“จริงๆ มันก็เหนื่อยนะ” สัมภาษณ์ จีน่า เดอซูซ่า กับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของวัยรุ่น

“จริงๆ มันก็เหนื่อยนะ” สัมภาษณ์ จีน่า เดอซูซ่า กับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของวัยรุ่น

ด้วยวัยเพียง 21 ปี จีน่าก็เป็นคนคนหนึ่งที่พบเจอกับความสับสนและความเจ็บปวดไม่ต่างจากวัยรุ่นทั่วไป เพียงแต่เธอพยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และก้าวข้ามความเจ็บปวดนั้น ทำให้เธอดูเข้มแข็งกว่าคนอื่นเสียหน่อย เราจึงชวนเธอคุยเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านช่วงวัยรุ่น

หลายคนรู้จัก จีน่า เดอซูซ่า นักร้องสาวลูกครึ่งไทย-โปรตุเกส จากซิงเกิลแรก “จริงๆ มันก็ดีนะ” ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ เมโลดี้แปลกใหม่ และแฟชั่นการแต่งตัวที่จัดจ้าน ทำให้เธอโดดเด่นมีเสน่ห์และได้รับความนิยมตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว ล่าสุดเธอกลับมาในซิงเกิลลำดับที่ 5 “ไบโพลาร์” จีน่าเปลี่ยนจากภาพลักษณ์สาวเปรี้ยวสดใส มาเป็นสาวคมเข้มท่าทีจริงจัง ซึ่งเธอบอกกับเราว่า “เป็นตัวเอง” มากที่สุดแล้ว ด้วยวัยเพียง 21 ปี จีน่าก็เป็นคนๆ หนึ่งที่พบเจอกับความสับสนและความเจ็บปวดไม่ต่างจากวัยรุ่นทั่วไป เพียงแต่เธอพยายามเรียนรู้ ทำความเข้าใจ และก้าวข้ามความเจ็บปวดนั้น ทำให้เธอดูเข้มแข็งกว่าคนอื่นเสียหน่อย เราจึงชวนเธอคุยเรื่องราวการเปลี่ยนผ่านช่วงวัยรุ่น ซึ่งจีน่าก็ตอบเราด้วยความจริงจังอย่างจริงใจ   “จริงๆ มันก็เหนื่อยนะ” สัมภาษณ์ จีน่า เดอซูซ่า กับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของวัยรุ่น   The People: เคยได้ยินมาว่า “เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย” จริงไหม? จีน่า: เห็นด้วยนะ วัยรุ่นมันมีช่วงที่ Lose เหมือนกัน ทุกคนจะมีช่วงที่กำลังโตหรือโตขึ้นมาแล้วไม่รู้ว่าตัวเองชอบทำอะไร ไม่รู้ว่าที่จริงนิสัยตัวเองเป็นอย่างไร มีช่วงสับสน หรือมีปัญหาเรื่องความรัก วัยรุ่นมันมีสิ่งเร้ารอบตัวเยอะเลยวุ่นวายกว่าวัยผู้ใหญ่ แต่พอเราโตขึ้นไปในระดับหนึ่งทุกอย่างในชีวิตจะลงตัวมากกว่านี้ พอเป็นวัยรุ่นเราจะไม่กำหนดตัวเอง แล้วแต่ใจเราเลยว่าอยากทำอะไร อยากคุยกับใคร หรือเกเรไม่อยากทำก็ได้ น่าคิดว่าวัยรุ่นมันไม่กลัวว่าจะไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกแล้ว วัยรุ่นเลยเป็นวัยที่ค่อนข้างสนุก ได้ลองทำอะไรๆ หลายที่ตัวเองชอบ เพราะเป็นวัยที่กำลังค้นหาว่าอะไรคือตัวเราจริงๆ  

The People: จีน่าทำอะไรมาหลายอย่างทั้งเรียนกราฟิก ถ่ายภาพ แสดงภาพยนตร์ อะไรคือเสน่ห์ของการร้องเพลงที่ทำให้เลือกเดินสายนี้

