อร BNK48: หนังสือเล่มแรก เที่ยวอิตาลี แฟชั่นนิสตา ความหลงใหลในน้ำหอม

อร BNK48: หนังสือเล่มแรก เที่ยวอิตาลี แฟชั่นนิสตา ความหลงใหลในน้ำหอม

พัศชนันท์ เจียจิรโชติ หรือ อร BNK48 กับเรื่องราวของการเขียนหนังสือ Orn The Way หนังสือเล่มแรก ที่เป็นบทบันทึกว่าด้วยการเดินทางเที่ยวอิตาลี 7 วัน สะท้อนความหลงใหลในน้ำหอม

2-3 ปีที่ผ่านมาที่เรารู้จักกับพัศชนันท์ เจียจิรโชติ หรือ อร BNK48 เราจะเห็นเธอในหลากหลายบทบาท ทั้งบทบาทของไอดอล บทบาทการแสดงที่เคยผ่านตาไปแล้วในภาพยนตร์เรื่อง App War แอปชนแอป

และล่าสุด เธอเขียนหนังสือที่มีชื่อว่า Orn The Way หนังสือเล่มแรกกับบทบันทึกว่าด้วยการเดินทางเที่ยวอิตาลีของเธอใน 7 วัน บทสัมภาษณ์ อร BNK48 จะทำให้ผู้อ่านเห็นอีกมุมหนึ่งของ อร BNK48 ทั้งเรื่อง การเป็นนักเขียน การเป็นแฟชั่นนิสตา ความฝันของเด็กสาว และความหลงใหลในน้ำหอม เป็นอะไรที่มากกว่าคำว่า อรอุ๋ง ที่เราเคยรู้จัก

อร BNK48: หนังสือเล่มแรก เที่ยวอิตาลี แฟชั่นนิสตา ความหลงใหลในน้ำหอม

The People: คนพูดถึงหนังสืออย่างไรบ้าง

อร BNK48: ค่อนข้างดีเลยค่ะ แฟนคลับบอกเขียนดีมาก ไม่คิดว่าหนูจะเขียนได้ (หัวเราะ) คืออย่างภาพลักษณ์หนูจะดูไม่น่าเป็นคนอ่านหนังสือ อย่างบางคนจะเข้าใจตรงนี้ ก็คือคนที่ไม่เคยเห็นว่าที่จริงหนูก็เป็นนักอ่านคนหนึ่งเหมือนกัน เขาจะค่อนข้างแบบเอ๊ะ เขียนดีนะ แล้วก็เหมือนอยากให้มีเล่มถัดไป

The People: ให้คะแนนงานเขียนตัวเองเท่าไหร่

อร BNK48: ถ้าเต็ม 10 หนูให้ 7 เพราะว่าเอาตรง ๆ คือหนูเป็นพวกไม่อยากอะไรให้มันเต็มร้อยเกินไป เหมือนแบบ...จะให้เต็ม 10 เลยมันก็ยังไม่สุด หนูยังรู้สึกว่าอย่างที่บอกหนูยังเป็นน้องใหม่ในวงการการเขียน ยังเป็นน้องใหม่ในการเป็นนักเขียน ก็เลยคิดว่าเราให้ 7 แล้วกัน ถ่อมตน ให้ 7 แล้วกันค่ะ

The People: เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นนักเขียนไหม

อร BNK48: หนูเคยเป็นนักเขียนนิยายนะคะในเว็บเด็กดีนั่นเองค่ะ เขียนตั้งแต่เด็กแล้ว ตอนนั้นฟีดแบ็กค่อนข้างน้อยค่ะเหมือนคนอ่าน 2-3 คน (หัวเราะ) เหมือนช่วงนั้นมันบูม การเขียนนิยายในเน็ตเป็นอะไรที่บูมมากตอนนั้น เราก็เลยไม่รู้ว่าที่จริงแล้วการเขียนเราเป็นยังไง

The People: แสดงว่าพื้นฐานเป็นคนอ่านหนังสือเยอะ

อร BNK48: ใช่ค่ะ หนูอ่านตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะว่าติดนิสัยการอ่านจากคุณพ่อ ก็คือคุณพ่อจะมีตู้หนังสือ เต็มไปด้วยหนังสือวิทยาศาสตร์นู่นนี่นั่น ตอนเด็กหนูก็เลยนั่งอ่าน หรือว่าหนังสือสังคม

