ซุปตาร์ สู่ ซุปเนื้อ สัมภาษณ์ วีรชน ศรัทธายิ่ง (โต ซิลลี่ฟูลส์) ชีวิตที่เขา “ถูกใจสิ่งนี้”

ซุปตาร์ สู่ ซุปเนื้อ สัมภาษณ์ วีรชน ศรัทธายิ่ง (โต ซิลลี่ฟูลส์) ชีวิตที่เขา “ถูกใจสิ่งนี้”

โต ซิลลี่ ฟูลส์ (Silly Fools) หรือเวลาต่อมาคือ วีรชน ศรัทธายิ่ง ในยุคที่เขายังทำเพลง มีฐานมิตรรักแฟนเพลงจำนวนมหาศาล ชีวิตเมื่อมาถึงจุดเปลี่ยนผ่าน จาก โต ซิลลี่ ฟูลส์ มาเป็นนักธุรกิจ เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตบ้าง

ชีวิตคนเรามักต้องประสบกับจุดหักเหด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่จะมีใครหยิบเอาเรื่องราวของตนเองมาบอกเล่าให้ฟังกันหรือไม่ และจุดหักเหนั้นมีความรุนแรงเพียงใด สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงไฟ อยู่ในที่แจ้ง หรือมีสถานะเป็นบุคคลสาธารณะ ชีวิตของพวกเขาย่อมได้รับการติดตามถามไถ่ถึงความเป็นไปอยู่เสมอ ดังกรณีของ โต ซิลลี่ฟูลส์ หรือ วีรชน ศรัทธายิ่ง ที่มีฐานของมิตรรักแฟนเพลงจำนวนมหาศาล

ทุกวันนี้ ยังมีคนร้องเพลงของเขา ใช้บทเพลงของเขาหล่อเลี้ยงจิตใจ และรอคอยด้วยความหวังว่า จะได้ฟังเพลงใหม่ๆ ของเขาในอนาคตอันใกล้

ทว่า ชีวิตของศิลปินเพลงที่พึงจะมีครรลองและวิถีทางของตัวเองนั้น วันหนึ่ง ทุกอย่างกลับพลิกผันให้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ชีวิตของโตเดินทางมาถึงจุดหักเหของชีวิต เมื่อ 6 ปีก่อน เขาตัดสินใจทิ้งการเป็นนักร้อง ทิ้งรายได้อันงดงาม และทิ้งชีวิตที่ถูกรายล้อมด้วยสีสันจนหนุ่ม ๆ หลายคนอิจฉา

เขาเปลี่ยนมาเป็นคนทำงานเพื่อสังคม เริ่มต้นใหม่ด้วยการลงทุนทำธุรกิจเนื้อ (Company B) เพื่อใช้เป็นต้นแบบในการทำงานและการดำเนินชีวิตตามหลักการทางศาสนาที่เขาศรัทธา

จากบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ในฐานะนักร้อง นักแต่งเพลงและศิลปิน โตหรือบังโต ในวันนี้ข้ามผ่านสีสันและมายาคติเหล่านั้น ไปสู่วิถีทางที่เขาเชื่อมั่น เดินไปบนเส้นทางที่เลือกแล้ว ซึ่งเขาคิดว่านั่นน่าจะสร้างสรรค์และทำคุณประโยชน์ให้แก่ตนเองและเพื่อนร่วมโลก ได้มากกว่าชีวิตไร้สาระก่อนหน้านั้น ฟังดูเหมือนง่าย  แต่ไม่ง่าย จุดหักเหอย่างแรงได้นำมาสู่บททดสอบหลายขั้นตอน และนี่คือเรื่องราวของ วีรชน ศรัทธายิ่ง ในวันนี้ วันที่เขาตัดสินใจเลือกแล้ว ว่าชีวิตที่ปรารถนาพึงเป็นเช่นใด

ซุปตาร์ สู่ ซุปเนื้อ สัมภาษณ์ วีรชน ศรัทธายิ่ง (โต ซิลลี่ฟูลส์) ชีวิตที่เขา “ถูกใจสิ่งนี้”

The People: จากซุปตาร์สู่การเป็นนักธุรกิจ ชีวิตเปลี่ยนผ่านไปอย่างไร

วีรชน: ซุปตาร์กลายเป็นซุปเนื้อตอนนี้ เป็นได้ยังไง เพราะว่าผมว่าเป็นเพราะอายุเรา ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบทำอะไรซ้ำกับที่ ดูผลงานเก่า ๆ ผมก็พยายามจะเปลี่ยนมาเรื่อย ไม่พยายามให้เป็น routine เยอะ ๆ แล้วผมคิดว่าต้องเปลี่ยน มีหลายเหตุผลที่ทำให้เปลี่ยน แต่ประเด็นสำคัญคือเวลาเรามีอายุมากขึ้น ประสบการณ์ชีวิตมากขึ้น เรามีความคิดที่อาจจะตกผลึกมากขึ้น เราว่ามันจำเป็นสำหรับคนที่ต้องการที่จะให้ชีวิตมีความหมาย แล้วโดยเฉพาะผมนะ ความหมายไม่ได้อยู่ที่เงิน

