราชอบเพลงซินท์ป็อป แล้วอิ้งค์เป็นคนที่ฟังเพลงเก่า ๆ ค่อนข้างเยอะ เพราะว่าคุณพ่อจะฟังเพลงเก่า ๆ เยอะมาก แบบ Carpenters, The Beatles ฟังในรถเวลาขับรถ เราก็จะเหมือนซึมซับมาโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว แต่ว่าทุกครั้งที่เรากลับไปฟัง เราก็จะร้องได้และรู้สึกสบายที่จะฟัง หรือแม้กระทั่งเพลงไทยเก่า ๆ อิ้งค์ก็ชอบกลับไปฟัง เพลงที่ไม่ได้อยู่ในยุคอิ้งค์เลย พวก สี่เต่าเธอ หรือ Kidnappers เก่า ๆ คือซินท์ป็อปมันมีมานานมากแล้ว แต่ว่าอาจจะเพิ่งกลับมาบูม เป็นที่นิยม มันเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นหูอยู่แล้ว แล้วก็อยู่ในชีวิตทุกคนมานานแล้ว เราก็เลยชอบด้วย The People : เป็นคนที่ชอบเสน่ห์ของ “ความเก่า” โดยเฉพาะแผ่นเสียงและกล้องฟิล์ม ?
 อิ้งค์ : อิ้งค์ชอบหลายอย่างมาก แต่มันก็จะมีอะไรวินเทจที่เล่นบ้าง มีกล้องฟิล์ม มีแผ่นเสียงบ้าง เราชอบการเอากล้องฟิล์มมาเล่น บางทีรูปที่เราถ่าย เวลาเอาไปล้างความรู้สึกมันต่างกัน หรือว่าบางทีความนานของมันทำให้เรารู้จักรอ แล้วพอออกมาก็จะเป็นสิ่งที่เราคาดหวังว่า เอ๊ะ จะเป็นยังไง พอออกมาแล้วไม่ใช่สิ่งที่เราคิด แต่ว่าดันสวยกว่าที่เราคิดก็มี แล้วกล้องฟิล์มเป็นอะไรที่ต้องคิดแล้วว่าจะสวย เราถึงจะกดถ่าย จะไม่เหมือนกล้องดิจิทัลทั่วไปที่แบบอยู่ ๆ ก็หยิบมาแล้วก็ถ่าย ๆ ๆ มันจะอย่างนั้นไม่ได้ เราก็จะคิดแล้วว่ามุมนี้จะสวยไหม เวลาไปเที่ยวก็จะเล็ง ๆ ก่อน ว่าเออ อยากให้ฟิล์มเราออกมาเป็นยังไง อิ้งค์-วรันธร เปานิล เรียนดนตรีมันยากนะ ! กับความน่ารักสดใสที่บางครั้งก็แอบทุกข์บ้าง 

The People : อิ้งค์ เป็นศิลปินในยุค Streaming ที่ชอบเก็บแผ่นเสียง ? 
อิ้งค์ : เพราะว่าจริง ๆ Streaming มันคือฟังในอากาศ แต่ว่าการที่เรามีซีดีอันหนึ่งหรือว่าแผ่นเพลงอันหนึ่งมาเก็บไว้ มันรู้สึกว่าต่อให้อีก 30 ปี 40 ปี อิ้งค์แก่ไปแล้ว ก็ยังมีสิ่งที่ยืนยันว่ามันมีอยู่จริง มันเป็นสิ่งที่...สมมติว่ามีลายเซ็นอิ้งค์อยู่ในนั้น มันเหมือนทดแทนความทรงจำในช่วงนั้น ๆ ได้เลย The People : ในโซเชียล อิ้งค์ ถ่ายรูปของกินเยอะมาก ! ไม่กลัวอ้วนเหรอ 
อิ้งค์ : คือจริง ๆ ไม่ใช่คนกลัวอ้วน แต่ว่าด้วยความที่มาอยู่ตรงนี้ก็ต้องกลัวอ้วนเป็นเรื่องปริยายเลย คือมีแนวคิดอันหนึ่ง คือคิดก่อนที่จะลดความอ้วนหลังจากที่ขึ้น 4 โล คืออิ้งค์คิดว่า ถ้าไม่ผอมตอนนี้จะไปผอมตอนไหน ไม่ใช่ว่าเราไปเอาคอมเมนต์คนอื่นมาใส่ใจ แต่เรารู้สึกว่าเราเหลือเวลาที่จะเป็นผู้หญิงวัย 20-30 เนี่ยอีกประมาณ 5 ปี อิ้งค์รู้สึกว่าถ้าอิ้งค์ไม่ผอมตอนนี้อิ้งค์จะไปผอมหลัง 30 ซึ่งอิ้งค์จะแต่งตัวไม่สนุกแล้ว จะไม่ออกไปถ่ายรูปแบบเก๊กท่าอะไรอย่างนี้แล้ว รู้สึกว่ามันจะเป็นอีก part หนึ่งของชีวิตที่เราไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก อิ้งค์ก็เลย โอเค เรามาลดความอ้วนกันดีกว่า เรามาทำให้ตัวเองดูสวยที่สุดในชีวิตในช่วงนี้ดีกว่า จะได้ไม่เสียดายที่ 30 แล้วย้อนกลับมา ทำไมตอนสาว ๆ ฉันไม่ผอมนะอะไรอย่างนี้ ก็เป็นความคิดอย่างนั้นมากกว่า The People : มองความรักในแง่ไหน “บวกหรือลบ”