คือคุณพ่อชอบประวัติศาสตร์อย่างนี้ค่ะ จะมีตู้หนังสือโดยเฉพาะ แล้วก็คุณพ่อจะเป็นคนชอบจดไดอารี หนูก็เลยได้นิสัยการอ่านจากตรงนั้นด้วยค่ะ เหมือนคุณพ่อก็สนับสนุนในการอ่านหนังสือ เวลาคุณพ่อก็ให้ตังค์มาแบบ เอาไปพันหนึ่งซื้อหนังสืออะไรอย่างนี้

ตอนนั้นหนูก็เลยติดนิสัยการอ่าน แล้วคุณพ่อแต่งงานกับแม่เลี้ยง ก็คือตอนนั้นหย่ากับคุณแม่แล้วใช่ไหมคะ แล้วก็มีแม่เลี้ยง แล้วแม่เลี้ยงเหมือนเขาเป็นคนอ่านหนังสือ หนูก็เลยติดนิสัยการอ่านหนังสือมาจากเขาด้วย

The People: หนังสือเล่มไหนในตู้หนังสือของคุณพ่อที่ยังจำได้

อร BNK48: เป็นวิทยาศาสตร์ค่ะ เป็นแยกจำพวกแมลง วิทยาศาสตร์ อาณาจักรพืชอาณาจักรสัตว์อะไรอย่างนี้ค่ะ ก็เลยนั่งอ่าน ตอนนั้นคุณพ่อซื้อเป็นปึกเลย เหมือนกับเอามาให้พวกหนูอ่านเหมือนกัน

ส่วนตอนนั้นที่ย้ายไปบ้านใหม่ที่มีแม่เลี้ยง ก็คือแม่เลี้ยงหนูเขาก็มีแบบเป็นลังหนังสือของเขาเลยนะ แล้วคือหนูก็อยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง หนูเลยไปนั่งเปิดอ่าน จำได้ตอนนั้นอ่านนิยายแฟนตาซีครั้งแรกคือ 'White Road’ ของด๊อกเตอร์ป๊อป ตอนนั้นหนูป.4 ป.5 เอง แล้วอ่านนิยายแบบ...อย่างนี้

แล้วเอาไปโรงเรียนด้วย เพื่อนก็เห็นว่าแบบ...ก็เริ่มอ่านด้วย ช่วงนั้นหนังสือบูมมากเลยนะ

The People: ความท้าทายของการเขียนหนังสือคืออะไร

อร BNK48: ท้าทายคือการเริ่มต้นค่ะ คือหนูไม่คิดว่าการเขียนมันต้องเขียนยังไง คือหนูไม่ได้เรียนจบมาด้านวรรณกรรม วิธีการเขียน หรือว่าการเขียนคำนำที่ดี หรือว่าบทความ แต่ก็เคยเรียนเขียนจดหมายนะ ยกตัวอย่างอย่างจดหมายมันก็จะมีแบบเขียนเริ่มต้น การเขียนสรุปอะไรอย่างนี้ใช่ไหมคะ แต่หนูก็ไม่รู้หนังสือมันต้องเขียนแบบนั้นหรือเปล่า มันก็เลยลองเขียนแล้วก็ลบ ก็เขียนอยู่อย่างนั้นเป็นเดือน กว่าจะได้ออกมาบทหนึ่ง

แล้วหนูคิดว่าการเขียนหนังสือคือการต้องไปนั่งทำอารมณ์ ทำมู้ดให้มันดี นั่งคาเฟ่ ตอนนั้นไปเลยค่ะ นั่งเป็นวันเขียนไม่ได้เลย (หัวเราะ) แล้วก็เสียค่ากาแฟไปเฉย ๆ เลยค่ะ ก็นั่งเขียนนู่นนี่นั่นเพื่อให้มันได้ ก็ได้ 7 บทเองนิด ๆ แล้วสุดท้ายก็นั่งแก้ นั่งลบ คือมันไม่รู้จะเขียนอะไร แต่เหมือนหนูก็มีธีม สรุปธีมมาเหมือนกัน คือในเล่มนี้จะมีอยู่ประมาณ 4 ธีม

