18 ก.พ. 2562 | 17:22 น.
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2018 ชื่อของ ‘เป๊ก ผลิตโชค อายนบุตร’ นักร้องหนุ่มจากค่าย จีเอ็มเอ็ม แกรมมี ถูกพูดถึงบนโลกโซเชียลมากกว่าล้านๆ ครั้งตลอดปี 2018 ‘เป๊ก ผลิตโชค อายนบุตร’ เคยโด่งดังและแจ้งเกิดกับเพลงอย่าง “ไม่มีใครรู้” เมื่อปี 2548 ก่อนต่อมาจะมีโปรเจกต์พิเศษร่วมกับเพื่อนนักร้องในค่ายภายใต้ชื่อ "เป๊ก-อ๊อฟ-ไอซ์" แต่เป็นเวลากว่าสิบปีในวงการเพลงชื่อเสียงของ เป๊ก ก็ไม่ได้ถูกพูดถึงมากเท่าที่ควร และตอนนั้นมันทำให้เขาตัดสินใจที่จะหันหลังให้กับดนตรีเป็นการถาวร แต่สุดท้ายโอกาสที่ไม่คาดคิดก็เข้ามาสู่ชีวิตของเขาอีกครั้ง เป๊ก กลับมาประสบความสำเร็จอย่างมากหลังได้มีโอกาสไปออกรายการ The Mask Singer ซีซั่น 1 เมื่อปี 2017 ในตอนนั้นชื่อเสียงของ เป๊ก ผลิตโชค กลายเป็นที่รู้จักอีกครั้งภายใต้ชื่อ ‘หน้ากากจิงโจ้’ กว่าสองปีหลังเหตุการณ์ในวันนั้น ปัจจุบันเขากลายเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างมากขึ้น มีฐานแฟนคลับที่มากขึ้น และมาพร้อมกับความสำเร็จในชีวิตที่เขาฝันถึงมาโดยตลอด วันนี้เราได้มีโอกาสนั่งคุยกับชายคนนี้เกี่ยวกับหลายสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาที่ผ่านมา The People : “ชีวิตที่ไม่ง่ายเท่าไหร่” คำนี้ใช้อธิบายตัวเป๊กได้ไหม เป๊ก : ก็จริงๆ ก็จะพูดอย่างนั้นก็ได้ครับ ว่าจริงๆ มันก็มี...หลายรูปแบบนะครับ ก็เป็นกราฟที่แบบขึ้นๆ ลงๆ แบบที่เหมือนแผ่นดินไหว The People : ได้ข่าวว่าตอนเด็กมีวีรกรรมแสบๆ เยอะ เป๊ก : เยอะมากครับ เยอะจริงๆ ก็เอาแบบที่เล่าได้บ้างที่ออกอากาศได้ครับ คือตอนนั้นเหมือนเพิ่งกลับมาจากออสเตรเลีย แล้วแบบซ่ามาก แต่กลับมาเรียนโรงเรียนไทย แล้วแบบเหมือนครูก็สอนอยู่ แล้วเพื่อนแบบท้าแบบแกกล้าไปดูกางเกงในครูไหม ก็คือแบบด้วยความคึกคะนองครับ แล้วแบบไม่ค่อยกลัวอะไรครับเพราะว่าไม่ค่อยแคร์ เหมือนอารมณ์ประมาณแบบไม่กลัวครูไทย แล้วตอนนั้นแบบเป็นเด็กมาก ไม่ได้คิดว่าสิ่งไหนควรทำไม่ควรทำ แล้วเพื่อนก็แบบท้าให้ไปดูกางเกงในครู The People : ผลที่ตามมา ? เป๊ก : รู้สึกว่าน่าจะโดนไล่ออกเลยครับ (หัวเราะ) ใช่ครับ ก็ตั้งแต่เด็กๆ โดนไล่ออกจากโรงเรียนบ่อยครับ เยอะเลย เพราะว่ามีวีรกรรมแบบนี้ครับ The People : เป๊กกับดนตรีมาพบกันได้อย่างไร เป๊ก : ก็จริงๆ แล้วดนตรีมาจากที่บ้านครับ มาจากคุณพ่อ คุณพ่อเป็นนักกีตาร์ครับ แล้วก็เห็นเล่นตั้งแต่เด็กๆ อะไรครับ ก็เลยแบบว่า...