เพราะฉะนั้นผมจะไม่ย่ำอยู่กับที่ เพราะว่าเงินจะเป็นตัวดึงผมให้อยู่กับที่ มันอยู่ไม่ได้ นั่นประเด็นหลัก แล้วก็ประสบการณ์ชีวิตสำคัญ แล้วก็สิ่งที่ต้องทำต่อไปมันทำให้เราเปลี่ยน ความรู้ที่ได้มาเกี่ยวกับชีวิต มันทำให้เราต้องเปลี่ยน อันนี้สำคัญ

The People: มันเกิดจากการที่เราต้องการชีวิตหรือทางเลือกใหม่ให้ตัวเองด้วยหรือเปล่า

วีรชน: สำคัญ ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้นเนื่องจากค้นหาความหมายของชีวิตก่อน เนื่องจากผมเคยเขียนเพลง เขียนเนื้อร้อง มันบังคับให้เราคิด โดยที่ผมเป็นคนเขียนเพลงไม่ได้มี reference ผมเขียนจากชีวิตของตัวเองเพราะฉะนั้นเรามีเวลาที่จะวินิจฉัยตัวเองว่าชีวิตเราคืออะไรเวลาเรามีเวลาเยอะๆอย่างนี้มันทำให้เราค้นหาความหมายของชีวิตซึ่งทำให้ผมเข้ามาถึงเรื่องของศาสนาเข้าไปถึงเรื่องของปรัชญาก็ให้คำตอบไม่ได้แต่ว่าสุดท้ายก็เป็นที่ศาสนาผมหาจากทุกศาสนาแล้วก็มาจบที่อิสลามเจอแล้วผมก็เข้าใจว่าเฮ้ยมันทำให้ผมเข้าใจว่าชีวิตคืออะไรพอรู้ผมก็เดินตามที่ผมเข้าใจ

ผมอยู่กับการที่ทำอะไรที่ตัวเองไม่เห็นด้วยอีกต่อไปไม่ได้ ไม่เห็นด้วยว่าศิลปะคือทุกอย่าง ตอนเราเด็กเราอาจจะยอมรับได้ว่าศิลปะคือทุกอย่าง แต่มันกลายเป็นการบังคับตัวเองให้ยอมรับมากกว่า แต่ว่าชีวิตมันมีมากกว่านั้น มีเรื่องของครอบครัว มีเรื่องของหน้าที่ในสังคม มีเรื่องของชีวิตหลังความตาย มีหลาย factor ที่ไม่ทำให้ชีวิตมันมีคุณค่านะ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เปลี่ยน แล้วก็ทำยังไงให้เปลี่ยนไปโดยที่มีคุณค่าจริง ๆ แล้วก็ไม่ได้โกหกตัวเองว่าเรามีคุณค่าเหมือนที่ทำมาในอดีต

The People: ธุรกิจเนื้อตอบสนองต่อสิ่งที่เราต้องการจริง ไหม

วีรชน: แน่นอน หนึ่ง. ตอบสนองปากผมก่อนเลย เพราะว่าผมต้องทำอะไรในสิ่งที่ชอบ ถ้าทำในสิ่งที่ไม่ชอบคงโกหกตัวเองไม่ได้ แล้วผมจะคุยต่อไม่ได้ว่าผลงานที่ทำนี้มันประทับใจผมหรือเปล่า เพราะฉะนั้น รองจากการเขียนเพลง ผมชอบกินสเต็ก อันนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะฉะนั้นก็มาลงเอยกับการทำเนื้อ อันนี้ตอบโจทย์ตรงที่ passion เราหรือสิ่งที่เราชอบทำเราลึกเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

สอง. คือมันเป็นอาชีพที่สุจริต เพราะว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตโดยที่ได้มากับสิ่งที่ไม่สุจริต อันนี้ผมก็อยู่ด้วยไม่ได้ เพราะว่าจะทำให้เราโกหกไม่สิ้นสุด ฉะนั้นต้องสุจริตตามหลักการศาสนา แล้วก็ต้องสุจริตตามกฎหมายบ้านเมือง ต้องสุจริตรอบด้าน ไม่ใช่บางทีจริยธรรมไม่สุจริตแต่บ้านเมืองบอกสุจริต อันนี้ผมก็ยอมรับไม่ได้ หลายอาชีพในปัจจุบันเป็นอย่างนั้น จริยธรรมไม่สุจริตกับทุกศาสนาเลย แต่ว่าเนื่องจากกฎหมายบ้านเมืองยอมรับได้ ก็ทำ สุดท้ายก็จะรู้กันเองว่ามันไม่สุจริต แล้วจะมีความทุกข์อยู่ในใจ 

เพราะฉะนั้นต้องสุจริตทั้งหมด เพราะฉะนั้นเนื้อหรือปศุสัตว์ หรือการเกษตรนี้ผมว่ามันสะอาด เพราะว่าคนกิน แล้วเราเห็น satisfaction หรือความพอใจของคน ถ้าเราทำเต็มที่แล้วบวกกับอีกอันหนึ่งที่ผมได้มาหลังจากที่เริ่มทำแล้วคือพนักงาน เราเป็น hub ให้คนที่อยากจะกลับตัวแล้วเดินวิถีที่ไม่เหมือนที่อื่น เพราะไม่มีใครกล้าเอาเรื่องศาสนามา implement ในการบริหาร พอเขามาอยู่แล้วเขามาทำ เราก็เห็นว่าชีวิตเขามีความสุขไม่เครียด ได้เงิน แล้วก็ดูแลครอบครัวได้