ธีมแรกที่มิลานอะไรใช่ไหมคะ มันก็จะเหมือนเล่าเรื่องครอบครัวนู่นนี่นั่น เพราะเวลาเราเจอ culture ใหม่ ๆ หรือว่าอะไรใหม่ ๆ แล้วก็ในหลายวันที่เจอตาหวานคุย (ตาหวาน BNK48 คือเพื่อนที่ร่วมเดินทางไปท่องเที่ยวอิตาลี) คือมิตรสหายคุยกับพ่อแม่ตลอด คุยจริง ๆ นะ นั่งคุยโทรศัพท์จน…

หนูก็เลยมานั่งคิดเอ๊ะ มิลานเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวดีไหม เพราะว่าเราก็เห็นว่าตาหวานนั่งคุยกับครอบครัวตลอด แต่หนูแทบไม่ได้คุยเลย ก็เลยเกิดธีมนี้ขึ้นมา แล้วก็ งั้นแต่ละเมืองก็ลองเป็นธีมดูไหม แล้วก็อยากจะลองเอาสิ่งที่เจอในแต่ละเมืองมาทำเป็นธีม

อร BNK48: หนังสือเล่มแรก เที่ยวอิตาลี แฟชั่นนิสตา ความหลงใหลในน้ำหอม

The People: แต่ละเมืองเจออะไรบ้าง

อร BNK48: เวโรนา ก็เกี่ยวกับความรัก โรมิโอกับจูเลียตอะไรอย่างนี้ แต่เวโรนานี่คือหนูคิดธีมนี้ไปตั้งแต่ก่อนที่จะไปแล้ว ก็คือเหมือนทางบ.ก.กาย (ปฏิกาล ภาคกาย) เขาก็ให้อร ไปทำการบ้านในการดูหนัง Romeo Juliet หรือ Letters to Juliet ที่หนูเคยดูแล้ว ให้ไปดูซ้ำ แล้วพอไปมันจะมีอินเนอร์บางอย่างที่มันแบบ...เออ ใช่ว่ะ อะไรอย่างนี้ ก็เลยทำการบ้านทั้งอ่านอะไรอย่างนี้

ตาหวานก็แซวคือหนูเปิดเพลงซาวด์แทรกของ Romeo Juliet เลยนะขณะอาบน้ำ ให้มันบิลด์อารมณ์ให้สุด แล้วก็สิ่งที่เจอในเมืองนั้นมีอะไรบ้าง ซึ่งเอาจริงเมืองนั้นค่อนข้างโรแมนติกนะ อันนี้พูดตรงๆ คือเหมือนเรารับรู้ได้ถึงความรักในเมืองนี้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันเป็นโศกนาฏกรรมความรัก มันไม่ได้สมหวัง แต่เราก็ได้ค้นพบว่ามันมีกลิ่นอายความรักของโรมิโอ จูเลียตไปทั่วเมืองเลย

The People: แล้วเมืองฟลอเรนซ์ล่ะ?

อร BNK48: ฟลอเรนซ์ เอาจริงฟลอเรนซ์ไม่ได้คาดหวังเพราะคิดว่าเป็นแค่เมืองผ่าน ก็คือเราไปลงมิลาน แฟชั่นแล้วก็มาเวโรนา เวโรนาเสร็จก็ต้องมีสักเมืองผ่านเพราะว่ามันว่างก็เลยหาเมือง เอ๊ะ หรือฟลอเรนซ์ดีเพราะมันดูเป็นเมืองศิลปะ ซึ่งก็จริงนะ มันเป็นเมืองที่วุ่นวายแต่มันก็มีความสวยงามในแบบของมันในขณะที่มันวุ่นวายแบบนั้น

แล้วก็สิ่งที่อิตาลีมีก็คือกราฟฟิตี เป็นกราฟฟิตีที่มีอยู่ทั่วอิตาลี ฟลอเรนซ์ก็มีคนมาโชว์เปิดหมวกอะไรอย่างนี้ค่ะ ค่อนข้างเยอะแล้วก็สร้างสรรค์ อย่างบางคนก็โชว์วงดนตรี ฟลอเรนซ์มันค่อนข้างมีสีสัน ถ้าเกิดคนที่แบบไม่ได้ชอบความสงบมากมายก็สามารถไปเดินได้