ผูกพันมากับดนตรีตั้งแต่นั้นมา The People : ที่มาของการเป็น “นักร้องฝึกหัด” เป๊ก : ก็คือเพื่อนบอกว่าจะไปสมัครที่แกรมมี ผมเลยบอกเออไปด้วยดิ ไปด้วยครับไปกับคุณแม่ครับ เพื่อนคนนั้นชื่อเบลล์ครับ แล้วคุณแม่ชื่อคุณแม่ไก่ ก็ติดรถคุณแม่ไก่จากโรงเรียนไปด้วยครับ จำได้เป็นรถ Celica นั่งข้างหลัง ภาพจำครับคือนั่งไปกับเพื่อน เหมือนไปส่งเพื่อน screen test อะไรพวกนี้ครับ The People : คิดมาก่อนไหมว่านั่นคือจุดเปลี่ยนของชีวิต เป๊ก : ไม่ได้คิดครับ คืออยากไปดูว่า screen test เป็นยังไง ตึกแกรมมี่เป็นยังไง แล้วก็แบบจะมาเป็นนักร้องทำยังไง ก็นั่งไปเป็นเพื่อนเพื่อนไปดู สุดท้ายก็แบบอยากทำบ้าง ก็แบบขอลองสมัครดูครับ The People : มองก้าวต่อไปหลังจากนี้อย่างไรบ้าง เป๊ก : ที่ผ่านมามันก็เป็นแบบเป็นสเต็ปที่มันเกิดขึ้นในชีวิตเราครับ เป็นสเต็ปแต่ละขั้นที่เราพยายามจะขึ้นบันไดมา มันมีแบบว่าบันไดขั้นนั้นมันมีขึ้นไปถึงจุดๆ นี้จริงๆ ด้วย ก็เราภูมิใจในทุกสเต็ปที่มันผ่านมาในชีวิตของเราก็มีเฟลบ้าง สะดุดบ้าง ตกกระไดบ้าง แต่ไม่เป็นไร ขึ้นลิฟต์เลยตอนนี้ The People : มีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนใหม่ไหมหลังความสำเร็จนี้ เป๊ก : ไม่มีนะครับ เพราะว่าทุกอย่างก็ยังทำเหมือนเดิมอยู่เลย คือก็ยังแบบทำตัวเหมือนเดิม ก็ยังคิดว่าเดินข้างถนนเหมือนเดิมได้อยู่ ซึ่งก็เดินจริงๆ นะครับ ขึ้นแท็กซี่อยู่เลยครับ แล้วก็ไปไหนมาไหนคนเดียวได้อยู่ครับ แล้วบางทีแบบว่าใช้ชีวิตปกตินะครับ ยังไปเที่ยวคนเดียวได้อยู่ แต่ก็ปลอมตัวยากนิดหน่อย The People : รู้สึกอย่างไรที่ทุกคนยกให้เป็น “บุคคลแห่งปี” เป๊ก : เหมือนคนให้ความสำคัญของเรามากขึ้นอะไรแบบนี้ครับ ก็จะแต่ก่อนก็อาจจะไม่ค่อยมีปากมีเสียงเท่าไหร่ แบบว่าพูดอะไรไปคนไม่ค่อยสนใจ หรือว่าไม่ค่อยมีใครแบบรับฟังเท่าไหร่ แต่เดี๋ยวนี้ก็มีบทบาททางสังคมมากขึ้น สามารถแสดงความคิดเห็นได้มากขึ้น แล้วก็มั่นใจที่จะแสดงความคิดเห็นได้บ้าง The People : โมเมนต์ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจในเพลง ‘นี่แหละความรัก’ เป๊ก : แฟนคลับกลุ่มหนึ่งที่เคยเจอ แล้วก็เขาแบบ...ไม่สามารถพูดได้ เขาวิ่งเข้ามาหาแล้วเขาก็ทำท่าแบบ... ซึ่งตอนนั้นก็แบบไม่ทราบว่าเขาพูดว่าอะไรครับ แต่มีความรู้สึกได้ว่าเขาให้กำลังใจ หรือว่าบอกรัก หรือว่าอะไร แบบรักเรานะ ตอนนั้นท่านี้ยังไม่มี ใช่ แต่ว่าเป็นท่าอะไรไม่รู้แบบ... แต่เรา touch ว่ามันคือแบบรักนะ แล้วก็แบบเอ้อ รู้จักเพลงเรา รู้จักเราด้วย มีการให้กำลังใจเราด้วย สิ่งนี้มันติดอยู่ในใจผมตลอด The