สัมภาษณ์ ‘สิงโต นำโชค’ ในวันที่เป็น ‘เด็กเอ็น’ และการก้าวผ่านตัวตนเก่ามาร้องภาษาอีสาน

สัมภาษณ์ ‘สิงโต นำโชค’ ในวันที่เป็น ‘เด็กเอ็น’ และการก้าวผ่านตัวตนเก่ามาร้องภาษาอีสาน

‘สิงโต นำโชค’ ในวันนี้ ร้องเนื้อเพลงเป็นภาษาอีสาน หากย้อนกลับไป เขาเคยร้องเพลงในวงป็อป ทำดนตรีแนว Surf Music แบบศิลปินที่ใกล้ชิดทะเล เกิดอะไรขึ้นกับความเปลี่ยนแปลงในเส้นทางชีวิตเขาคนนี้

  • สิงโต นำโชค ผ่านชีวิตมาแล้วหลายห้วง หลากหลายบทบาท ตั้งแต่ร้องเพลงป็อป มาโด่งดังอีกหนกับ Surf Music และล่าสุดคือยุคที่เขาร้องเพลงด้วยภาษาอีสานเป็นหลัก
  • นักร้องจากแดนอีสานมองว่า ชีวิตเวลานี้ เขามีสถานะ เด็กเอ็น

‘สิงโต นำโชค’ หรือ นำโชค ทะนัดรัมย์ กลายเป็นศิลปินไทยอีกรายที่มีหลายบทบาท เป็นนักร้อง นักดนตรี นักแสดง และไอคอนในโลกโซเชียลมีเดียที่แสนเฮฮา ผลงานดนตรีที่ผ่านมาล้วนหลากหลายสไตล์ ตั้งแต่เป็นสมาชิกวง Mono แนวป็อปของค่าย RS เป็นนักร้องแนว Surf Music ในชื่อ สิงโต นำโชค กระทั่งล่าสุด เขาโด่งดังจากเพลงที่ติดหูด้วยเนื้อร้อง “โด่ดิดง” 

ท้ายที่สุด กลับมาลงเอยกับการผสมผสานภาษาอีสาน และมาพร้อมกับเพลงใหม่อย่าง I Have No Black Magic

ติดตามเรื่องราวของสิงโต นำโชค มาสู่จุดที่เขาเรียกตัวเองว่า ‘เด็กเอ็น’ จากบทสัมภาษณ์นี้

The People: ย้อนกลับไปตอนที่ทำวง Mono กับ RS ถือว่าประสบความสำเร็จไหม หรือมองตัวเองในช่วงนี้อย่างไรบ้าง 

สิงโต นำโชค: ย้อนไปโมโนเลยเหรอ มีเวลาสัก 2 วันไหมล่ะ (หัวเราะ) โมโนตอนนั้นก็อายุ 19 ครับ เป็นความสำเร็จแรกในชีวิตที่..ผมว่า โมโนตอนนั้นเป็นความสำเร็จแรกในชีวิตนะครับ ไม่คิดว่าจะได้ออกเทป มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะ การจะได้ออกเทปเนี่ย คิดแค่ว่าได้เล่นผับเนี่ยก็ถือว่าจุดสูงสุดในชีวิตเราแล้วนักดนตรีนะ

เพราะว่าจากเด็กต่างจังหวัดมาทำงานในโรงงาน แล้ววันหนึ่งได้เป็นนักดนตรี มันเท่มากเลย โอ้โห เราพิเศษมากเลย เราดีดกีตาร์แล้วได้ตังค์ ผมว่าอันนั้นน่ะมันสูงสุดแล้ว แล้วก็โชคดี เป็นคนโชคดี เพื่อนเขาก็มาชวนไปออกอัลบั้ม ตอนนั้นน่ะจำได้เลย คือตะครุบไว้ก่อน มันคือโอกาสแล้วไม่ปล่อยให้หลุดมือเลย 

เพื่อนเขามีวงแล้ว 3 คน แล้วเขามาชวนเราคนนึง ผมเป็นคนเดียวที่ไม่ค่อยมีปากเสียงนะครับ กลัวเขาไม่ให้เข้า กลัวเขาไม่ให้เข้าอยู่ด้วย ก็เลยไปอยู่กับเขาวงโมโน แล้วเขาก็พาไปออกเทป เสร็จปุ๊บ ผมจริง ๆ ตั้งใจเป็นมือกีตาร์ ๆ คิดว่าหน้าอย่างเราเป็นนักร้องไม่ได้หรอกครับ มันยากมาก หน้าอย่างนี้จะไปเป็นนักร้อง แล้วมันจะประสบความสำเร็จอะไร เหมือนเข้าใจตัวเอง งั้นเราก็เป็นมือกีตาร์ก็ได้ ให้นักร้องให้คนอื่นเขาหล่อไป เราก็ยังพอเป็นส่วนหนึ่งในวง

เขาก็พาไป แล้วมันก็มีเพลงนึงเหมือนเขารู้สึกว่า เฮ้ย ลองให้คนในวงร้องดู ผมก็ลองร้องเล่น ๆ เขาดันชอบเสียงผม ก็เลยโชคดีได้ร้องเพลง ‘กลัวความสูง’ ที่ทุกคนเห็น ทุกวันนี้ก็อาจจะตกใจว่า เฮ้ย สิงโต นำโชคหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ ก็ตอนนั้นน่ะสุด ๆ เลย การมีชื่อเสียงครั้งแรกมันสุดยอดมากครับ

The People: ตอนนั้นที่บอกว่า คว้าโอกาสเอาไว้ก่อนแต่จริง ๆ แล้วมันใช่แนวดนตรีที่เราชอบไหม 