อันนี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมพอใจ มันเป็นการเริ่มเล็ก ๆ บางทีคนเราอยากเริ่มทำงานเพื่อสังคมในวงใหญ่มาก แต่มันอาจจะเจือจาง มันอาจจะเป็นน้ำ แต่พอได้ทำเป็นบริษัทแล้วเราก็ใช้ชีวิตร่วมกันกับพนักงาน อันนี้คือเนื้อ เพราะว่าโตด้วยกัน สำหรับผมมันเป็นอะไรที่ผมได้กินเต็มคำ เพราะฉะนั้นเรื่องของธุรกิจตรงนี้ผมว่ามันสวยและมันสะอาด

ซุปตาร์ สู่ ซุปเนื้อ สัมภาษณ์ วีรชน ศรัทธายิ่ง (โต ซิลลี่ฟูลส์) ชีวิตที่เขา “ถูกใจสิ่งนี้”

จริง ๆ ก็ยังล้มลุกคลุกคลานอยู่ ผมทำมานี่ก็ 6 ปียังไม่กำไร ทุกคนบอกผมจะทำต่อไปทำไมยังไม่กำไร แต่ประเด็นคืออย่างที่บอกว่า ผมไม่ได้อยากทำตรงนี้เพื่อให้ตัวเองรวยประเด็นหลักคือว่าก่อนที่ผมเลือกจะทำสิ่งนี้ ผมเลิกจากดนตรี ผมไปทำเรื่องการเผยแพร่ศาสนาในช่องทีวีก่อนผมกับเพื่อนผมที่เป็นหุ้นส่วนเริ่มสนใจและไปเก็บเกี่ยวความรู้ในการบริหารองค์กรโดยใช้หลักการศาสนาโดยเคร่งครัดร้อยเปอร์เซ็นต์ มันทำได้ยังไงเพราะบางที คนแยกว่าศาสนาไปอีกอย่างบริหารไปอีกอย่างแต่ทีนี้พอทำศาสนาล้วนนี้แน่นอนมันเป็นเรื่องของการกุศลเพราะฉะนั้นไม่มีรายได้เข้ามา

ทีนี้พอเริ่มทำ สิ่งที่ผมได้กับเพื่อนหุ้นส่วนผมก็คือวิธีการบริหารคน วิธีการบริหารธุรกิจให้สะอาด แล้วเป็นประโยชน์ของสังคม พอเริ่มธุรกิจเนื้อผมก็เริ่มจากการเซ็ตกติกาตามหลักการศาสนาที่ได้เรียนมาจากผู้รู้ วิธีการคัดพนักงาน วิธีการบริหารเงินเป็นอย่างไรบ้าง ทำอย่างไรบ้างให้ถูกต้อง สะอาด ทำยังไงให้ตรงนี้เป็น role model หรือเป็นตัวอย่างให้บริษัทที่ทำงานในเรื่องทางโลกโดยใช้กฎศาสนาธรรม แล้วทุกคนแฮปปี้ ไม่ใช่เฉพาะผม ไม่ใช่เฉพาะพนักงาน ลูกค้า ประเทศ อันนี้คืออันดับหนึ่งนะ คือต้องเป็นอย่างนั้นให้ได้ ไม่ใช่ว่าเงิน ถ้าเงินนี้ผมผิดหวังมานานแล้ว เพราะว่าทุกคนต้องการเงินกลับคืนเร็ว

ธุรกิจที่ทำตอนแรกคือเนื้อ dry aged นี้ ผมต้องแช่เนื้อทีละ 55 วัน แล้วก็กว่าจะได้เงินอีก 2 เดือน ไม่มีใครทำหรอกครับ 4 เดือนไม่มีใครทำ คนต้องซื้อไปขายเร็วมันถึงอยู่ได้ แต่ผมทำนี่ก่อนเพราะว่าทำยังไงให้เนื้อ local ดีก่อน ก็ต้อง dry aged ต้องใช้เวลา ซึ่งอย่างที่บอกเรื่อง factor ถ้าเรื่องของการได้กำไรเป็น agenda นี่ผมจบไปตั้งแต่ 3 ปีแรกแล้วล่ะ แต่ว่ามันไม่ใช่ แต่ว่าพออยู่ได้ ทุกคนมีกินได้ แล้วก็หาช่องทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้มันโตขึ้น ก็รอเมื่อไหร่มันจะพ้นน้ำ ผมจึงไม่ค่อยจะมีกังวลเท่าไหร่

ทุกคนแฮปปี้ไหม พนักงานแฮปปี้ไหม เรามีอะไรทำเพื่อสังคมได้บ้าง แล้วก็ค่อย ๆ ขยับ หนึ่ง. เราไม่ได้เป็นตัวถ่วงของสังคม สอง. เราทำให้สังคมดีขึ้น สาม. ตอนนี้เกือบ 150-200 ชีวิตกินดีอยู่ดี พนักงานผมออกน้อยมาก บางทีผมให้เงินเดือนได้ไม่เท่าคนอื่น แต่เขามีความสุข เขาต้องมีเวลาให้ครอบครัว ตอนแรกผมหยุดแค่วันเดียว ตอนนี้ผมก็พยายามให้หยุด 2 วัน ถ้าเป็นไปได้หยุด 3 วัน

