เกรซี เอบรามส์ (Gracie Abrams) นักร้องวัย 21 ปี เจ้าของเพลงอย่าง ‘Stay’ ‘Friend’ ‘21’ และ ‘I miss you, I’m sorry’ ถือเป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองในวงการดนตรี หลังเธอเพิ่งจะเปิดตัวอีพีอัลบั้มเดบิวต์แรกของตัวเองที่มีชื่อว่า Minor ผลงานแนวป๊อปร่วมสมัยที่ผสมผสานสุ้มเสียงและบันทึกเรื่องราวส่วนตัวของเธอได้เป็นอย่างดี
หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อของเกรซีมากนัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อของพ่อเธอ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักผู้กำกับดังอย่าง เจ.เจ. เอบรามส์ เจ้าพ่อหนังไซไฟแสงแฟลร์อย่าง Super 8, Star Trek และ Star Wars: The Force Awakens
The People มีโอกาสพูดคุยกับเกรซีหลากหลายประเด็น เธอได้เล่าถึงเบื้องหลังความหลงใหลในการเขียนเพลงที่ต่อยอดออกมาเป็นอีพีอัลบั้มชุดนี้ที่เธอนิยามมันว่า “เป็นความเศร้าที่ทำให้มีความสุข” รวมไปถึงเรื่องราวสุดช็อกที่นักร้องสาวเผยกับเราว่า แม้จะมีพ่อเป็นผู้กำกับดัง แต่เธอนั้นไม่เคยชอบหรือดูหนังของพ่อตัวเองเลย
The People: คุณเริ่มสนใจดนตรีได้อย่างไร
เกรซี: ฉันหลงรักการเล่าเรื่องและการได้เรียนรู้เรื่องราวชีวิตของคนอื่น ๆ นั่นทำให้ฉันเริ่มชอบศิลปินที่กล้าที่จะแสดงด้านเปราะบางออกมา และทำให้ฉันเริ่มแต่งเพลงแบบเป็นบ้าเป็นหลังเลย โชคดีที่ฉันมีโอกาสปล่อยเพลงออกมา แต่ถ้าฉันไม่ได้เขียนเพลง ฉันก็คงไปทำงานเขียนด้านอื่นแทน
The People: ใครเป็นแรงบันดาลใจด้านดนตรีของคุณ
เกรซี: โจนี มิตเชลล์ (Joni Mitchell) ฉันรู้สึกว่าเธอคือปรมาจารย์ในสิ่งที่เธอทำและฉันรักเธอ
The People: คุณมีอัลบั้มที่ถึงขนาดว่าฟังแล้วเปลี่ยนชีวิตคุณเลยไหม
เกรซี: อัลบั้มชื่อ Pure Heroine ของ Lorde ปล่อยออกมาตอนที่ฉันอยู่มัธยมต้น ฉันรู้สึกว่าอัลบั้มนั้นเข้ากับตัวตนของฉันสมัยวัยรุ่น ฉันรู้สึกเชื่อมโยงกับเนื้อเพลงของเธอ และฉันยังสนใจการที่ดนตรีทำให้เสียงร้องของเธอโดดเด่นขึ้นด้วย อัลบั้มนั้นทำให้ฉันมองดนตรีเปลี่ยนไปเลย
The People: คุณเริ่มแต่งเพลงตอน 8 ขวบ เพลงนั้นมีแรงบันดาลใจจากอะไร
เกรซี: ฉันทำการบ้านหายตอนสมัยประถมจนฉันรู้สึกเศร้ามาก ฉันเลยตัดสินใจแต่งเพลงเกี่ยวกับการบ้านที่หายไป
The People: อัลบั้มของคุณให้ความรู้สึกเศร้าและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน อารมณ์ความรู้สึกที่คุณอยากจะถ่ายทอดออกมาในอัลบั้มนี้เป็นแบบไหน
เกรซี: ฉันทำอัลบั้มนี้ตอนที่ตัวเองรู้สึกโดดเดี่ยวและเสียใจจากปัญหาความสัมพันธ์ ซึ่งก็คงเป็นเหตุการณ์ที่หลายคนคงเคยเจอ แต่ตอนที่ฉันเจอกับตัวฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมากจริง ๆ ฉันดีใจนะที่ได้ทำเพลงออกมา แล้วมีโอกาสได้พูดคุยกับคนที่ฟังเพลงของฉันและพบว่าพวกเขาก็รู้สึกเหมือนกัน มันทำให้ฉันไม่ได้รู้สึกโดดเดี่ยวเท่าเดิมอีกแล้ว