People : เล่าถึงเดตครั้งแรกของเป๊กในชีวิตจริงหน่อยว่าเป็นอย่างไร เป๊ก : First date จริงๆ ในชีวิตคือตอนเด็กๆ เลย Puppy love ตอนนั้นอยู่ที่ซิดนีย์และเรียนอยู่กับเพื่อนๆ แล้วก็เหมือนแบบชอบเพื่อนคนหนึ่งครับ แล้วพ่อกับแม่เราก็จะเป็นฝ่ายสนับสนุน จำได้คนนั้นชื่อลินดารี เป็นสเปนหรือเป็นชิลีสักอย่าง ก็แบบสมมติว่าเขานั่งอยู่ตรงนี้ พ่อกับแม่ก็จะแบบ ไปๆๆ ไปถ่ายรูป ไปนั่งข้างเขา แล้ววันเสาร์อาทิตย์ก็พาไปบ้านเขาครับ คือแบบส่งเสริมสุดๆ คือแบบอยากให้...เป็นแฟนกันมาก พาไปกินอาหารด้วยกัน พาไปบ้านเขา วันเสาร์อาทิตย์ส่งให้อยู่กับเขาที่บ้านโดยมีคุณพ่อคุณแม่นะครับ ตอนนั้น Puppy love ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็รู้สึกว่าเดตแรกคือการอยู่บนโต๊ะทานอาหาร แล้วก็ดื่ม Tea ด้วยกันครับ แล้วก็จำได้เลยครับว่าคุณพ่อคุณแม่เขาสอนว่า Tea มันต้องจับอย่างนี้นะ แล้วก็เวลากินแล้วเวลามันร้อน... อันนี้คือภาพจำนะครับ ถ้ามันร้อนให้ทำปากงี้ เราก็แบบทำตาม แล้วก็ต้องซู้ดงี้ครับ ต้องมีเสียงมาด้วย นี่คือการรับประทาน Tea ที่ถูกต้องของเขา นี่คือภาพจำมาเลย คือ Puppy love First date ครับ The People : เห็นว่าชอบเรื่องประวัติศาสตร์สงคราม เป๊กว่าทุกสงครามสุดท้ายมันคลี่คลายจริง ๆไหม เป๊ก : มันไม่ได้คลี่คลายครับ มันมีคนแพ้มากกว่ามันเลยจบ ผมไม่ได้คิดว่ามันคลี่คลาย เพราะว่าฝ่ายหนึ่งก็เอาจริงเอาจังมาก จริงๆ สมมติถ้าเกิดเราแบบ...เขาเรียกว่าแบบอ่อนให้กัน มันไม่น่าจะเกิดเรื่องราวสูญเสียอะไรแบบนี้ขึ้นได้เลย และก็ทำให้ทุกคนลำบากหมด มันไม่น่าเกิดขึ้น The People : ถ้าเราต้องอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ได้รักกัน เป๊กจะสามารถอยู่กับความขัดแย้งได้ไหม เป๊ก : เราคิดว่านี่ดีกว่า เราคิดว่าเวลาทะเลาะกันครับ ก็คือจริงๆ แล้วเราเวลาเราทะเลาะกัน เราจบกันไปเราก็อยากให้มันมี...แบบในความคิดของผมนะ อยากให้มันมีเรื่องแต่เรื่องดีๆ จำแต่เรื่องดีๆ กันไว้ไม่ติดใจกันครับ ถึงแม้อะไรจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นไป ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป The People : เล่าถึงโปรเจกต์ที่เป๊กทำร่วมกับ UNICEF ให้ฟังหน่อย เป๊ก : อืม...เป็นโปรเจกต์ที่ค่อนข้างภูมิใจมากเลยครับ คือเหมือนเกิดมาครั้งหนึ่งเป็นมนุษย์ เป็นคนได้ทำความดี ได้ช่วยเหลือคนที่เขาแย่กว่าเรา ก็รู้สึก...