สิงโต นำโชค: อยากดัง! อยากดังอย่างเดียวครับ ไม่มีแนวเป็นของตัวเองหรอกครับพี่ คือเล่นผับ เราก็เล่นเพลงที่ฮิต ๆ ทั่วไปครับ ไม่มีสไตล์เป็นของตัวเองหรอกครับ ก็คือดีดกีตาร์ร้องเพลงก็สไตล์ที่ชอบก็ Loso, Blackhead ถามว่าเล่นได้ไหม ก็ไม่ได้ ฝีมือก็ไม่ถึง ตอนนั้นก็ไม่ได้มีแนวเป็นของตัวเองหรอกครับ แค่ได้มีเพลงเป็นของตัวเองก็ โอ้โห สุดยอดแล้วครับ 

The People: แล้วหลังจาก Mono หายไปไหนสักพักหนึ่ง 

สิงโต นำโชค: หลังจาก Mono ทีนี้เพื่อนเขาก็เหมือน…เรารับมือกับชื่อเสียงไม่ไหวครับ ก็แยกทางกัน เพื่อนก็ไปทำนู่นทำนี่ต่างคนต่างไปอะไรอย่างนี้ ผมก็เลยไปภูเก็ตไปแบบคิดเล่น ๆ ว่า เฮ้ย เรารู้นี่ว่า อ๋อ เนี่ยการออกเทปเป็นแบบนี้ คิดเล่น ๆ นะครับ คิดเล่น ๆ ลงไปแต่งเพลง กะลงไปแต่งเพลงสักแบบ 3 เดือน ไปเอา story ให้ตัวเองดูเท่ ๆ อย่างนี้

ลงไปแต่งเพลง แล้วก็เดี๋ยวได้เพลงมาก็จะขึ้นมาเสนอเพลงกับพี่ ๆ เราที่เราเคยทำงานด้วยพี่เต็น - ธีรภัค อย่างนี้ ก็จะเอาเพลงมาเสนอ ปรากฏว่าพอไปอยู่เสร็จปุ๊ป มันก็ชอบที่นั่น รู้สึกว่า อยู่ที่นั่นก็สบายดี ไม่เห็นจะต้องออกเทปอะไรอย่างนี้ 

ก็อยู่ไป 3 ปี 3 ปีเลย แล้วก็จนมีแฟนมีอะไร มีภรรยานะ แล้วเขาก็เลยชวนมากรุงเทพฯ ตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะมาแล้ว ผมอยู่นั่นผมว่าโอเคแล้ว ก็พอมาอยู่กรุงเทพฯ ได้โอกาสอยู่กรุงเทพฯ แล้ว ก็ลองเอาเพลงทำเพลงเสนอแล้วกันอะไรอย่างนี้ ก็เลยไปเสนอค่าย จริง ๆ ไม่กึ่งค่ายเป็นห้องอัดของพี่กิจ แจ๊ส โมโนโทนครับ

เป็นห้องอัดเขา แล้วก็พี่สาวเขากำลังทำ Production house เขาเรียก Production house นะ ตอนนั้นก็ไม่รู้แปลว่าอะไร ประมาณว่าคนมาจ้างทำเพลงจ้างอะไรอย่างนี้ เขาก็เลยลองทำเนี่ยทำสิงโต นำโชคขึ้นมา แล้วก็ไปทำกับค่าย Believe Records ก็เลยมาเป็นสิงโต นำโชคตอนนู้นน่ะ

The People: ที่บอกว่ารับมือกับความสำเร็จไม่ได้ มันเกิดอะไรขึ้น พอจะยกตัวอย่างได้ไหม 

สิงโต นำโชค: โอเค อย่างผมคือไปไหนต่อ มีเพลงนี้แล้วไปไหนต่อ ไม่รู้ บริหารไม่เป็น แล้วเด็กด้วยครับ คิดไม่ได้หรอกครับ แล้วก็แต่งเพลงก็ไม่เป็นด้วยก็มีพี่ ๆ เขาคอยแต่งให้ คือมันก็เลยไม่รู้จะทำเพลงออกมายังไง ทำเองก็ไม่เป็น ให้เขามาแต่งให้ก็เราก็ไม่รู้ ไม่รู้วิธี ไม่รู้อะไรอย่างนี้ครับ

บวกกับทำอัลบั้ม 2 ไว้ด้วย แล้วมันก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จ บวกกับอันนั้นด้วย ซึ่งจริง ๆ มันควรทำต่อ ควรทำต่อเนื่อง แต่เราก็ท้อแท้กันก็ต่างคนแยกย้ายไปทำนู่นนี่กัน เพราะว่าคือสมัยนั้นต้องบอกว่ารายได้มันยังหล่อเลี้ยงเราไม่ได้หรอกครับ หมายถึงตอนเล่นดนตรี มันเหมือนจะดังก็จริงนะ เพลงนั้นน่ะ แต่ว่าสุดท้ายเราก็ยังเล่นผับอยู่ หมายถึงชีวิตการเป็นศิลปินเนี่ย มันยังหล่อเลี้ยงเราไม่ได้ตอนนั้นน่ะครับ มันก็เลยไปเล่นผับอยู่ ก็เลยแยกไปเล่นกับวงนู้นบ้างวงนี้บ้าง เพื่อได้รายได้มาหล่อเลี้ยง แยกไปแยกมาก็แยกทางกัน

สัมภาษณ์ ‘สิงโต นำโชค’ ในวันที่เป็น ‘เด็กเอ็น’ และการก้าวผ่านตัวตนเก่ามาร้องภาษาอีสาน

The People: ที่เลือกภูเก็ต เพราะตอนนั้นตั้งใจจะไปหาอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า 