จีน่า: น่าเพิ่งรู้เสน่ห์ของการร้องเพลงหลังจากเริ่มร้องมาแล้วสักพักหนึ่ง ตอนเด็กๆ เราชอบร้องเพลงเหมือนเด็กที่ฟังอะไรแล้วร้องตาม ไม่ได้คิดว่าจะเติบโตมาเป็นนักร้องหรือศิลปิน พอเรียนไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าการร้องเพลงเข้ามาอยู่ในชีวิตไปแล้ว เริ่มรู้สึกว่ารักมันจัง พอวันหนึ่งได้เป็นนักร้องจริงๆ มันเหมือนฝัน เรารู้สึกรักวันนั้นที่ยังไม่ทิ้งการร้องเพลง เพราะเราเคยทิ้งมันไปพยายามเรียนกราฟิก วาดรูป หรือทำอย่างอื่นที่คิดว่าตัวเองอิน แต่สุดท้ายมันก็กลับมาที่การร้องเพลงอยู่ดี มันคือความสุขที่สุดแล้ว แต่งานอื่นๆ เช่น การทำเบื้องหลังภาพยนตร์ซึ่งมันเป็นงานที่ต้องทำร่วมกับคนอื่นคนละครึ่ง บางทีมันมีกรอบที่คนอื่นกำหนดมาซึ่งเราทำแบบนั้นไม่ได้ เราเลยคิดว่าจะไม่พยายามดั้นด้นไปเรียนอะไรที่ตอนนี้เราไม่อิน น่าคิดว่าเราไม่ควรไปอยู่ในหลายๆ โอกาส หรือไปแย่งคนอื่นที่เขารู้สึกอินกับเรื่องนั้นมากๆ เหมือนที่เราอินกับการร้องเพลง น่าเลยเลือกที่จะซื่อสัตย์กับการร้องเพลงมากกว่า ก่อนหน้านี้น่าไม่กล้าเข้ามาในวงการบันเทิงเลย น่าคิดว่าวงการบันเทิงมันจะเปลี่ยนน่า เปลี่ยนตัวตน เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนทัศนคติ (attitude) หรือเปลี่ยนความมั่นใจในตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรเรา น่าก็เป็นมนุษย์ปกติคนหนึ่ง   “จริงๆ มันก็เหนื่อยนะ” สัมภาษณ์ จีน่า เดอซูซ่า กับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของวัยรุ่น  

The People: จีน่าเติบโตมาจากโซเชียลมีเดีย คิดว่าโลกโซเชียลฯ ทำให้คนๆ หนึ่งเข้าวงการบันเทิงง่ายไปไหม

จีน่า: โซเชียลมีเดียช่วยให้คนที่มีความสามารถแต่ไม่มีช่องทางแสดงออกได้แชร์ศักยภาพตัวเอง มันเป็นช่องทางที่ดีที่เปิดโอกาสให้คนมีของได้สื่อสารวิธีคิดตัวเองออกมา โชเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่ดีมากๆ ในการเติบโต เพราะมันสามารถพลิกชีวิตคนได้ภายในคืนเดียว ทำให้คนๆ นั้นได้ทำงานแบบ Official น่าคิดว่าโซเชียลมีเดียมันเป็นโอกาศที่ดีสำหรับวัยรุ่น  

The People: ขณะเดียวกันโซเชียลเองก็ดาบสองคมนะ เราอาจถูกจำจากภาพลักษณ์แย่ๆ ในโซเชียลมีเดียได้เหมือนกัน

จีน่า: มันก็เหมือนคนค่ะ เราต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจเขา เราพร้อมให้โอกาสเขาไหม เช่น มีข่าวหลุดว่าดาราสมัยเด็กของชอบแกล้งเพื่อน ตอนนั้นเขาคงไม่คิดว่า “วันหนึ่งตัวเองจะมาเป็นดารา งั้นไม่แกล้งเพื่อนดีกว่า” น่าคิดว่าแต่ละคนมันมีช่วงเวลาที่ทำอะไรแบบไม่คิด อยู่ที่ว่าเราจะให้โอกาสเขาแก้ตัวไหม  