The People: สุดท้ายที่โรม

อร BNK48: โรม อันนี้ไม่คาดคิด ยิ่งกว่าเมืองผ่าน เขาเรียกว่าเมืองขึ้นสนามบินกลับ ก็คือมันเหลืออีกวันหนึ่งหนูก็เลยเลือกที่จะไปโรมเพราะว่าบินกลับโรม ที่จริงอยากไปหอเอนปิซ่า วาติกันด้วยซ้ำ แต่เวลามันไม่พอ ก็เลยงั้นไปโรม ก็ขึ้นเครื่องบินกลับที่โรม ก็มีเวลาเที่ยวแค่วันเดียวและวันถัดมาก็ขึ้นเครื่องกลับแล้ว ก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไรว่าจะเจออะไรความยิ่งใหญ่กับโรม

แต่พอไปเสร็จนี่คือฉันต้องกลับไปโรมจริง ๆ รู้สึกเวลามันไม่พอหรือว่าเลื่อนตั๋วดีวะ (หัวเราะ) ก็คุยกับตาหวานหรือว่าเลื่อนตั๋วดีค่อยกลับ เดี๋ยวคุยกับค่าย แต่ประเด็นคือมันก็ทำให้อยากจะกลับไปอีกรอบหนึ่งค่ะ

The People: ในช่วง 7 วันที่ไปอิตาลี คุยอะไรกับตัวเองบ้าง

อร BNK48: ใน 7 วันนั้น สิ่งที่ยากคือเรามีเพื่อน เรามีมิตรสหายไปด้วยใช่ไหม เขาเรียกว่ามันจะตกตะกอน มันมีบางเรื่องที่เราไม่เขียนลงไปในหนังสือไม่ได้ แล้วก็ไม่อยากจะเปิดเผยด้วย แล้วมันก็มีบางเรื่องที่มันแบบฉันอยากจะเปิดเผยลงไป การที่มีเพื่อนร่วมทางไปด้วยมันทำให้เราตกตะกอนได้ดียิ่งขึ้น

ส่วนใหญ่จะใช้เวลากับตัวเองมากที่สุด ก็คือตอนอยู่เวโรนาแล้วก็ไปเมืองเล็ก ๆ ข้าง ๆ เวโรนา อันนั้นคือเงียบและสงบมาก ๆ เงียบแบบเงียบจริง เงียบเหมือนคนอยู่ไหนหมด ก็เหมือนเป็นเมืองท่าแล้วก็เป็นแอ่งแล้วลมทะเลก็พัดมาเรื่อย ๆ เย็น ๆ ตอนอากาศค่อนข้างหนาว กินเจลาโตไปด้วยแล้วก็นั่งคิดนู่นนี่นั่น

The People: ถ้าเขียนจดหมายถึงอิตาลีได้ จะเขียนว่าอย่างไร

อร BNK48: ฉันจะกลับมาอีก เจลาโตอร่อยมาก ขอบคุณที่ให้ inspiration แล้วกัน เพราะว่าหนูเป็นคนชอบเสพอาร์ตนะ ชอบเสพอาร์ต เสพความเงียบสงบ เพราะว่าตอนที่อยู่ไทยหรือว่าตอนนี้ ทุกอย่างเราต้องคิดตลอดเวลา มันไม่ได้มานั่งหาความสวยงามของกรุงเทพฯ หรืออะไร

เพราะว่าเราอาจจะเคยเห็นชินกันมานักต่อนักแล้ว มันก็เหมือนเราไปเที่ยวอิตาลี คนอิตาลีก็อาจจะคุ้นชินกับ culture ของตัวเองจนอาจจะไม่ได้สนใจในเมืองเขาก็ได้ ก็เหมือนชาวต่างชาติมาเที่ยวกรุงเทพฯ เขาได้เห็นอะไรมากกว่าที่เราอยู่กับทุกวันนี้ การออกไปเที่ยวมันก็เหมือนการหา inspiration หรือว่าการไปพักผ่อน หรือการหาตัวตนแล้วก็ใช้เวลากับมัน

อร BNK48: หนังสือเล่มแรก เที่ยวอิตาลี แฟชั่นนิสตา ความหลงใหลในน้ำหอม

The People: 5 อย่างที่ทำให้ประทับใจอิตาลี

อร BNK48: เจลาโต ตอนนี้เห็นของกิน เจลาโต สถาปัตยกรรม ศิลปะ พิพิธภัณฑ์ กลิ่นอายความเป็นอิตาลี คือมันพูดไม่ถูกมันต้องไป แล้วก็ไปสัมผัสกับมันจริง ๆ คือเราจะรู้ว่าเรามาถึงอิตาลีแล้ว ก็เหมือนเวลาเราอยู่กรุงเทพฯ เราสัมผัสความเป็นกรุงเทพฯ หรือว่าแม้แต่เราไปเชียงใหม่ก็สัมผัสความเป็นเชียงใหม่ มันจะเป็นกลิ่นอายบางอย่างที่มัน...เราต้องสัมผัสเอง