The People: คุณนิยามเพลงของคุณว่าเป็นเพลงเศร้าที่ทำให้คุณมีความสุข เพราะอะไรคุณถึงรู้สึกว่าความเศร้าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณ
เกรซี: ฉันรู้สึกว่าความเศร้ามันเจ๋งนะ เพราะมันมักจะมีอีกด้านหนึ่งอยู่เสมอ เวลาเศร้า ฉันจะพยายามคิดว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกนี้อย่างไร เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร หรือทำอย่างไรให้รู้จักตัวเองมากขึ้น และนั่นเป็นสิ่งที่ช่วยฉันในการแต่งเพลงในอนาคต
ตอนทำอัลบั้ม Minor ฉันรู้สึกว่าฉันต้องมานั่งประมวลผลว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร เหมือนการบำบัดอย่างหนึ่งเลย จนตอนนี้ฉันรู้สึกว่าฉันสามารถแต่งเพลงเกี่ยวกับสิ่งอื่น ๆ ได้แล้ว แต่ถ้าไม่ได้แต่งเพลงเกี่ยวกับความเศร้ามาก่อน ฉันก็คงไม่สามารถก้าวผ่านจุดนั้นมาได้
The People: คุณได้เรียนรู้อะไรจากความเจ็บปวดในอดีต
เกรซี: ก่อนหน้านี้ฉันไม่ค่อยได้หันกลับมามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าฉันทำอะไรพลาดไปตรงไหน ต้องขอบคุณ Minor ที่ทำให้ฉันได้หันมามองการกระทำของตัวเอง และพิจารณาว่าฉันควรจะทำอะไรเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น ฉันเติบโตจากมัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี
The People: ศิลปินแต่ละคนจะมีกระบวนการแต่งเพลงที่ต่างกันออกไป สำหรับคุณเพลงต่าง ๆ เริ่มอย่างไร
เกรซี: แต่ละครั้งก็จะต่างกันไป แต่ฉันเขียนไดอารี่ทุกวัน ฉันพยายามจดทุกอย่างให้ได้มากที่สุด ฉันจะได้ไม่ลืมว่าเคยรู้สึกอย่างไรในสถานการณ์แบบไหน ทุกครั้งที่ฉันต้องไปสตูดิโอก็จะเอาไดอารี่ไปด้วย เพราะมันมีข้อมูลเยอะมากที่สามารถนำมาใช้ได้ โดยปกติแล้วเพลงของฉันก็เริ่มมาจากตรงนั้นแหละ
The People: ความทรงจำเกี่ยวกับดนตรีที่คุณประทับใจที่สุดคืออะไร
เกรซี: ล่าสุดคือตอนที่ฉันอยู่นิวยอร์กและได้ไปดูคอนเสิร์ตของเจมส์ เบลค กับเพื่อน ๆ มหา’ลัย นั่นทำให้ฉันรู้สึกถึงพลังของดนตรี พลังที่รวมให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันจากประสบการณ์ที่ทุกคนเคยมีเหมือนกัน ความรู้สึกที่ฉันมีต่อดนตรีของเขาก็ไม่เหมือนสมัยก่อนด้วย เพราะฉันอยู่ในช่วงชีวิตที่ต่างออกไป มันเป็นเหมือนสิ่งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ในเวลาเดียวกัน ฉันจะไม่ลืมความทรงจำนั้นเลย
The People: คุณพ่อของคุณเป็นผู้กำกับชื่อดัง และเปี่ยมไปด้วยเทคนิคต่าง ๆ คุณเคยคิดจะให้เขาช่วยมาเป็นผู้กำกับเอ็มวีของคุณไหม