The People: เพราะการให้โอกาสเป็นเรื่องที่ดี

จีน่า: ใช่ค่ะ คนเราสามารถเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ ถ้าความคิดตัวเองเปลี่ยน น่าเชื่อว่าคนที่นิสัยไม่ดีเมื่อวาน สามารถเปลี่ยนเป็นคนที่นิสัยดีในวันนี้ได้ ถ้าเขาเข้าใจอะไรบางอย่างหรือมีโอกาสได้พูดถึงเรื่องที่ทำให้เขาเป็นคนนิสัยแบบนั้น แล้วถ้าวันหนึ่งตัวเขาเข้าใจหรือปล่อยวางกับเรื่องนั้น มันอาจทำให้เขามองโลกเปลี่ยนไป และเปลี่ยนทัศนคติเป็นบวกมากขึ้น บางทีแค่คำพูดแค่เล็กๆ น้อยๆ หรือการให้กำลังใจ ทำให้เขารู้สึกว่ามีคนเข้าใจเขา มันทำให้นิสัยใครบางคนเปลี่ยนได้ น่าเชื่อแบบนั้นเพราะตัวน่าเองก็เคยเป็นคนแบบนั้นมาก่อน เมื่อก่อนเราเคยเป็นคนที่ไม่สนใจโลก ไม่สนใจชีวิตใครเลย คิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง เป็นคนใจร้อน เอาแต่ใจ ขี้หงุดหงิด เราไม่เคยคิดว่าการมีนิสัยแบบนี้มันผิด จนถึงช่วงเวลาทำงานแล้วเจอคนจำนวนมากหรือมีคนเข้ามาอยู่ในชีวิตเราทุกวัน มันทำให้น่าได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ทุกคนเป็นอย่างนั้นเพราะเขามีเหตุผลของเขา เหมือนเรามองคนแล้วต้องเห็น background ของเขาด้วย เราแค่ต้องเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วยอมรับเรื่องจริงให้ได้ แค่นั้น  

The People: การเข้าใจคนอื่นเป็นการทลายกำแพงตัวตนด้วยหรือเปล่า

จีน่า: ใช่ ตอนแรกมันเป็นกำแพงที่หนามากๆ เหมือนเป็นโลกที่มีเรายืนอยู่ตรงกลาง แล้วมีกำแพงล้อมรอบตัวเราอยู่แค่คนเดียว น่าไม่เปิดรับใครเข้ามาเลย แล้วเราคิดว่าคงไม่มีใครเข้าใจเรา ไม่มีใครเข้าใจนิสัยหนูหรอก ไม่มีใครเข้าใจตัวตนหนู แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นมานานมาก จนเราเริ่มเปิดใจฟังคนอื่น เริ่มเห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น เราไม่ได้มองแต่เรื่อง Negative มันทำให้เราได้รู้ว่า แต่ละคนเขาก็เป็นเหมือนเรานั่นแหละ เขาก็คิดเหมือนกันว่า “ไม่มีใครเข้าใจกูหรอก” ทุกคนมันเป็นแบบนี้เหมือนกันเว้ย! ไม่แปลกที่เราจะคิดแบบนี้ เราแค่อยู่กับคนอื่นให้เขาสัมผัสได้ว่าเราจริงใจ   “จริงๆ มันก็เหนื่อยนะ” สัมภาษณ์ จีน่า เดอซูซ่า กับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของวัยรุ่น  

The People: มีตัวตนของจีน่าซ่อนอยู่ในเพลงด้วยไหม

จีน่า: ตอนแรกก็มีมุมเหมือนเพลง “จริงๆ มันก็ดี” แต่เป็นมุมที่อยู่กับคนสนิทหรือคนที่เราไม่มีกำแพง มันเป็นมุมมองของน่าเหมือนกันที่อารมณ์บางวูบที่คิดว่า “จริงๆ มันก็ดีที่ไม่มีใครเลย” ก็เป็นตัวตนอารมณ์ของเราเหมือนกันแต่ไม่ใช่เป็นอยู่ตลอด ส่วนซิงเกิลล่าสุด “ไบโพลาร์” เป็นเพลงที่ค่อนข้าง Emotional หลายคนคงไม่เคยเห็นเราในมุมนี้มาก่อน ก็เริ่มๆ กล้าเป็นตัวเองตอนเอากำแพงลง คือหนูเป็นคนคิดมาก แล้วเวลาหนูจะทำอะไรออกมาจะกลัวว่าคนอื่นจะตัดสินว่าหนูเป็นยังไง ทุกคนรู้จักเราจากเพลงแรก หนูเลยไม่กล้าเป็นตัวเองมากขนาดนั้น เพราะกลัวว่าถ้าเป็นตัวเองออกมามากตั้งแต่เพลงแรก คนอื่นจะโอเคไหม คิดยังไงกับตัวเรา เลยคิดว่าเอามุมอื่นที่เข้าใจง่ายไปดูก่อน เลยเลือกที่จะทำเพลง “จริงๆ มันก็ดี” ออกมาก่อน  

The People: “ไบโพลาร์” มีไอเดียจากคนที่สูญเสียความรัก ไปพร้อมๆ กับความเป็นตัวเอง ในฐานะวัยรุ่นคนหนึ่ง อยากรู้ว่าทำไมวัยรุ่นถึงยึดติดความรักกับตัวตนมากขนาดนั้น