สิงโต นำโชค: ตอนนั้นผมชอบทะเลมากเลย ผมเป็นคนชอบทะเลมากเลย เพื่อนก็พาไปเที่ยวเกาะช้างก่อน ผมไม่ค่อยเห็นทะเลหรอกครับ แต่เห็นแล้วชอบมากเลย ไปเที่ยวเกาะช้างแล้วเขามีนักดนตรีเล่นริมทะเล เล่นอยู่ริมทะเลเลยนั่นน่ะ ภาพในฝันผมเลยบอก โหย เดี๋ยวผมจะไปใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ ผับอยู่ริมทะเล แล้วก็เล่นดนตรีไง แล้วได้อยู่ริมทะเล บ้านที่อยู่ก็คงจะแบบอยู่ริมทะเล คิดอย่างนั้นไง ตอนนั้นไม่รู้ว่าบ้านริมทะเลมันแพงไง ก็เลยไป Search หาใน Google ว่ารับสมัครนักดนตรีริมทะเล

พิมพ์แค่นี้ แล้วมันขึ้นมาที่ภูเก็ต ก็เลย โอ้โห แล้วก็ search ภาพภูเก็ตดูก็ โอ้โห สุดเลย สวยเลย ก็เลยไปที่ภูเก็ต ไป แต่มันก็ไม่ได้ริมทะเลหรอกครับ อยู่ในเมืองเป็นร้านคล้าย ๆ แบบโคโยตี้ มีโคโยตี้เต้นอะไรอย่างนี้ ก็คือผิดภาพที่คาดไว้ (หัวเราะ๗ ไปถึงจำได้เลยไปถึงแล้วก็ในเมือง อ่าว ไม่มีทะเลเหรอเนี่ย ไหนภูเก็ตมีทะเล เขาบอกทะเลต้องออกไปอีก 

เราอยู่ในตึกแถวนั้นแหละ เป็นตึกแถวแล้วก็เป็นร้านโคโยตี้ชื่อร้าน The bar แล้วก็วันนั้นจำได้เลยไปถึงตอนเย็น ๆ หน่อย แล้วร้านมันป้ายตัว T มันเสีย he bar ตอนนั้นต้องบอกว่า เฮ้ย เรามามันไม่ทะเลเลย มัน he bar ด้วย มันคืออะไรเนี่ย

ตอนนั้นน่ะจำได้เลยว่า เฮ้ย หรือหาแถวนี้ก่อน ก็ขับรถไปป่าตองเลยกับเพื่อน ตอนนั้นเพื่อนเขามีรถก็ไปชวนเพื่อนไปด้วย ไปป่าตองก็ โอ้โห ไม่ใช่ทางเราเลย มันเป็นแบบตื๊ด ๆ คือเราไอ้ที่เราไปเห็นเกาะช้างไปเล่นชิล ๆ ไง เล่นชิล ๆ อยู่ริมทะเลมันไม่มีเลย

เอาไงดีวะ บอกเพื่อนกลับเลย แล้วเดี๋ยวโทรฯ บอกพี่เขาเอาว่า เรามาไม่ไหวอะไรอย่างนี้ ซึ่งตอนนั้น Audition เรียบร้อยแล้วนะ เขาโอเคเลยนะ เขาโอเค ให้เงินเดือนด้วยให้อะไรด้วย แต่ว่าไม่ไหว ๆ กลับเลย จากภูเก็ตกลับมาเลย ถึงบางสะพานยางแตก ยางแตก ไม่มีตังค์ เพื่อนก็ไม่มีตังค์ ผมก็ไม่มีตังค์ 

เอาไงทีนี้ โทรฯ โอ้โห จะโทรฯ ไปรบกวนพ่อแม่ก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลย เราโตเป็นควายแล้วเนี่ย ไม่ได้เลย เอาไงดีวะ โทรฯ กลับไปที่ร้าน พี่รถผมยางแตก ขอ Advance ก่อนได้ไหม เขาก็คิดอยู่พักนึง เขาบอกได้ แต่เอ็งอย่าหลอกพี่นะ เอ็งต้องกลับมานะ ต้องกลับอยู่แล้วแหละครับพี่ ก็เป็นเหตุที่บังเอิญน่ะสุดท้ายก็เลยต้อง พอกลับไปถึงกรุงเทพฯ ก็เก็บข้าวเก็บของ แล้วกลับมาอยู่ แล้วก็กะว่า 3 เดือนแหละคง 3 เดือนแหละ

เพราะว่า โอ้โห อยู่ไม่ไหว แล้วตึกนั้นก็อยู่คนเดียวด้วย เป็นตึกที่แบบพอผับเลิกก็ไม่มีใครอยู่ แต่เราก็ไม่มีบ้านไง แล้วเขาก็ให้เราอยู่ตึกนั้นคนเดียว กลัวผีมากเลย ก็นั่นแหละก็ไปอยู่ร้านนั้นก่อน พอจน 3 เดือนรู้สึกกลับมากรุงเทพฯ เหมือนกันนะ แต่อยู่กรุงเทพฯ ไม่ได้แล้ว มันชินกับการอยู่ภูเก็ต มันชินกับการ เออ เมืองเล็ก ๆ แค่นี้ก็พอ ขี่มอเตอร์ไซค์ รู้สึกกรุงเทพฯ มันใหญ่เกินไปสำหรับเราตอนนั้นน่ะครับ ก็เลยกลับลงไปที่ภูเก็ต 