The People: แล้วทริปนี้ลำบากไหม

อร BNK48: เขาเรียกว่าพระเจ้าอวยพรมากกว่า หนูไม่เจอโจร ไม่เจออะไรที่มันแบบ… อย่างหนูดูคลิป เห็นคลิปที่ลุงคนหนึ่งเขาถ่ายเซลฟีแล้วจะมีคนตาม มิจฉาชีพมาเป็นแก๊งเลย แต่หนู 2 คนอาจจะดูไม่ได้รวยขนาด (หัวเราะ) ดูไม่รวยเขาเลยอาจจะไม่มาปล้นอะไรหรือเปล่า แต่ก็เห็นทั่วไปที่เขาคอยเตือนในพันทิปหรืออะไรอย่างนี้ พวกแบบผูกข้อมือ ให้อาหารนก พวกหนูก็ระวังเต็มที่

ตอนแรกก็ panic แต่รู้สึกว่า panic ไปก็ทำให้ความสนุกมันลดลง ก็ระวังตัวพอสังเขป แล้วก็ชอปปิง ก็เหมือนเด็กสาวไปเที่ยวข้างนอก ก็มีดี๊ด๊านิดหนึ่ง ตื่นเช้าทุกวันเลย ตื่นเช้าจะเดินในเมือง ถ้าเดินในกรุงเทพฯ นี่ก็ไม่ไหว

The People: ที่บอกว่าถ้ามีโอกาสอยากอยู่อิตาลี ตอนนี้ยังคิดแบบนั้นอยู่ไหม

อร BNK48: หนูคิดว่าไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านเรา อันนี้พูดจริง ๆ เพราะขนาดไปอยู่ที่นู่นแล้วหนูยังคิดถึงอาหารไทย มันยังคิดถึงรสชาติอาหารไทย เพราะที่นู่นค่อนข้างจืด สลัดก็ไม่อร่อยอะไรอย่างนี้ ก็เลยคิดว่าถ้าให้ไปอยู่เลยก็คงไม่ คงเป็นบ้านพักตากอากาศดีกว่า แต่ก็คงเลือกเมืองนะคะ อย่างฟลอเรนซ์ก็วุ่นวายไปหน่อย ไม่ค่อยประทับใจ ถ้าให้ไปอยู่เลยก็อาจจะยัง

The People: เขียนหนังสือเล่มแรกจบแล้ว ตอนนี้เริ่มรู้สึกเขียนคล่องขึ้นไหม

อร BNK48: คือตอนนี้เหมือนมีสกิลเพิ่มมา เลเวลที่หนึ่ง ที่สอง แต่อาจจะยังไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์แบบนู่นนี่นั่น คือหนูเข้าใจว่าส่วนใหญ่คนจะคาดหวังหนูต้องเป็นนักเขียนเหมือนเล่มทั่วไปที่มันเขียนแบบดูมีวาทศิลป์ที่ดี ดูมีอะไรที่มัน...ดูยิ่งใหญ่ ดูมีความเป็นนักเขียน

แต่หนูคิดว่าอยากให้เล่มนี้มันเป็นเหมือน journal ของเด็กสาวคนหนึ่งที่เขาไปเที่ยวมา ที่เขาเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เขานึกถึงอะไรบางอย่างก็แค่นั้น ไม่อยากให้คาดหวังเหมือนในเล่มนี้ ที่ช่วยคาดหวังในตัวฉัน ช่วยคาดหวังในแบบที่เป็นของฉันด้วย ไม่อยากให้คาดหวังกันเกินไป

The People: ไปอิตาลีช่วยเพิ่ม passion ในการเป็นแฟชั่นดีไซเนอร์ไหม

อร BNK48: เพิ่มนะคะ คือเอาจริงที่ไปหนูไปดูตามร้านเลยนะว่าแฟชั่นเขาแบบไหน ร้านที่เป็น fast fashion แบบพวก H&M Zara มันจะมีร้านที่เป็น fast fashion กับร้านที่มันเป็น hi-end อยู่แล้วหรือว่าแม้แต่ culture คนของมิลาน เขาแต่งตัวแบบไหน เขาแต่งตัวเหมือนชาตินี้จะไม่ได้แต่งตัวอีกแล้ว