ผมตั้งใจว่าอยากให้บริษัทเราทำงานแค่ 4 วัน อีก 3 วันต้องอยู่กับครอบครัวทุกคน อันนี้คือ quality ที่ผมอยากจะสร้าง เพราะฉะนั้นก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ แต่ทุกวันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ fan based คนที่กินเนื้อ คนที่เข้าใจ product เรามากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนแรกคนยังไม่เชื่อว่าในเมืองไทยสามารถทำเนื้อตรงนี้ได้ เราเอาวัวทั้งตัวมา ไม่ใช่นำเข้าเฉพาะส่วนเหมือนคนอื่น ๆ เขา เอาทั้งตัวมา มาขุนเพิ่มมันใช้เวลาอีก 6 เดือนกว่าจะเชือดได้ แล้วก็มาห้อยอีก 15 วัน กว่าจะหลุดหมดมาได้มันก็ใช้เวลา แล้วพอคนเริ่มเข้าใจ เริ่มกิน เริ่มรู้ว่ามันต่างกันจริง ๆ นะ มันแพงกว่านิดหนึ่งเพราะว่าผมมีต้นทุนเยอะมาก

กำไรผม slim มาก แต่พอคนเริ่มรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเอง ต้องอาศัยความใจเย็นนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนที่กินเขาจ่ายเงิน เขาจะไม่รู้สึกว่าถูกหลอก เขาจะต้องเต็มใจจะจ่าย อันนี้คือ agenda แรกเลย พนักงานแฮปปี้ที่จะทำ แล้วเขาช่วยกัน เขาเป็นเจ้าของที่นี่เหมือนกันทุกคน แล้วเขาต้องดูบริษัทนี้เหมือนบริษัทตัวเอง แล้วทุกคนเป็นอย่างนั้นนะครับ เขาพยายามจะใส่ใจ ผมก็บู๊มาก เพราะว่าเราไม่ได้เรียน food science มาผมลุยมาแบบดิบมาเลยทุกคนก็ดิบมาหมดเลยก็ค่อยๆแก้บางทีมีปัญหาสมัยนี้คนด่าง่ายนะโดยเฉพาะในเฟซบุ๊กสุดท้ายก็ต้องพยายามแก้กันไปแต่ทุกอย่างมันคือมนุษย์เราเต็มที่แล้วข้อแรกนะครับแต่ว่าบางทีก็พลาดกันได้ก็ต้องแก้กันไป

จริง ๆ เจ็บสุดตอนนี้ก็คนด่า เพราะผมไม่ชอบให้ใครด่า เพราะความพยายามทุกคนก็รู้สึก fail หมด เพราะเราไม่ได้มีเจตนากะมาโกยสตางค์อย่างที่บอก เราต้องการคุณภาพแล้วก็ต้องการจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะฉะนั้นเวลาคนด่า เวลาที่เจตนาดี คนประเภทนี้จะเจ็บ แต่ถ้าคนต้องการจะโกยเงิน คนประเภทนี้ไม่ค่อยจะเจ็บเท่าไหร่หรอก ด่าก็ด่าไปสิ ก็ซวยไปแล้วกัน เพราะฉะนั้นก็ค่อย ๆ ปรับไปเรื่อย ๆ

ซุปตาร์ สู่ ซุปเนื้อ สัมภาษณ์ วีรชน ศรัทธายิ่ง (โต ซิลลี่ฟูลส์) ชีวิตที่เขา “ถูกใจสิ่งนี้”

The People: ธุรกิจบนหลักการของศาสนาไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่การเห็นความสุขจากการทำงานสำคัญกว่า?

วีรชน: ผมว่าทำดีมันยาก ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องของศาสนา แต่ทำให้ดี ให้ถูกต้อง นั้นยาก แต่ถ้าเราทำสิ่งที่ยากแล้วสำเร็จนี่ผมว่ามันสะใจกว่า เราทำอะไรที่มันง่าย ๆ แล้วได้มาง่าย ๆ คนเขาก็ไม่ค่อยเห็นค่าหรอก แต่ถ้าทำอะไรที่มันยาก ที่มันมีค่า คน appreciate ในผลงานตรงนั้นมากเสมอ ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ ครับ สำหรับผมนะ เพราะฉะนั้นผมเลือกสิ่งที่ยากมาตั้งแต่เด็กแล้ว อยากจะดังเพราะเขียนเพลงห่วย ๆ มาเหมือนเมื่อก่อน เอาบางวงเป็นตัวอย่าง อย่างนี้มันก็ได้ แต่ว่าจะไม่เป็นที่จดจำ เพราะฉะนั้นเราต้องไปทางที่มันชันแล้วมันจะรู้สึกดี

The People: ถ้าไม่มีโต  ซิลลี่ฟูลส์วันนั้น ก็อาจจะไม่มีบังโตในวันนี้?