สิงโต นำโชค

The People: อะไรที่ทำให้อยู่ภูเก็ตได้ถึง 3 ปี 

สิงโต นำโชค: อ๋อ เมีย เจอภรรยาที่นั่น (หัวเราะ) ภรรยาผมเขาเป็นคนอเมริกา โอ้โห คนอย่างเราจะมีแฟนแบบหน้าตาลูกครึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้นะ แต่เรามีโอกาส โอ้โห โชคดีมากเลย เขาก็ไม่รู้ว่ามองเห็นอะไรผมนะ ผมก็รีบคว้าโอกาสนั้นไว้ เพราะเขาสวยมากเลย แล้วก็เลยอยู่ภูเก็ตด้วยกัน อยู่ไปอยู่กันยาวเลย อยู่กินกันฉันสามีภรรยาตอนนั้นน่ะ ก็นั่นน่ะ ก็อยู่จนรู้สึกว่าไม่ต้องออกเทปแล้วก็ได้มั้ง แหม ชีวิตมันก็เคยออกแล้วนี่ มันก็สุด ๆ แล้ว เราเล่นผับแค่นี้เราก็มีความสุขแล้วอะไรอย่างนี้ เลี้ยงชีพได้อะไรอย่างนี้ ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องออกเทปก็ได้ มีความสุขแล้วตอนนั้นน่ะคิดแค่นั้น

The People: ตอนนั้นดนตรีเซิร์ฟมันมา หรือว่ามันทำอะไรที่สิงโต นำโชค ไปเล่นอูคูเลเล่ แล้วกลายเป็นสิงโต นำโชค ที่มาพร้อมดนตรีแนวเซิร์ฟ (Surf Music) 

สิงโต นำโชค: มันเป็นเหตุบังเอิญอีกแหละครับ คือตอนนั้นน่ะด้วยความที่ภูเก็ต อย่างที่บอกร้าน he bar มันต้องเล่นเป็นร็อก ๆ เล่นแบบพอสัก 3 เดือนก็ไม่ได้เล่นร้านนั้นแล้ว แล้วการที่จะฟอร์มวง เพื่อนเราก็ไม่มี มือเบส มือกลองอะไร หาที่นั่นก็ยาก ก็เลยตัดสินใจเล่นกีตาร์โปร่งคนเดียวแหละร้องเพลง เพราะมีหลายร้านเพียบเลย ที่ให้เล่นแบบ Acoustic

เราปกติก็เล่นเพลง Acoustic เพลงไทยเนี่ยครับ แล้วก็ไปได้ยิน Jack Johnson อ๋อ เพลง Acoustic มันเล่นอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ เออ เท่ดี ก็เลยไปเล่นแนวนั้น ไปแกะเพลงเขาเล่น Jason Mraz เนี่ยไปแกะเพลงเขาเล่น แล้วก็เอามาเล่นเราก็ดูเท่เลย ดูแบบ โห้ย มีคนเดียวในภูเก็ตที่เล่นอะไรแบบนั้น

ก็เลยพอเล่นแล้วก็เลยลองแต่งเพลงแนว ๆ นั้น แต่งเก็บไว้ จนพอขึ้นมากรุงเทพฯ ถึงแบบเอาเพลง set นี้มาลองเสนอพี่เขาดู

The People: พอเป็น สิงโต นำโชค แล้วออกอัลบั้ม มีกระแสเครื่องดนตรีอูคูเลเล่ ฮิตกันตามมาด้วย คิดว่าเป็นผลจากกระแสที่สิงโต นำโชค ใช้เล่นด้วยไหม

สิงโต นำโชค: ไม่หรอกครับ ๆ อูคูเลเล่ดังอยู่แล้ว คือตอนนั้น Jack Johnson เขาก็ใช้นะ อูคูเลเล่แล้วผมก็ไปซื้ออยู่ที่ภูเก็ตตัวละ 1,000-2,000 นี่แหละ แล้วก็เอามาฝึกเล่นมันคล้าย ๆ กีตาร์แหละครับ มันง่ายดี ก็คือออกแรงน้อย ดูแตกต่าง คือเล่นไม่ต้องเก่งหรอก แต่ไม่เหมือนใครก็เลยดูแบบ เฮ้ย แตกต่างอะไรอย่างนี้

เสร็จปุ๊บ ตอนมาทำอัลบั้มก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้อูคูเลเล่เป็นหลักนะ ใช้กีตาร์ แต่มันมีเพลง มันจะต้องใช้อูคูเลเล่ในการอัด ทีนี้ราคามัน 9,000 ผมก็เลยคิดว่า เฮ้ย ไปหาดูในเน็ต มันประมาณ 9,000 ที่ดี ๆ หน่อยนะ ไอ้ที่ตัวเองมีมันไม่ค่อยดี อัดแล้วมันเสียงไม่ดี แล้วก็ไปเจอเว็บหนึ่งของพี่ด่อง จนทุกวันนี้ก็รู้จักกัน แกทำประกวดอูคูเลเล่ ทำประกวด แล้วก็ถ้าชนะก็จะได้ตัวนี้ไป ผมเลยลองไปประกวดเพื่อจะเอาอูคูเลเล่ฟรีมาอัดอย่างนี้ 

ก็โชคดี ได้อูคูเลเล่ฟรีมาอัดเพลง แล้วอูคูเลเล่ มันก็เป็นที่นิยมขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันเล่นง่าย ๆ คือกีตาร์มันก็จะเล่นยากขึ้นมาหน่อย อูคูเลเล่มันก็เลยไปทั้งผู้หญิงก็เล่นได้ ผู้ชายก็เล่นได้ เด็กก็เล่นได้ตอนนั้นนะ กระแสมันก็มาพอดี พอมาพอดีเสร็จปุ๊บผมไปถ่าย MV มั้ง เพลง ‘ทิ้ง’ ผมก็ใช้อูคูเลเล่เล่นมันง่ายดี เพราะว่าเป็น MV อินดี้นะครับ เดินตามท้องตลาด เดินตามถนนนะครับ งบไม่เยอะนะครับ เดินตามทะเลอะไรอย่างนี้ แล้วก็มันเดินไปกีตาร์มันหนัก มันเลยเอาอูคูเลเล่เล่นแล้วกัน