เกรซี: ไม่มีทาง มันก็มีบางครั้งนะที่ฉันทำอะไรผ่าน Zoom แล้วเขาก็จะถามว่า “อยากได้แสงที่ดีกว่านี้ไหม” แล้วฉันก็บอกว่า ไม่ ฉันรักเขานะแต่ว่าผลงานของเราไม่ได้มีส่วนคาบเกี่ยวกันเลย
The People: ภาพยนตร์เรื่องไหนของคุณพ่อ ที่คุณคิดว่าเข้ากับเพลงของคุณที่สุด
เกรซี: เอาตรง ๆ นะ ฉันไม่ดูภาพยนตร์ของเขาด้วยซ้ำ เป็นลูกที่แย่ไหมล่ะ แต่ฉันรักเขานะ
[caption id="attachment_26701" align="aligncenter" width="491"]
เกรซี กับคุณพ่อ เจ.เจ.[/caption]
The People: ชีวิตของคุณในเส้นทางดนตรีกำลังเริ่มต้น คุณวางแผนเป้าหมายชีวิตและวิธีที่จะไปถึงเป้าหมายนั้นอย่างไรบ้าง
เกรซี: ฉันคิดว่าถ้าคนยังฟังเพลงของฉันอยู่ ฉันก็จะทำเพลงต่อไปเรื่อย ๆ ฉันมีเป้าหมายเล็ก ๆ เยอะนะ เช่น ฉันอยากจะเลิกตื่นเวที อยากจะทำงานร่วมกับศิลปินที่ฉันชื่นชมมาตลอด รวมทั้งหวังว่าในอนาคตฉันจะยังเป็นตัวของตัวเอง และทำตามสิ่งที่ฉันอยากทำมากกว่าทำตามสิ่งที่วงการดนตรีกำหนดทิศทางเอาไว้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ฉันโชคดีที่มีเพื่อนและครอบครัว และหวังว่าฉันจะรักษาพวกเขาไว้ให้ได้นานที่สุด
The People: ปัจจุบันคนเปลี่ยนจากการฟังเพลงจากแผ่นซีดีมาสตรีมเพลงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ คุณคิดว่าการมีบริการสตรีมเพลงเป็นเรื่องดีไหม เพราะนั่นแลกมาด้วยการจากไปของตลาดแบบ physical
เกรซี: ฉันเติบโตมากับการฟังซีดีของ Green Day จากเครื่องเล่นซีดีสีฟ้าอ่อนที่ปลายเตียงทุกคืน การฟังเพลงจากแผ่นซีดีจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางใจต่อฉัน ขณะเดียวกันบริการสตรีมเพลงก็เป็นอีกช่องทางที่ให้โอกาสศิลปินจำนวนมากในการแชร์เพลงของเขา และทำให้ผู้คนได้ค้นพบดนตรีใหม่ ๆ ฉันได้รู้จักดนตรีแบบใหม่ ๆ เพราะใช้บริการสตรีมเพลงนี่แหละ ดังนั้นฉันขอบคุณมันนะ และการสตรีมเพลงก็ทำให้เราได้เห็นว่าคนฟังเพลงของเราในแบบที่ต่างออกไป ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับยอดขายแผ่นซีดีอีกแล้ว
The People: คุณชอบเพลงไหนจากอัลบั้มของคุณที่สุด
เกรซี: มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ถ้าเป็นเมื่อวานฉันคงตอบว่า ‘Minor’ แต่ว่าวันนี้ฉันเพิ่งซ้อมเพลง ‘21’ ไป และฉันชอบเพลงนั้นมาก มันทำให้ฉันรู้สึกดี และเป็นหนึ่งในไม่กี่เพลงที่ตอนฉันแต่ง ฉันรู้สึกว่าฉันโยกไปกับมันได้
The People: ดนตรีสำคัญอย่างไรสำหรับคุณ
เกรซี: ดนตรีเป็นเหมือนลมหายใจที่ฉันต้องการในชีวิต
The People: คุณอยากจะบอกอะไรกับแฟนเพลงชาวไทยบ้าง
เกรซี: ฉันรู้สึกว่าโซเชียลมีเดียทำให้ฉันเข้าถึงแฟน ๆ และได้รับกำลังใจจากพวกเขาในแบบที่แตกต่างจากที่อื่น ฉันขอบคุณทุกคนที่สนับสนุน ฉันไม่เคยไปประเทศไทยเลย นี่เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก ฉันอดใจไม่ไหวแล้วที่จะไปประเทศไทยและกอดแฟนเพลงทุกคน