เขาแต่งตัวแบบบูทเท่านี่ (ขน) เฟอร์แบบ… ที่เราเห็นในละครเขาแต่งกันแบบปกติในชีวิตจริงมาก ๆ ซึ่งเราก็พยายามแต่งแบบเขานะแต่ก็ไม่เหมือน คือคนมิลานแต่งตัวเขาจะมีเซนส์ของเขา เนื่องจากว่าเมืองเขามันเป็นเมืองอาร์ตที่เขาจะเห็น inspiration หนูนับถือคนมิลานมาก ๆ เลยนะ เขาค่อนข้างทันสมัยมาก ๆ เลย หรือแม้แต่ร้านแฟชั่นที่วันนี้เป็น collection นี้ อีกวันหนึ่งเขาเพิ่มอันนี้มาแล้ว มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา

The People: อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ดูเป็นคนที่ชอบน้ำหอมมาก

อร BNK48: เป็นไปได้ หนูซื้อเกือบทุกเมืองเลยที่ไปอะไรอย่างนี้ค่ะ จนตาหวานบ่นตัวก็มีอยู่ตัวเดียว ใช้น้ำหอมซะ... คือเอาจริงหนูเป็นพวกที่ชอบอะไรหอม ๆ อย่างนี้ เล่าเมืองแรกก่อน มิลานจะเป็นน้ำหอมที่คนมิลานเขาใช้กัน มันจะมีอยู่ไม่กี่กลิ่น มันเหมือนเป็นกลิ่นประจำเขาด้วยมั้ง

อย่างเข้าห้องน้ำ ทิชชู่ก็เป็นกลิ่นนี้ หรือแม้แต่เดินผ่านก็จะ เอ้ย กลิ่นที่หนึ่ง เจอกลิ่นนี้แล้ว กลิ่นที่สอง ได้กลิ่น แล้วสักพักก็เอ้า กลิ่นที่หนึ่งมาอีกแล้ว คือมันเป็นแบบเดินสวนกันไปสวนกันมาก็ได้กลิ่นนี้ จนเราไปเข้าร้านน้ำหอมแล้วดมว่าไอ้กลิ่นที่เขาใช้คือกลิ่นไหน ซึ่งกลิ่นก็คือ Milano เป็นของแบรนด์หนึ่ง ก็คือคนที่นี่เขาจะใช้แล้วก็เหมือนอนุรักษนิยมในความเป็นชาติ มิลาน แฟชั่นอะไรอย่างนี้ เขาก็จะใช้โทน ๆ นี้หมดเลย

อย่างเวโรนา น้ำหอมกลิ่นมิลานจะไม่ค่อยมี แทบไม่มีกลิ่นน้ำหอมออกมาเลย แต่มันก็เป็นน้ำหอมที่ออกจะ niche ก็คือเป็นน้ำหอมเฉพาะที่มันจะไม่แมส มันจะเป็นน้ำหอมกลิ่นเฉพาะทางไปเลย กลิ่นที่มันจะตราตรึงในครั้งแรกอย่างเวโรนานะ อย่างฟลอเรนซ์จะมีร้านน้ำหอมที่อยู่ในเล่ม จะเป็นร้านน้ำหอมที่เป็นร้านประจำเขา ทำมาจากร้านขายยาแล้วก็เอาพวกสมุนไพรนี้มาเริ่มเป็นน้ำหอม มีกลิ่นน้ำผึ้งหนูไปนั่งดม

เอาจริงมันค่อนข้างเป็นน้ำหอมที่ niche มาก แบบเฉพาะทางมาก ๆ ก็สามารถผสมกันได้แต่ราคาจะค่อนข้างสูง อย่างฟลอเรนซ์จะมีหลายน้ำหอมมากกว่ามิลาน ส่วนโรมจะไม่ค่อยได้กลิ่น คืออย่างโรมนักท่องเที่ยวมันเยอะใช่ไหมคะ แล้วน้ำหอมจะคละกันหมดเลย