เขาก็เลยเห็นภาพว่าสิงโตเล่นอูคูเลเล่ ก็เลยเหมือนคนก็มาเล่นตามเล่นอะไรอย่างนี้ แต่จริง ๆ เขาเล่น เขาดังของเขาอยู่แล้ว อูคูเลเล่ดังของมันอยู่แล้ว ผมก็แค่ได้ออกสื่อว่าถืออูคูเลเล่ ทีนี้ไปรายการไหนก็เล่นแต่อูคูเลเล่ หิ้วกีตาร์ไปไม่เอา ๆ ๆ เล่นอูคูเลเล่ ๆ จนวันนึงดีดกีตาร์เขาบอกไม่เล่นอูคูเลเล่แล้วเหรอ 

The People: อัลบั้มนั้นถือเป็นอัลบั้มที่ทำให้คืนชีพสิงโต นำโชค ให้กลับมาสู่วงการ ได้ไหม

สิงโต นำโชค: ใช่ ๆ ตอนนั้นก็จำได้เลย เพลง ‘ทิ้ง’ ติดชาร์ต เราก็โอ้โห นี่ แหม่ การมีเพลง แล้วก็รู้สึกว่าเพลงมันเท่ เพราะโปรดิวเซอร์เราเก่ง พี่กิจ แจ๊สเขาเก่ง เก่งดนตรี เก่งอะไรอย่างนี้ คือเราอยากดูเป็นนักดนตรีเก่ง แต่เราไม่เก่ง แต่พี่กิจเขาเก่ง พอออกมาเราเลยดูเก่ง

ดู โอ้โห นักดนตรีเก่งอะไรอย่างนี้ ทุกคนก็เชื่อว่าเก่ง จริง ๆ แล้วไม่ล่ะครับ โปรดิวเซอร์เขาทำออกมา คนก็เลยเชื่อว่า โอ้โห นักดนตรียอดฝีมือ ดูเชิงดนตรีอะไรอย่างนี้ โมโนโทน เห็นป่ะ โอ้โห เก่งเนอะ เรียนดนตรีมาจากไหน ภาพที่คนเห็นน่ะก็เข้าใจว่าเป็นนักกีตาร์มือฉมังที่เล่นเซิร์ฟอยู่ภูเก็ตนะ หุ่นก็ต้องแบบ sixpack นะ สมัยนั้นนะ ไม่ใช่ภาพนั้นน่ะครับ นี่รองเท้าแตะ ตัวดำ ๆ แล้วก็ไปหา Audition ตามร้านนั้นร้านนี้อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ)

The People: ในแง่ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต มันทำให้เราลืมตาอ้าปากได้เลยไหม 

สิงโต นำโชค: อ๋อ ก็ยังหลับตาอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละครับ (หัวเราะ) คือว่าตอนนั้นไม่ค่อย ตอนนั้นนะ ไม่ค่อยได้ซีเรียสเรื่องการทำเงินเท่าไหร่นะครับ โอ้โห ก็มีอัลบั้มของตัวเอง เพลงของตัวเอง มันก็เหมือนตอนโมโนแหละ แล้วก็คิดว่า เฮ้ย รอบนี้วงไม่แตกแน่นอน เพราะเราไม่มีวง ถ้าแตกมึงก็ต้องทะเลาะกับตัวเองเนี่ยแหละ

ก็เลยคิดว่า เฮ้ย อันนี้แหละ ๆ แล้วก็ค่อย ๆ ทำมัน เพลงแรกมา เพลง 2 เงียบ ๆ ช่างมันทำไปเรื่อย ๆ เพลง 3 เพลง 4 คือเงียบเรื่อย ๆ นะ เงียบเลยเรื่อย ๆ ก็ทำคือมันก็อินดี้ เพราะเรา โอ้โห แค่นั้นก็สุด ๆ แล้ว เราไม่ได้แบบหวังที่จะมาเป็นแมส มันยากมากนะครับที่จะแบบจะดังจนคนรู้จักหมดเลย มันยากมาก มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอกครับ

แค่อินดี้ได้ไปเล่นงาน CAT มีคนมาดูเราแค่นั้นก็สุดยอดแล้ว มันสุดยอดแล้ว มันเติมเต็มผมมากเลย ผมพอแล้วผมก็ค่อย ๆ บริหารจากการแบบก็เล่นผับด้วยใช่ไหม คอนเสิร์ตมีไม่เยอะไม่เป็นไร เล่นผับด้วย แล้วก็ไปออกงานอัลบั้มตัวเองด้วยอะไรอย่างนี้ balance ไป ๆ จนวันนึงมันก็เดินทางมาถึงวันที่ไม่ต้องเล่นผับเลย อยู่ได้ มีงานพอที่จะแบบหล่อเลี้ยงตัวเองได้อะไรอย่างนี้

The People: พัฒนาจากวง Mono มาเป็นสิงโต นำโชค กับอูคูเลเล่ จนตอนนี้อูคูเลเล่ได้หายไปจากภาพของสิงโต นำโชคเลย 

สิงโต นำโชค: ผมเล่นแล้ว ไม่มีใครเขาฟัง (หัวเราะ) ไม่ใช่ผมเลิกเล่น ผมเล่นแล้วเล่นหลายเพลงด้วย ใช่ ๆ ก็ตอนนั้นเป็นสิงโต นำโชค แบบ Surf Music ก่อน ก็คือไม่รู้ว่าคืออะไรหรอกครับ ผมไปเปิด Google เพราะเดี๋ยวผมต้องมาตอบคำถามพี่ ๆ เนี่ยครับเวลาไปสัมภาษณ์

ก็เลยไป search ดูเขาบอกว่า Surf Music คือดนตรีป็อปชนิดหนึ่งที่ถ่ายทอดออกมาจากคนที่ใช้ชีวิตอยู่ริมทะเล แต่มันมียาวกว่านี้นะ ผมอ่านมาแค่นี้ อ่านมาตอบ เสร็จปุ๊บก็ทำอัลบั้มก็โฟกัสแนวนั้นน่ะจนมีเพลง ‘อยู่ต่อเลยได้ไหม’ อันนี้ก็จะไม่ใช่ Surf Music นะครับ อยู่ต่อเลยได้ไหมเป็นเพลงป็อป