วีรชน: แน่นอน ชีวิตเราถูกวางให้เรียนรู้ เก็บเกี่ยว สิ่งที่พลาดก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีเสมอไป เราพลิกมันได้ ถ้าเราไม่ยืนอยู่กับที่ ดนตรีเป็นสิ่งที่สำหรับผมตามหลักการไม่ใช่สิ่งที่ดี หลายอย่างที่ผมทำโดยดนตรีในคอนเสิร์ตทำให้คนตีกัน ทำให้คนเมา แต่ถ้าผมดึงประสบการณ์ที่ได้จากตรงนั้นมาใช้ทำให้มันดี ก็จะเป็นเรื่องดี งานเพลงผมว่ามันคือการเล่น การเล่นแล้วคนทำให้กลายเป็นอาชีพ แล้วก็ลืมไปว่ามันคือการเล่น มันก็เล่น ๆ ไปเรื่อย ก็เครียดตรงที่ว่าคนรอจากเรา 4-5 เดือนต่อปี ก็เครียดจากการเขียนเพลง เครียดไหม เครียด เครียดมาก ผมขาวทั้งหัว หลังจากนั้นอีกปีครึ่ง 2 ปีทัวร์คอนเสิร์ตก็ไม่มีอะไรเล่นๆแต่เบื่อผมเบื่อขี้เกียจผมเป็นคนนอนเร็วแต่ต้องตื่นมากลางคืนแล้วมานั่งเล่นผมเบื่อแค่นั้นเองสำหรับเพลง

ส่วนอันนี้พอทำงานสังคมเวลาเราไม่มีตอนนี้งานศาสนาไม่ได้มากเท่าไหร่เพราะว่าเรากำลังขึ้นธุรกิจใหม่หมดแล้วก็กำลังมีร้านอาหารหลายจุดที่ต้องดูตอนนี้คือเรื่องการแบ่งเวลาตลอดเวลาไม่มีเครียดเลยเพราะว่าเราทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วถ้ามีครอบครัวที่เข้าใจก็จะดีแต่ผมต้องล็อควันให้ครอบครัวชัดเจนไม่งั้นผมจะบกพร่องในเรื่องครอบครัวเพราะว่าครอบครัวจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอีกถ้าเราบกพร่องกับตรงนั้นเราก็บกพร่องกับสังคมอีก

บางคนคิดว่าทำงาน ๆ แล้วครอบครัวเป็นเรื่องของกู ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของสังคม ถ้าเราทำงานสังคม เราต้องมองให้ครบโดยรอบ เพราะครอบครัวเราก็คือส่วนหนึ่งของสังคม เราต้องปั้นคนให้ถูกต้อง ต้องมีสังคมที่นิ่ง ไม่ใช่ทำบุญอย่างเดียวแล้วก็บ้านตัวเองเป็นตัวถ่วงของสังคมมันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาทิตย์หนึ่งผมล็อคให้ 1 วันถึง 1 วันครึ่ง ให้ครอบครัว บริษัท  4 วัน กลางคืนจัดรายการให้คนเข้าใจบางอย่างมากขึ้น แล้วก็วันเสาร์ไปบรรยายต่างจังหวัด อันนี้งานศาสนาอีก ก็สลับกันไป ไม่เครียด

เมื่อก่อนเครียดนะ แต่ว่าเวลาเยอะมาก (หัวเราะ) คือนั่งรอเล่นคอนเสิร์ตแต่เบื่อ เครียดกับเรื่องไร้สาระ พยายามเขียนอะไรที่ไม่ควรจะเป็นเรื่อง อกหัก แต่งงานสิวะ จะได้ไม่อกหัก คือทำให้มันถูกต้องมันก็จะไม่อกหัก แต่งงานมีลูกก็จบ แต่มันไร้สาระ แต่ทีนี้มันไม่เครียด แต่เรื่องแบ่งเวลาอย่างที่บอกมันเป็นเรื่องของอายุ เราโตขึ้น เราเข้าใจอะไรมากขึ้น อะไรคือความจริง อะไรคือความสับสนของวัยรุ่น มันจะเคลียร์เอง

The People: รู้สึกอย่างไรที่คนก็ยังคิดถึงคุณในฐานะโต ซิลลี่ฟูลส์อยู่เสมอ

วีรชน: มันแปลกตรงที่ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ใน YouTube มันจะมีแอปฯ ที่ผมสามารถไปเช็คว่ากลุ่มคน audience เป็นใคร จากประเทศอะไรบ้าง ซึ่งก็มีส่วนเยอะที่ประมาณ 16-18 ปี ซึ่งตอนนี้ผมแปลก หรืออาจจะไม่แปลก เพราะอาจจะไม่มีเพลงดี ๆ ในปัจจุบันต้องกลับมาฟังเพลงผม ไม่รู้เพราะเหตุผลนี้หรือเปล่า ไม่ได้ชมตัวเองนะ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ  ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แล้วก็ผมไม่ได้ติดตามตรงนั้นเลย แค่เห็นตรงอายุนี่แหละ แต่ผมไม่ได้มีปัญหากับการที่เขาคิดถึงพี่ อยากให้กลับไป คนรักเรามันดีกว่าคนเกลียดใช่ไหม มันไม่มีปัญหาครับ

ผมหวังว่าเขาจะตามให้ลึกกว่านี้ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นพวกนี้นะ 16-18 หรือ 20-25 ปี ถ้าเขาได้มาฟังต่อหรือแม้กระทั่งดูในรายการคำโตๆผมว่าเขาจะซึม แล้วไม่มีใครทำเรื่องครอบครัวเท่าไหร่ เพราะปัญหาสังคมปัจจุบันคือเรื่องครอบครัวล้วน ๆ เลย เด็กสมัยนี้พนักงานที่รับบางคนวัยรุ่นมา เกเรมา ผมรู้เลยว่าปัญหาคือครอบครัวที่ไม่สอนมา 