ภูมิใจมาก ภูมิใจมากจริงๆ แล้วก็เพราะว่าจริงๆ แล้วเราอาจจะดูว่าเราลำบากมากในชีวิตของเราใช่ไหมครับ อย่างที่สมัยก่อนเวลาคิดว่าแบบหือ แย่จัง ช่วงนี้ชีวิตเราทำไมเป็นแบบนี้ แย่จังเพลงไม่ดังไปเจอเคสอื่นครับ ตายไปเลยของเรา จิ๊บมากครับ ของเขานี่ไม่มีแม้แต่เปอร์เซ็นต์ในการรอดชีวิตครับ คือเด็กทุกคนครับ แบบ…90 เปอร์เซ็นต์สามารถเสียชีวิตได้เลยเพราะว่าเขาไม่มีภูมิคุ้มกัน ไม่มีความรู้ ขาดการศึกษาทางด้านสุขลักษณะที่ดี ผมไปที่แอฟริกามาครับ เจอเคสหนึ่ง เป็นเคสที่ช็อกมากครับ คือเขาปล่อยให้ลูกอยู่บนพื้นครับ ซึ่งบนพื้นเป็นพื้นน้ำครำ น้ำคลองเพราะที่นั่นเป็นสลัมใช่ไหมครับ เขาเลยให้ลูกให้คลานเล่น แล้วสุดท้ายเด็กเป็นโรคท้องร่วง ซึ่งเป็นโรคที่แบบ...ฮิตมากที่นั่น แบบว่าเด็กจะเป็นกันหมดเลยครับ แล้วก็เด็กมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก ก็เขาบอกว่าเนี่ยลูกของฉันไม่รู้เป็นอะไร มันแบบท้องร่วง แบบว่าเป็นอะไรเฉียบพลันนู่นนี่นั่น อาจจะเป็นเพราะว่าฟันน้ำนมเขาเพิ่งหลุดออกมาหรือเปล่า ซึ่งเขาแบบว่าขาดความรู้ทางด้านนี้มากคือเป็นเคสที่ตกใจ The People : ชีวิตการเป็นนักร้องของเป๊กก่อนหน้านี้เหมือนการเดินวนไหม เป๊ก : จริงๆ ก็ไม่เชิงเดินวนครับ แต่พยายามแบบว่าเดินตรงครับ เดินตรงไปเรื่อยๆ หาเพลงแบบ...แนวที่ตัวเองชอบด้วย แต่ก็แบบพยายามทำให้คนชอบด้วย แต่ก็ยังไม่เจอสักที จนสุดท้ายเรียกว่าแบบ...เดินตรงแล้วก็ปีนกระโดดขึ้นกำแพงครับ The People : เห็นว่าก่อนจะประสบความสำเร็จเคยเกือบหันหลังให้กับดนตรี เป๊ก : ก็คิดว่าอยากจะไปเรียนที่เมืองนอกครับ เพราะว่าเหมือนกับว่าสนุกดีเนอะ แบบว่าอยากเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ อะไรยังงี้ครับ เพราะว่าเหมือนสิ่งที่ทำอยู่ก็แบบ...ยังไม่ค่อยแบบประสบความสำเร็จเท่าไหร่แต่ตัวเองก็แฮปปี้ที่จะได้ทำไปเรื่อยๆ แต่ว่าบางทีก็...มันทำไปแล้วก็แบบ...พอทำไปแล้วมันไม่ค่อย success หรือว่าอะไร มันก็...อาจจะถึงเวลาที่แบบคิดว่าเราแบบเอ๊ะ อยากทำอย่างอื่นบ้างไหม The People : เรียกได้ว่าตอนนั้นหมด passion ไหม เป๊ก : เกือบๆ ครับ The People : คือกะจะเปลี่ยนไปทำอีกทางเลยหรือเปล่า เป๊ก : อืม คิดว่ายังงั้นครับ เพราะว่าตอนนั้นตัดสินใจแล้วเลยว่าจะไปครับ ก็คืออยากจะไปแบบ...ใช้ชีวิตแบบใหม่อะไร เพราะว่าจริงๆ ไม่ได้เป็นคนที่ติดเรื่องของแบบกลัวความลำบากหรือกลัวการเริ่มต้นใหม่ แบบชอบที่จะเริ่มต้นใหม่ แล้วก็ชอบผจญภัย ชอบใช้ชีวิตถึงแม้จะต้องลำบากหรือว่ามันอาจจะไม่สวยหรูแบบที่คิดก็ตาม แต่ก็น่าสนุกดีและยังไม่แก่เกินไป ถ้าเกิดว่าแก่กว่านี้อาจจะไม่ได้ไป The People : เคยคิดว่าการเป็นนักร้องคือฝันที่ไกลเกินเอื้อม ? เป๊ก : คือจริงๆ ฝันมาว่าชอบ… เราไม่ได้อยากเป็นนักร้องครับ คือชอบร้องเพลงตอนนั้นคิดในใจคือแบบว่าร้องเพลง เป็นนักร้อง... ดัง มีอัลบั้มมันเป็นอะไรที่แบบ...