เป็นเพลงป็อปที่ผมพยายามจะ copy Bruno Mars มีความแบบ (ทำท่าโยกตามจังหวะ) แต่ก็ได้แค่นั้นน่ะครับ คือมันคือเพลงป็อปและทุกคนก็สลัดภาพทะเลผมไม่ออก ก็เอาเพลงอยู่ต่อเลยได้ไหม ไปเปิดริมทะเล (หัวเราะ) 

แล้วบอกว่า โอ้โห อยู่ต่อเลยได้ไหมชิลมากเลย มันไม่ชิลหรอกครับ มันเป็นเพลงป็อปครับ พยายามอยากทำเพลงตลาดดู เพลงที่แบบทุกคนฟังเข้าถึง จริง ๆ แล้วตอนนั้นน่ะไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น ไม่ได้ตั้งใจว่าตัวเองจะมีฝีมือทำเพลงที่ทุก ๆ คนชื่นชอบได้

แต่อย่างที่บอกคืออยากทดลอง เห็น Bruno Mars เขามีท่อนอะไรเนี่ย เหมือนท่อนก่อนโซโล่ ท่อนตรงกลาง … เหมือน Bruno Mars เขาชอบทำ เฮ้ย อยากลองทำแบบนี้ ไม่คิดหรอกครับว่ามันจะเป็นที่นิยม แล้วก็ปล่อยมาแล้วอยู่ดี ๆ มันก็มา อันนี้ไม่รู้เลย

อยู่ดี ๆ มันก็มา มาแบบมาจนทำให้เรามีงานเยอะเลยครับ เคยเดิน RCA ร้านนี้เปิด เดินมาอีกร้าน ร้านนี้เล่น เดินมาอีกร้าน ร้านนี้เปิด มาร้านนี้เล่น ทั้งเส้นเลย โอ้โห ตอนนั้นแบบอีกขั้นหนึ่งแล้วกัน อีกขั้นหนึ่งของชีวิตที่หลายคนรู้จัก ทุกคนเอาไปร้องในผับ ตอนเพลงทิ้งยังไม่มีร้องในผับหรอกครับ 

อัลบั้มนั้นบอกตรง ๆ เลยว่าเล่นในผับคนยังงง ๆ อยู่บ้าง แต่ว่าพอ ‘อยู่ต่อเลยได้ไหม’ เขาก็ร้องตามกันได้ แล้วก็ผมว่าเหมือนบุญมันส่งผลอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ฝีมือนะ ตอนนั้นคิดว่าฝีมือนะ คิดว่าตัวเองเนี่ย ฝีมือแท้ ทำเพลงนี้ก็ดัง แล้วก็พี่เต็น - ธีรภัค ก็คือเป็นโปรดิวเซอร์ตั้งแต่โมโน บอกพี่เต็นที่มีโปรเจกต์แจ่มจันทร์กับเพื่อน ๆ พี่เต็นน่ะ ก็แต่งเพลงมาแล้วก็ร้อง แต่งเพลงมาร้อง สิงโตมาร้องด้วยกันสักเพลงสิ เราก็ไฟขึ้นเลย เอาเพลงที่เราเขียน อยากโชว์อาจารย์ว่า เนี่ยเพลงนี้ พี่เต็นบอกไม่เอา มึงมาร้องเพลงกู เพลงที่พี่เต็นแต่งก็คือเพลง ‘อาย’

ทีนี้เพลงมันไปอีกขั้นเลยครับ มันข้ามไปเด็ก ๆ “อ๊าอิยาอิยา อ๊าอิยาอิยา” อะไรอย่างนี้ ผมก็มา 2 เพลงนี้ ก็มีเพลง ‘อยู่อย่างเหงา ๆ’ ด้วย ซึ่งเป็นเพลงช้า ๆ อันนี้อัลบั้ม 2 แล้ว ๆ ก็ช่วงนั้นน่ะ คนก็รู้จักเพิ่มมากขึ้น มีงานทุกวัน ๆ อะไรอย่างนี้ครับ 

The People: แล้วมาเป็นเพลงที่ร้องติดปากกันว่า ‘โด่ดิดง’ ร้องภาษาอีสานกับดนตรีที่ผสมความเป็น soul กึ่งป็อปตามกระแสนิยมได้อย่างไร

สิงโต นำโชค: ผมไม่ได้ตั้งใจอะไรเลย คือก่อนจะมา ผมก็ทำเพลงแบบสไตล์ยุค 2 นะ แล้วก็มีอัลบั้มนึงนะ อัลบั้มนั้นก็ไม่ค่อยเป็นคน ไม่ค่อยมีใครรู้จักมาก ชื่อ Just Have Fun With It สนุกไปกับมันน่ะ เพราะเราไม่มีไอเดียทำเพลง เพราะเราทำมาหมดแล้ว เรายังไม่มีไอเดียครับ แต่มันต้องทำ เหมือนเรียนรู้จากคราวที่แล้วว่าอย่าหยุดทำมันน่ะ มันต้องทำ

เราก็เลยทำอันนี้ขึ้นมาด้วยไอเดียเราลองสนุกไปกับมันแล้วกัน อย่าไปคิดมากอะไรอย่างนี้ คือพยายามไม่คาดหวังมันน่ะ พอทำเพลง ทุกคนคาดหวังไง เพราะเราก็เลยไม่คาดหวังมัน เสร็จปุ๊บ อัลบั้มนั้นก็ไม่ได้เป็นที่รู้จักมาก