The People: แล้วแยกกลิ่นได้อย่างไร

อร BNK48: คือหนูซึมซับกลิ่นนี้มาประมาณวันหนึ่งเต็ม ๆ ที่นั่ง เดินชอปปิง แล้วแบบทำไมกลิ่นนี้มัน...เหมือนเราได้กลิ่นไก่งวงก็ได้ เราได้กลิ่นไก่งวงเราก็จำได้อยู่แล้ว แล้วเราก็ไปนั่งดมว่ากินไก่งวงเป็นยังไง น้ำหอมมันก็จะมี top note, middle note, base note ใช่ไหมคะ อย่าง top note ของ Milano เป๊ะมาก คือเราจะจำกลิ่นแรก เขาเรียกว่าสัมผัสแรก สักพักมันจะเหลือ middle note แล้วก็ base note ซึ่ง base note ก็คือกลิ่นที่แท้จริงของน้ำหอมอันนั้นอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วหนูก็ไปนั่งดมซึ่งก็ใช่ เอาง่าย ๆ คือหนูคิดว่าในมิลานมันฉีดกันทั่วไป มันต้องหาได้ทั่วไปอยู่แล้ว มันค่อนข้างแมส หนูเป็นจำกลิ่นคนได้มั้งคะ

อร BNK48: หนังสือเล่มแรก เที่ยวอิตาลี แฟชั่นนิสตา ความหลงใหลในน้ำหอม

The People: น้ำหอกลิ่นโปรด

อร BNK48: หนูมีหลายกลิ่นมากตอนนี้ ตอนที่ใช้ตอนนี้มี (Salvatore) Ferragamo มี Jimmy Choo เนื่องจากว่าน้ำหอมมันจะมีแมสกับ niche จะมีแบบที่เป็นดีไซเนอร์เขาออกแบบน้ำหอมมาเอง อย่าง Jimmy Choo เขามองแชนเดอเลียร์แล้วเขาคิดออกมาเป็นน้ำหอมอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็เลยแบบคิดได้ไงวะ คือมันเอาอะไรมา หรือ Ferragamo ที่สัมผัสแรกอยากให้ผู้หญิงที่เขานึกถึง จินตนาการถึงผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าซีทรู แต่เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้เปลื้องผ้าหมดนะคะ เป็นซีทรูมันจะต้องเป็นน้ำหอมแบบไหน

กลิ่นที่มันแบบสักพักหวานแล้วสักพักค่อย ๆ เซ็กซี่อะไรอย่างนี้ คือมันจะต้องใช้จินตนาการสูงมากแล้วคิดว่าเหมือนเป็นศิลปะอันหนึ่งเหมือนกัน อย่าง Milano ฉีดครั้งแรกที่หนูสัมผัสได้จะเป็นความเฟมินิสต์สูงมาก จะเป็นอะไรที่ทันสมัย ฉูดฉาด แต่สักพักกลิ่นก็จะเหลือแบบกลิ่นไม้ของมิลาน

The People: น้ำหอม base note ของอรคืออะไร

อร BNK48: base note เอาจริงกลิ่นที่ชอบทุกครั้งที่หนูเลือกน้ำหอมมานะ base note มันจะมีส่วนผสมของวานิลลากับไวท์ มัสก์ ก็คือมันจะเป็นกลิ่นโทนที่อุ่นแล้วก็ค่อนข้างหวาน หนูก็เลยคิดว่าที่จริงแล้วหนูอาจจะดูเป็นคนโฉบเฉี่ยว มั่นใจดูเป็น Jimmy Choo Originals แต่ที่จริงแล้วภายในหนูเป็นกลิ่น Amo ของ Ferragamo ก็คือกลิ่นที่ค่อนข้างหวานแบบนี้วานิลลา แล้วก็เป็นกลิ่นที่ติดทนนาน เป็นกลิ่นอุ่น ๆ เขาเรียกมันจะมีโทนแหลมกับโทนอุ่น floral อะไรอย่างนี้ หนูเป็นกลิ่นอุ่นค่ะ ก็ที่จริงหนูก็เป็นคนอบอุ่นคนหนึ่งเหมือนกันอะไรอย่างนี้