ตอนแรกผมเห็นในคอมเมนต์ที่บอกว่า "ผมอยากให้พี่เป็นพ่อผม" ผมก็รู้สึกดีใจ มันบอกหลายๆอย่างนะ เรื่องเล็ก ๆ แปลว่าเขามีปัญหาทางบ้านเขาอยู่ พ่อเขาไม่มีเวลาให้เขา พี่น้องไม่มีเวลาให้เขา แม่ก็ไม่มีเวลาให้เขา ทุกคนทำงานหมด คำเล็ก ๆ นี้มันสำคัญ แล้วมีคำพวกนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ผมว่าผมทำงานสังคมกับจิตใจมากกว่า ผมเน้นไปที่จิตใจและความคิด ตอนนี้ผมอาจจะไม่ได้ช่วยทางเงินให้คนจนมีกิน ผมว่ามีคนทำตรงนั้นเยอะอยู่แล้ว แต่ว่าคนไม่ค่อยพัฒนาทางหัวใจ แล้วก็ความคิดผมว่าผมพยายามมาเจาะเรื่องตรงนั้นมากกว่า

ซุปตาร์ สู่ ซุปเนื้อ สัมภาษณ์ วีรชน ศรัทธายิ่ง (โต ซิลลี่ฟูลส์) ชีวิตที่เขา “ถูกใจสิ่งนี้”

The People: หลายคนยังสงสัยกับเรื่องที่คุณถอยหลังจากวงการเพลงออกมา?

วีรชน: โลกนี้ไม่ได้มีเพื่อความสุขสำหรับผม ทุกคนต้องมีการทดสอบในชีวิต ต้องมีเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ใครบอกว่าตัวเองสุขตลอดเหมือนตาม YouTuber ทั้งหลาย ผมเห็นยิ้มสุขตลอด ผมว่าโกหก คืออย่าไปหลอกตัวเอง น้อง ๆ หรือทุกคน มันไม่มีใครมีความสุขตลอด มันเป็นไปไม่ได้ มึงไม่ใช่คนแล้วถ้าอย่างนั้น เข้าใจหรือเปล่า มันไม่ได้

เมื่อเราเข้าใจตรงนี้ก็จะเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องมีการทดสอบ เป็นนักร้องก็มีเงินเยอะ มีชื่อเสียง ถ้านี่เป็นความสุขก็โอเค สุขแป๊บหนึ่ง แต่มันมี factor อยู่เบื้องหลังด้วย กว่าจะเป็นงานกว่าจะเป็นอะไร ลูกค้าเขารอ เร่ง ๆ ไม่สนใจหรอก ขอให้งานออกมาก่อน คนด่าเพราะงานห่วยไม่เป็นไร ไม่มีใครเข้าใจ เครียด มันมีสองด้านเสมอ ผมอยากมีเวลามากกว่านี้ อยากจะเที่ยวมากกว่านี้ อยากจะคิด และมีเวลาทำงานศาสนามากกว่านี้ แต่ไม่มี

แต่ว่าโอเค มันก็ต้องพยายามปรับกันไป มันไม่มีอะไรสวยงาม ตอนนั้นเราออกทีวีบ่อยนะ แต่ทีวีมันแค่สิบวินาที สิบนาทีคำโตๆนี่ชั่วโมงครึ่ง มันเป็นส่วนที่อยู่หน้าไฟมันสวยอยู่แล้วแหละ แต่ว่ากว่าจะต้องเป็นตรงนั้นต้องมีหลายเรื่อง เบื้องหลังทุกคนไม่มีใครดีตลอด แต่ตอนนี้สะอาดกว่าตอนนั้น ผมรู้สึกแค่นี้ ผมพอใจแค่นี้พอ ใครหลอกตัวเองว่ามันจะดีเหมือนในหนังไม่มี

The People: แม้ดนตรีจะผิดต่อหลักศาสนา แต่ความชอบต่อดนตรียังมีเหลืออยู่ไหม

วีรชน: สิ่งที่ศาสนาห้ามอย่างเครื่องดนตรี ประพฤติผิดในกาม เหล้า ยา โกงเขากิน ทุกคนอยากทำหมด ไม่มีใครไม่อยากทำ มันเป็นกิเลส ผมอยากกลับไปฟังดนตรีไหม บางทีก็อยากกลับไปฟังเหมือนกัน แต่ผมต้องการขัดเกลาตัวเองให้อยู่ในสถานะที่นิ่งกว่านั้น ผมอยากจะเห็นผู้หญิงสวย ผมอยากจะมีเมียสัก 20 คน อยากจะมีแฟนไม่อยากจะแต่งงาน อารมณ์ใฝ่ต่ำผู้ชาย ทุกคนมีหมด แต่เราอยากมีความสุขลึก ๆ ไหม ภรรยา ลูก ทุกคนที่ยอมไม่มองตรงนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มี ใครบอกว่าไม่มี ไม่สนใจหรอกผู้หญิงคือโกหก ถ้ายังเป็นผู้ชายอยู่แล้วคือโกหก แต่ฉันเลือกที่จะไม่มองเพราะว่าฉันต้องการความนิ่งของชีวิต ต้องการให้สะอาด ผมเลือกที่ไม่ต้องการฟังดนตรีเพราะว่าไม่ต้องการมีเคลียร์ พระเจ้าผมพอใจ ผมเคลียร์ ผมไม่ถูก influence โดยเสียงในการใช้ชีวิตมันมีผลกระทบผมรู้ผมเป็นคนเขียนเพลงผมทำเพลงผมตั้งใจให้มันมีผลต่อการตัดสินใจคนอื่นกับชีวิตเขา