เสร็จปุ๊บก็ช่วงโควิด-19 นี่แหละครับ TikTok มันเข้ามา ผมก็เพลิดเพลินกับการเล่น TikTok มากเลย แล้วก็ใน TikTok มีทุกสิ่งอย่างที่คุณไม่เคยเห็น คุณจะได้เห็นในนั้นนะ แล้วก็ผมเกิดอีสานแท้ ๆ เลยเป็นลูกอีสานเลยแต่ไม่อินเพลงหมอลำตอนเด็ก ๆ ไม่อิน 

เราอยากเข้ามาในเมือง เราอยากเป็น เราฟัง RS แกรมมี่ เราไม่อยากฟังเพลงพื้นบ้านเรามันไม่เท่ พอ TikTok เขาจะมีแบบอยู่ดี ๆ ก็เพลงยุคก่อน เพลงหมอลำอะไรอย่างนี้หลุดออกมา ฟัง เฮ้ย ทำไมมันเพราะจัง เพราะมากเลย แล้วก็มีกลอนลำที่เด็กวัยรุ่นน่ะครับ เด็กวัยรุ่นเขาเป็นนักศึกษา นักศึกษาดนตรีพื้นบ้านน่ะ เขาก็เกาะกลุ่มกัน แล้วเขาก็เอามาลง TikTok บอก เฮ้ย มันเพราะอย่างนี้เลยเหรอ พวกกลอนลำมันเพราะมากเลย เพราะจนผมแบบแกะร้องก่อน ผมแกะร้องก่อน แกะร้องเสร็จปุ๊บ โอ้โห ฝึกร้องไปเรื่อยเลย

ฝึกร้องเพลงนั้นเพลงนี้ แล้วก็มีเพลงลูกทุ่งอีก เพลงลูกทุ่งไปแกะ เฮ้ย ทำไมมันเพราะจังเลย เมื่อก่อนเราเฉย ๆ มาก เราฟังแล้วเราไม่เข้าเลย เพราะว่ามันไม่เท่ พอเพราะเสร็จปุ๊บ ด้วยความที่เด็ก ๆ ฟังอยู่แล้ว พ่อฟัง พ่อเป็นนักร้องลูกทุ่ง เปิดอัดหูมาตลอดตั้งแต่เด็กเลยมีเชื้ออะไรอยู่ที่แบบอยู่ดี ๆ ก็เลยลองเขียนขึ้นมา

เขียนโด่ดิดงขึ้นมาแป๊บเดียวครับ เขียนมาแล้วก็คิดว่ามันไม่ดังหรอกครับ มันเป็นการทดลองเฉย ๆ ทดลองเฉย ๆ แล้วก็ลองทำดนตรีขึ้นมาเล่น ๆ เพื่อฟังแค่นั้นนะครับ เพราะผมเพลินอยู่กับ TikTok อยู่ตอนนั้น ผมคิดว่าจะเลิกทำดนตรีแล้วจะไปเป็นดาว TikTok (หัวเราะ)

เล่นไป ๆ เสร็จปุ๊บ มันเป็นช่วงที่ผมมาโฟกัสการทำ YouTube คืออยากมีช่อง YouTube เพราะเดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็ต้องมี YouTube แต่เราทำไม่เป็นน่ะ เราทำแบบที่ youtuber เขาทำเราทำไม่เป็น มันยากมากเลยนะพี่ พูดกับกล้องคนเดียว นี่ขนาดคุยกับพี่ (ห้อง)มืด ๆ ผมยังลำบากเลย อันนั้นคุยกับกล้องไม่มีใครเลย แล้วก็เอาไงดีวะ เราจะเริ่มไงดี เอางี้แล้วกัน เริ่มจากสิ่งที่เราถนัดแล้วกัน ก็เอาเพลงที่เรามีที่เราไม่ได้ใช้เอามาลง ตอนแรกก็จะลงเปล่า ๆ แหละครับ

แล้วก็จำได้ว่า เฮ้ย สมัยตอนที่เราอยู่ค่ายเพลง เขาเหมือนเคยไปคุยกับ product ว่า ผมมีเพลงนี้นะ พี่สนใจสปอนเซอร์ไหม ถ้าพี่สนใจพี่ก็เอาตังค์มาเอา เดี๋ยวผมเอาสินค้าพี่ขึ้นอะไรอย่างนี้ เขาก็ให้ตังค์มา แล้วเขาบอกว่า โอ้ย เพลงนี้ดังแน่นอน

ไม่จริง ผมทำเพลงมาทั้งชีวิตอันนี้ไม่ดังหรอก อะไรก็ไม่รู้ เพลงไม่มีอะไรเลย มาโด่ดิดง ละดิโด้ดิดง เพลงไร้สาระที่สุดแล้ว ไม่มีเนื้อหาอะไรเลย เสร็จปุ๊บก็ปล่อยไป ตอนนั้นเริ่มสนุกกับการ เฮ้ย อ๋อ แบบว่าทำเพลงเองปล่อยเพลงเอง มันก็สนุกอีกแบบ คือเรามีค่ายมา 10 กว่าปีแล้ว ที่แบบว่าค่ายทำให้หมด เราแต่งเพลงเอาไปให้ค่าย ค่ายก็คิดให้หมด เราก็อยู่เฉย ๆ รอไปโปรโมทอะไรอย่างนี้ มันสนุก

แต่ว่ามันทำมา 10 ปีแล้ว มันทำซ้ำมา 10 ปีแล้ว มันเริ่มรู้สึก มีอะไรมันกว่านี้ไหม ทีนี้การได้แบบ เฮ้ย ไปติดต่อลูกค้าหรือการได้ควักตังค์ตัวเองทำ หรือการได้แบบติดต่อผู้กำกับมาทำอย่างนี้ รู้สึกสนุกไปอีกขั้น ตอนนั้นคิดแค่นี้นะ ถ่าย MV เสร็จวันแรก รู้สึกมันมากเลย ดีใจมากเลย