ห่างไกลมากเหลือเกิน แบบว่ามันคงยากเนอะ มันคงเป็นไปไม่ได้หรือเปล่า มันจะเริ่มต้นยังไง แบบไม่ได้คิดเลยครับ ทุกอย่างมันค่อยๆ เป็นไปตามสเต็ปของมันเองครับ คือสิ่งที่มันไม่ได้คาดคิด พรุ่งนี้มันมีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วมันแบบ...มันยิ่งใกล้ฝันเข้าไปใหญ่ เราก็แค่ขึ้นบันไดไปครับ ขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ จน...มันก็แบบ...มันมาเองแบบนี้ครับ The People : วาเลนไทน์ปีนี้พิเศษสำหรับเป๊กอย่างไร เป๊ก : ตอนนี้วาเลนไทน์ของเป๊กเนี่ยไม่ได้มีคืนดินเนอร์ ไม่ได้ไปดินเนอร์ ไม่มีความดอกกุหลาบเลยครับ คือมีความแบบนึกถึงนุชตลอดเวลาครับว่าวันนั้นคือวันที่ 14 กุมภาพันธ์เนี่ย เป็นวันวาเลนไทน์เนี่ย เป็นวันขายบัตรครับ คอนเสิร์ต จะคิดว่าจะเป็นห่วงทุกคนว่าแบบ คือเราเคยเห็นภาพวันขายบัตรวันแรกของเราครับ คนไปต่อแถวยาวมากเลย ข้ามวันข้ามคืนเพื่อซื้อบัตรคอนเสิร์ตครับ ปีนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดแบบนั้นขึ้นหรือเปล่าอะไรงี้ครับ ก็รู้สึกว่า...ก็เป็นห่วงทุกคนครับ The People : พูดถึงคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่สองของตัวเองหน่อย เป๊ก : คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งที่สองก็เป็นคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้นแล้วนะครับ ที่พารากอน ฮอลล์ครับ ที่เก่าเวลาเดิม แต่ว่าความสนุกไม่เดิมๆ ครับ ก็คือจัดเต็มขึ้นครับ ปีนี้ก็มีการฝึกซ้อมเพิ่มเติมมากขึ้นมากกว่าครั้งแรกครับ ครั้งแรกก็เวลามันซ้อมน้อยก็อาจจะขลุกๆ ขลักๆ บ้าง แต่ว่าปีนี้มันอาจจะมีเวลาซ้อมเยอะมากขึ้น อาจจะขลุกๆ ขลักๆ น้อยลง แต่ไม่ใช่ไม่มีครับ ก็หวังว่าทุกคนคงจะเป็นกำลังใจและก็ support ให้ด้วยครับ แล้วก็รอเจอทุกคนอยู่ครับ The People : อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังท้อในชีวิตไหม เป๊ก : ก็ให้คิดว่าแบบ...นึกถึงบันได ลองขึ้นบันไดทีละขั้นครับ ขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ มันต้องมีขั้นที่สูงกว่า พรุ่งนี้ก็จะต้องขึ้นอีกชั้นหนึ่ง ขึ้นไปเรื่อยๆ จนกว่า… ถ้าเจอลิฟต์ขึ้นลิฟต์เลย ไม่ต้องขึ้นบันไดแล้ว ขึ้นลิฟต์เลย ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ ก็ขึ้นไปครับ