ผู้หญิงสวยมาผมก็ก้ม เพราะผมพอใจกับครอบครัวผม ภรรยาผมรักผม ถ้าไม่แคร์คงมอง บางคนมองว่าพี่เครียดไปรึเปล่าวะ มองผู้หญิงสวยไม่ได้ หนึ่ง. ศาสนาห้าม เพราะว่าอยากมีชีวิตครอบครัวที่ดีหรือเปล่า ผมยิ่งมองมีปัญหานะครับ แล้วผมจะทนไม่ไหว ผมผู้ชาย ที่คนบอกว่าตัดได้ มันไม่มีมนุษย์คนไหนตัดได้ เพราะเป็น instinct แต่ว่าเราถูกทดสอบว่าตกลงเราพยายามทำตัวเองให้ดีหรือเปล่า แล้วผลลัพธ์ก็จะเป็นสิ่งที่เรารู้ว่าผลลัพธ์ในชีวิตของผมมันเรียบ มันง่าย ผมไม่ต้องมาแก้ปัญหา ถ้าเราเดินตาม passion หรืออารมณ์ basic instinct ของเรามันทำให้เราต้องแก้ปัญหาแค่นั้นเองผมไม่อยากแก้ปัญหา

ผมอยากจะสร้าง creative thinking ดีกว่าแก้ปัญหา เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นอย่างนั้นได้ มันมีกติกาในโลกนี้ที่พระเจ้าเซ็ตไว้ ถ้าทำตามกติกาพวกนี้ เราจะได้โอกาสในการทำ creative thinking อย่ากินเหล้า อย่าสูบบุหรี่ อย่ามั่วผู้หญิง แต่งงานนะ อย่าฟังเพลง ฟังเพลงนี่มันเรื่องเล็ก ไม่ได้อยู่ในเรื่องใหญ่ด้วยซ้ำ แต่ว่ามันเป็น fine chilling ถ้าใคร handle ตรงนี้ได้จะทำให้เราอัพเร็วเพิ่มขึ้นอีก อย่าเล่นการพนันนะ อย่าทำดอกเบี้ยนะ ถ้าเรา handle ตรงนี้ได้เราจะอัพเกรด เราจะไม่มองเหมือนกับคนอื่น

ทัศนวิสัยผมสมัยเป็นนักร้องกับตอนนี้มันคนละเรื่อง การมองสังคม การตัดสินใจไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง เพราะว่าผมพยายามทำตามกฎนี้เพื่อให้ผลประโยชน์เข้ากับตัวผมเอง ผมไม่ได้สละอะไรไป

เพราะฉะนั้น ผมไม่ได้เสียดายอะไรในอดีต ผมเสียดายที่ผมไม่ได้ทำเร็วกว่านี้ ไม่งั้นที่ผมทำนี่มันเพื่อตัวผมเอง ไม่ใช่ให้ใครมาเห็นผมอะไรไม่ใช่ เพราะฉะนั้นผลประโยชน์เข้าหาคนทำเสมอแค่นั้นเองครับ มันไม่เคยเสียดาย

The People:  มีแอบคิดถึงดนตรีบ้างไหม

วีรชน: พอไม่ได้ฟังเยอะ ๆ แล้วก็ไม่ได้คิดถึง พอคนเราไม่ได้ฟัง มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นเลย คิดแต่ว่าต้องทำอะไรต่อ แต่ว่ารู้สึกจะ 2 เดือนที่แล้ว มันเผลอมี... ไม่รู้พระเจ้าให้เผลอมีเข้ามา มีเพลงหนึ่งมาในหัวผม พร้อมเนื้อเสร็จเรียบร้อยเลย ตื่นมาเพราะมากเลย ผมเคยเขียนเพลงอันหนึ่งเพราะฝันมาทีหนึ่งสมัยก่อน แล้วก็เป็นเพลงฮิตไปแล้ว อยู่ ๆ โผล่มาผมจำได้หมดเลยมีคอร์ดอะไร เนื้ออะไร ผมก็มีอยากรวยหรือเปล่า ก็ลืมไป มีอยู่ครั้งหนึ่งเกือบสิบปีไม่มีเลยนะ มีอยู่ 2-3 เดือนที่แล้วมันมีตื่นมา เฮ้ยมายังไงวะเนี่ย แค่นั้น ไม่เคยคิดถึง ผมไม่ได้เอาไปใช้ประโยชน์เท่านั้นเอง

ซุปตาร์ สู่ ซุปเนื้อ สัมภาษณ์ วีรชน ศรัทธายิ่ง (โต ซิลลี่ฟูลส์) ชีวิตที่เขา “ถูกใจสิ่งนี้”

The People: แม้จะไม่ได้เป็นผู้ถ่ายทอด แต่สามารถส่งต่อออกไปได้ไหม

วีรชน: ไม่ได้ คือการที่เราไม่ทำผิด ไม่ได้แปลว่าเราสนับสนุนให้คนทำผิดไม่ได้ ค้าของโจรก็โดนจับใช่ไหม มีค่าเท่ากัน ถ้าผมคิดว่าเครื่องดนตรีหรือการมีอะไรที่เกี่ยวกับดนตรีทำให้สังคมไม่นิ่ง ผมไม่สามารถสนับสนุนได้ ผมจะไปสอนคนเขียนเพลงไม่ได้ หรือจะแต่งให้คนอื่นไม่ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น คนก็จะเอาเพลงไปกินเหล้าอยู่ดี หรือใช้ในอบายมุขอยู่ดี หรือปลุกอารมณ์ให้มันมี factor หลายๆอันที่เพลงมันทำให้เกิด

The People: การตัดพรสวรรค์ที่พระเจ้าให้มาเป็นสิ่งที่ยากที่สุด?