จีน่า: น่าเข้าใจนะ เพราะน่าเป็นคนที่อินกับความรักเหมือนกัน เพราะความรักเป็นสิ่งที่เปลี่ยนเราให้มองโลกสวยงามขึ้น อาจไม่ได้โลกสวยแบบ “ว้าว” แต่ก็เห็นข้อดีจากหลายๆ อย่างจากที่ไม่เคยเห็นอะไรเลย มันเป็นความรักจากทุกๆ อย่าง เช่น ความรักจากพี่ที่บริษัท ความรักจากแฟนคลับ ความรักจากทุกคนที่อยู่ข้างๆ หรือความจากคนที่เจอกันทุกวัน  

The People: ความรักทำให้ก็ส่งพลังทางบวกได้เหมือนกัน

จีน่า: ใช่ค่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นความรักแบบแฟนอย่างเดียว แต่น่าก็เข้าใจว่าทำไมความรักเชิงแฟนเราถึงอินแล้วก็หนักขนาดนี้ เพราะปัจจุบันมันมีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือมีกิจกรรมให้มีความทรงจำร่วมกันจำนวนมาก เพียงแต่ว่ามันอาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่สมควร เหมือนตอนเด็กๆ ที่พ่อแม่มักบอกว่า “อย่าเพิ่งมีแฟนตอนเรียน” เราเข้าใจเลยว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงพูดอย่างนี้ มันเป็นเรื่องปกติมากๆ ที่เราจะอินเรื่องความรักตอนวัยรุ่น แต่สุดท้ายแล้วเราต้องรู้ว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองยังไง ต้องรับผิดชอบตัวเองยังไง เช่น วันหนึ่งถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ เราจะไม่ตาย หรือเราจะอยู่ได้เพราะว่าสุดท้ายเราเกิดมาคนเดียว แล้วเราก็ต้องตายคนเดียวอยู่ดี วันที่ดาวน์สุด โอโห! เหมือนเพลง “ไบโพล่าร์” เลย เหมือนตกลงไปอยู่ในถังขยะที่ลึกมาก มืดๆ มองลงไปไม่มีใคร มองขึ้นไปก็ไม่มีมือใครเลย แต่พอผ่านเรื่องนี้มาได้ จากที่คิดว่าไม่มีทางออก ยังไงเราก็หาทางออกมาได้ การมองโลกบวกขึ้นทำให้เรามองเห็นอะไรหลายหลายอย่าง ทำให้เราไม่ฟุ้งซ่านด้วย เพราะสุดท้ายทุกอย่างมันเกิดจากความฟุ้งซ่านของเรานั่นแหละ คิดไปคนเดียวกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น  

The People: อยากบอกอะไรกับวัยรุ่นที่ฟังเพลง “ไบโพล่าร์”

จีน่า: อยากให้รู้ว่าไม่แปลกเลยแล้วมันก็ธรรมดามาก ๆ ที่เราจะมีความรู้สึกอย่างนั้นตอนที่เราอยู่คนเดียว หาทางออกไม่ได้ หรือไม่มีคนให้คุยจริงๆ ทุกคนอาจจะเคยเจออารมณ์ที่บ้าแล้วฟุ้งซ่านไปคนเดียว คิดเยอะกว่าชีวิตจริง แล้วในสมองเรามันจะดาร์กมา แต่พอมีสติกลับมาคือทุกอย่างมันไม่มีอะไรเลย ก็อยากให้คนที่ฟังเพลงนี้แล้วเช็คตัวเองว่าเป็นแบบในเพลงหรือเปล่า หรือจริงๆ แล้วเราแค่คิดไปเอง จะได้ไม่ต้องรู้สึกแปลกแยก ไม่ต้องรู้สึกว่าอยู่คนเดียวในโลกที่ไม่มีใครเข้าใจ เราจะได้หาทางออกให้จิตใจสงบขึ้น หาอะไรที่เราเคยทำแล้วมีความสุข แค่ต้องห้ามให้ตัวเองคิดมาก สุดท้ายแล้วอยากให้ Forgive เหมือนในมิวสิกวิดีโอค่ะ อยากให้ปล่อยวาง ค่อยๆ ใจเย็นๆ คิดหาวิธีแก้ปัญหาให้กับมัน “จริงๆ มันก็เหนื่อยนะ” สัมภาษณ์ จีน่า เดอซูซ่า กับช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของวัยรุ่น