The People: คิดว่าตัวเองเป็นน้ำหอมกลิ่นอะไร

อร BNK48: หนูเป็นพวกขี้เบื่อน้ำหอมนะ หนูมี 20 กว่าขวดในตู้เสื้อผ้า หนูก็เลยเลือกยากมาก ให้เลือกเลยเลือกไม่ได้นี่พูดจริงเพราะแล้วแต่วัน อย่างบางวัน บางทีหนูอาจจะชอบ CK be ก็ได้ CK be ขวดดำฉีดแมส ๆ เลยหรือว่า Miss Dior Blooming ซึ่ง Miss Dior มันก็จะมีสีม่วงกับสีชมพู

ล่าสุดอันนี้หนูก็ซื้อมาเพราะชอบกลิ่นหอม หนูก็เลยเลือกยากมาก อย่าง Victoria's Secret มีกลิ่น Tease ที่ใช้เป็นขวดแรกในชีวิตนะคะ อันนั้นเป็น Tease เลยคิดว่ามันเข้าคาแรกเตอร์มากที่สุด กลิ่นแรกค่อนข้างดูเป็นผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าซีทรูแล้วกัน แล้วสักพักพอ base note ก็ค้นพบว่าที่จริงใส่ผ้าคลุมอาบน้ำนี่หว่า (หัวเราะ)

The People: การแสดงช่วยปลดล็อกอะไรในตัวเรา

อร BNK48: ปลดล็อกครั้งแรกคือการแสดงละครเวทีของ BNK48 เอาจริงหนูกลัวการแสดงมาก ๆ เลยนะ หนูก็ไม่รู้ว่ามันจะต้องทำยังไงบ้างใช่ไหมคะ แล้วหนูก็ได้ปลดล็อกกับการแสดงละครเวทีช่วงปลายปี แล้วก่อนที่จะมาเล่นกับหนังเรื่อง ‘แอปวอร์ฯ’ อย่างนี้ค่ะ นั่นแหละค่ะก็เลยปลดล็อกด้านการแสดงมาจากละครเวทีของ BNK เลย ทำให้มาสู่การแสดงของเรื่องแอปวอร์ฯ ได้ว่าเริ่มจับหลักได้แล้วว่าเราชอบมาแนวนี้เหมือนกัน

The People: มีความเป็นแฟชั่นนิสตาในตัวไหม

อร BNK48: มีนะคะ คืออย่างบางคนมันจะมีเซนส์ด้านแฟชั่นกับไม่มีเลย อย่างบางคนคิดว่าไอ้นี่แมตช์กัน หรือบางคน...แต่เราก็ไม่สามารถไป judge เขาได้เพราะมันเป็นแฟชั่นของเขา ซึ่งเอาจริงแฟชั่นหนูไม่อยากให้มีนิยามว่าคุณแต่งอย่างนี้มันไม่แฟชั่นเลยว่ะอะไรอย่างนี้

คือสำหรับหนูหนูคิดว่าการที่ทุกวันนี้มันดูเป็นอินเทรนด์ ก็คือมันเป็นแค่กระแสเข้ามา แต่ละคนมันก็มีแฟชั่นของตัวเองแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าบางคนอาจจะเอาเทรนด์ช่วงนี้มาแต่ง เพราะว่าเทรนด์มันเปลี่ยนไปตลอดทุกปี มันไม่เหมือนกันแม้แต่ทุกเดือนก็ตาม มันก็เลยไม่สามารถมีอะไรมาบ่งบอกได้ว่าอันนี้คือแฟชั่น แฟชั่นคือตัวเราเองสำหรับหนูนะ การแต่งวันนี้มาเอาจริงหนูก็หยิบ (หัวเราะ) อันนี้ยอมรับหยิบ ๆ มาค่ะ แต่ก็คิดว่าน่าจะเข้ากับ The People นะคะ (ยิ้ม) 

The People: คิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าอรจะเป็นอะไร แฟชั่นดีไซเนอร์ นักเขียน ศิลปิน หรือดารานักแสดง

อร BNK48: เป็นหมดค่ะ หนูโลภมากนะ ดูโลภมาก หนูคิดว่าอาจจะเป็นมากกว่านี้ก็ได้ หนูเป็นพวกชอบหยิบจับ จะไม่ชอบอยู่กับที่ จะชอบทำอะไรก็ได้ที่ฉันอยากทำ ค่อนข้างดูเอาแต่ใจเนอะ แต่ก็ไม่ได้ลิดรอนสิทธิใคร ก็พยายามจะทำในสิ่งที่พาร์ตของตัวเองที่ทำได้อย่างดีที่สุด ก็เลยเป็นทุกอย่างแล้วกัน