วีรชน: พระเจ้าให้ทุกอย่างในการทดสอบ พระเจ้าให้ผู้หญิงสวยด้วย ไม่ได้แปลว่าผมอยากจะชิงให้ได้หมดทุกคน พระเจ้าสามารถทำให้ผมโกหกเก่งก็ได้ ไม่ได้แปลว่าผมจะต้มคนให้หมด พระเจ้าให้ทุกอย่างเพื่อเป็นการทดสอบ พระเจ้าให้ผมรวยก็ได้ ไม่ใช่แปลว่าผมจะกดขี่ข่มเหงคนอื่น พระเจ้าให้หมดแหละครับ แต่อยู่ที่ผลงานเราจะใช้อะไร เพราะเราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเรามีคุณค่าพอที่จะเป็นชาวสวรรค์ เพราะฉะนั้น คนบอกว่าพระเจ้าให้พรสวรรค์มาในการเล่นดนตรี ผมก็คิดนะก่อนผมจะเลิก ผมคิดว่าผมเขียนอะไรได้ไม่เหมือนคนอื่น ผมคิดว่านะ และผมคิดว่าคนก็ยังทำไม่ได้อยู่ดีนะตอนนี้

คนบอกว่าโต พระเจ้าให้มาทำไมไม่ทำ ผมก็ว่าใช่ พระเจ้าให้มา แต่ผมก็ทำมาแล้ว แต่ผลลัพธ์ที่ดีมันไม่ออกมาจากนั้นเท่าไหร่ นอกจากผมได้รับผลประโยชน์อยู่คนเดียว คือเงิน คือคำชม คือผู้หญิงหรือ whatever แต่คนอื่นได้ประโยชน์อะไรวะ มันจับต้องไม่ได้ ที่จับต้องได้คือตีกัน ต่อยกัน ผมจับต้องได้แค่นั้น ส่วนใหญ่มันไม่ได้อะไรที่เป็นน้ำเป็นเนื้อ ผมได้อยู่คนเดียวนะ ค่ายเพลงได้

ดังนั้นพระเจ้าให้แล้วผมต้องตัดสินใจว่าผมจะใช้ต่อหรือไม่ใช้ต่อ ผมก็ต้อง analyze เหมือนกันว่าจะอ้างว่าพระเจ้าให้แล้วจะดันทุรังทำต่อไปไหม หรือว่ามันเป็นการทดสอบของผม เพราะการที่จะตัดพรสวรรค์บางอย่างที่พระเจ้าให้ก็เป็นเรื่องยาก ถ้าเราหลอกตัวเองเรามองไม่เห็นหรอก แต่ผมเห็นกับตัวกับตาตลอดทุกวันทุกแมตช์ที่ขึ้นเวที ผมไม่ให้ผมไปเกี่ยวข้องดีกว่า

ผมว่าพระเจ้าก็ให้พรสวรรค์ผมเขียนเพลงนะ ให้ในฝันด้วยซ้ำในสองอาทิตย์ที่ผ่านมา ให้มา ตู้ม! ฮิตแน่นอนผมไม่เอามาใช้แค่นั้นเอง

The People: หรือเปลี่ยนเป็นงานเขียนแทนดีไหม

วีรชน: โอ้โห ขี้เกียจ ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ มันติดตรงขี้เกียจ คนก็บอกหลายคนแล้วว่าเขียนดีไหม ผมก็ขี้เกียจพูดดีกว่า ผมเป็นคนขี้เกียจ อันนี้ปัญหา เป็นทั้งผลดีผลร้าย

ซุปตาร์ สู่ ซุปเนื้อ สัมภาษณ์ วีรชน ศรัทธายิ่ง (โต ซิลลี่ฟูลส์) ชีวิตที่เขา “ถูกใจสิ่งนี้”

The People: ก่อนนอนคิดถึงอะไร แล้วตื่นนอนคิดถึงอะไรก่อนเป็นอันดับแรก

วีรชน: ผมละหมาดก่อนนอน ตื่นมาก็ละหมาด เพราะฉะนั้น ผมคิดถึงพระเจ้าก่อน ผมเลยนอนละหมาด ตื่นมาละหมาด ขอ ขอ ขอ ชีวิตผมมีอยู่แค่นี้ไม่มีอย่างอื่น ผมคิดว่าผมจะตายหรือเปล่าแค่นั้นแหละ ก่อนนอนจะตายไหม ตื่นมาตายไหม วันนี้ตายไหม ตายไหม ตายไหม มีอยู่อย่างเดียวคือผมจะตายไหม ตายอย่างไรแค่นั้นแหละสำคัญที่สุด สำหรับผมไม่ได้หมายความว่ากลัวตาย แต่หมายความว่าเราตายยังไง อันนี้สำคัญที่สุด

หลังจากที่กลับตัวมาเป็นอย่างนี้ เรื่องการตาย การมีชีวิต เป็นสิ่งหลักในชีวิตของผม ไม่ใช่การมีชีวิต มันคือการตายและการใช้ชีวิตให้ตายอย่างไร เพราะฉะนั้น ชีวิตมันเป็นแค่ขาว-ดำ