 อิ้งค์ : อิ้งค์มองมันค่อนข้างเป็นสิ่งที่ดีนะคะ คือไม่ได้กลัวความรัก แล้วไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่น่ากลัวเลย หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าความรักมันน่ากลัวมาก มีแล้วเดี๋ยวก็ต้องทุกข์ แต่อิ้งค์รู้สึกว่าถ้าเป็นความรักจริง ๆ ก็จะไม่ได้ทุกข์ขนาดนั้น อิ้งค์-วรันธร เปานิล เรียนดนตรีมันยากนะ ! กับความน่ารักสดใสที่บางครั้งก็แอบทุกข์บ้าง 
The People : หลายคนชอบความน่ารักบนเวทีของอิ้งค์ ส่วนตัวมองตัวเองน่ารักไหม ? อิ้งค์ : จริง ๆ อิ้งค์ว่าไม่ได้ขนาดนั้น คือรู้สึกว่าเวลาเราอยู่บนเวที เรา enjoy กับการร้องเพลง เราไม่ได้คิดว่าเราจะเต้นท่าไหน อยาก move อะไรยังไงเราก็ move หรือว่าอยากยิ้มให้ใคร ยิ้มให้คนที่มองเราขึ้นมาเราก็ยิ้ม เราไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนน่ารัก ฉันเต้นแบบนี้ฉันจะน่ารัก คือเรารู้สึกว่าโอเค beat มันมาแบบนี้อยากเต้นแบบนี้เราก็เต้น เวลาที่มีคนบอกว่าเราน่ารัก ก็รู้สึกขอบคุณเขานะ เพราะว่าบางทีก็มองว่าตัวเองไม่ใช่คนสดใสขนาดนั้น ก็ยังมีมุมอื่นในชีวิตที่อิ้งค์ต้องเจอ ที่อิ้งค์ต้องจัดการเหมือนกัน แต่ว่าเป็นคนที่อยากจะสดใสเหมือนกัน เป็นคนที่รู้สึกว่าความสดใส เวลาที่เรายิ้ม เวลาที่เรามีความสุขมันดีมากเลย ชอบกลับมามองตัวเองเวลาที่เรามีความสุขมาก ๆ เพราะว่าไม่รู้สิ...บางทีกลับมามองก็แอบมีความทุกข์เหมือนกันนิดนึงว่าฉันเคยสดใสขนาดนี้นะ ก็เป็นสิ่งที่เตือนเราว่าเราต้องสดใส The People : คิดว่าตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อิ้งค์ : อีก 10 ปี ก็จะกลายเป็นคุณ “พี่อิ้งค์” ก็จะไม่ใช่น้องอิ้งค์แล้ว เราก็ไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะต้องเจออะไรบ้าง แต่ก็เชื่อว่าเราจะยังอยู่กับการร้องเพลงแน่นอน ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งในโลกนี้ The People : ฝากผลงานหน่อย
 อิ้งค์ : ก็ฝากเพลง “ดีใจด้วยนะ” ด้วยนะคะ เพลงนี้เป็นเพลงที่พูดถึงความรู้สึกของคนคนหนึ่งที่เราเห็นแฟนเก่าเรากับความรักครั้งใหม่แล้ว เป็นเพลงที่เศร้าที่สุดของอิ้งค์ไหม ก็น่าจะเศร้าที่สุด มันเหมือนว่าความดีใจนี้มันดีใจกับเขา แต่ว่าไม่ได้ดีใจกับตัวเอง ก็ต้องทนอยู่กับความทุกข์ของตัวเองไป เพราะเขามีความสุขไปแล้ว ก็สามารถฟังได้แล้วค่ะที่ YouYube Channel Boxx Music ก็มี MVแล้วด้วยค่ะ ฝากด้วยค่ะ