แล้วก็ถ่ายเบื้องหลังด้วย ถ่ายเบื้องหลัง เฮ้ย สนุก สนุกมากเลยการแบบมาทำ MV เอง ทำอะไรเอง ปล่อยเพลงเองทำเองอย่างนี้ รู้สึกฟินมากเลย ไม่คิดว่าเพลงจะมาครับ พอมัน 1,000,000 views ก็คิดว่าสุดแล้วพอแล้ว 1,000,000 views สุดแล้ว

แล้วมันก็มา 2 แต่มันค่อย ๆ นะครับ 2-3 เฮ้ยจะ 5 เลยเหรอ เยอะไปเปล่า เฮ้ย 10 เลยเหรอ พอแล้วมั้ง พอแล้วคงประมาณนี้แหละ นี่ก็แล้วก็อยู่ดี ๆ ใน TikTok ครับ คนเขาเอาไปเต้น ภาพคล้าย ๆ ตอนอยู่ ‘ต่อเลยได้ไหม’ เลย แต่อยู่ต่อเลยได้ไหมเดิน RCA อันนี้ไถ TikTok ไถไปก็ โด่ดิดง ละดิโด้ดิดง กดก็ โด่ดิดง ๆ อยู่นั่นน่ะ

แต่ยอด view ก็ยังขึ้นไม่เยอะนะ ตอนนั้นก็ยอด view 5 ล้าน 6 ล้านอะไรอย่างนี้ แล้วก็มันก็ค่อย ๆ มา ๆ จนมาถึง 100 ล้าน view แรกในชีวิตเลย จริง ๆ มีอีกเพลงนึงชื่อรองช้า ทำกับ DTK รองช้านี่ก็ไล่ ๆ มา แต่โด่ดิดงผมนำ แข่งกันเอง โด่ดิดงนำ แล้วก็หลังจากนั้นน่ะ 100 ล้าน view ‘รองช้ำ’ ก็ถึงมา ก็มี 100 ล้าน 2 เพลงในชีวิตตอนนั้นนะ

The People: เคยคิดว่ามันแปลกไหม เพราะทำทั้งดนตรีแบบยุควง Mono ทำทั้ง Surf Music เป็นทางดนตรีป็อปก็เป็นแล้ว แต่ว่ามาดังในสิ่งที่เป็นดนตรีท้องถิ่นผสมกับดนตรีกระแสหลัก กลายเป็นว่าสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดทำให้ได้ 100 ล้านวิว 

สิงโต นำโชค: คือผมอย่างนี้แล้วกัน ผมตอนนั้นน่ะ ก่อนที่คิดจะแต่งเพลงแนวที่มีอีสานผสม รู้สึกว่าผมพยายามไปข้างนอก เมื่อก่อนถ้าสังเกต ผมมีอัลบั้มภาษาอังกฤษด้วยนะ ก็คืออยากจะ go inter อยากไปให้มันให้โลกได้ตะลึง ให้โลกได้ตะลึงเรา ก็ทำเพลงสากลเริ่มจากเอาเพลงตัวเอง เพลงทิ้ง อะไรพวกนี้แปลงเป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วก็ให้พี่ที่เขาเก่งภาษาอังกฤษมาช่วยออกเสียง ช่วยแนะนำเรื่องออกเสียง ปวดลิ้นมาก เหนื่อยมาก ทรมานมาก ร้องผิดร้องถูกไม่มีความสุขเลย

แต่อยากให้โลกตะลึงในความสามารถเรา ก็เลยทำออกมาจนเสร็จ 5 เพลง เปิดฟัง เฮ้ย เหมือนเพลงเมืองนอกเลยนะเนี่ย ก็ตะลึงนะ ยอดขายตะลึงเลยครับ ไม่ได้มีใครสนใจ (หัวเราะ) ก็ทุกคนก็ทำ ฝรั่งเขาทำเก่งกว่าเราอีก แล้วก็เป็นคนมึนด้วย ไม่ยอมแพ้ ต่ออีก 1 อัลบั้ม ชื่ออัลบั้มภาษาอังกฤษ มันจะมีอยู่ carnival ชื่อเพลง carnival

เป็นเพลงที่ต้องบอกว่าตั้งแต่ออกเทปมาเนี่ยอันนี้ยอด view น้อยที่สุดแล้ว มีเพลง Carnival มีเพลงอะไร ผมจำชื่อไม่ได้ อัลบั้มนั้นน่ะเป็นภาษาอังกฤษหลายเพลงเลยครับ หลายเพลงเลย ไปอัดที่อังกฤษด้วย คนแต่งก็เป็นชาวอังกฤษ

โอ้โห รอบนี้โลกต้องตะลึงผมแน่ ๆ เพราะว่าทีมงานผมฝรั่งหมดเลย ก็ตะลึง ตะลึงกลับมาเหมือนเดิม ตะลึงแล้วก็เอาอีกไหม ถามตัวเองจะเอาอีกไหม รู้สึกว่ามันดีนะ ตอนนั้นน่ะ เพราะว่าเราเหมือนเราได้ออก challenge มัน มันถูกต้อง ณ ช่วงเวลานั้น ที่มันควรจะต้องเป็นแบบนั้น ถ้าผมไม่ทำผมก็กลายเป็นไม่ได้ทดลอง ไม่ได้ทำอะไรอะไรอย่างนี้

ตอนนั้นไปตอนนั้นอายุ 30 ต้น ๆ ก็ไปเลย ทำ แล้วก็มีทั้งสนุก แล้วก็มีทั้งไม่สนุกเลย ทำไมไม่ใช่เรา มันดูไม่ใช่เรา เหมือนเราพยายามอยากจะเป็นใครอยู่ โดยที่เอาเนื้อเพลงเขามาใส่ มันไม่ใช่เราเลย เราไม่ได้เกิดเมืองนอก เราไม่โตเมืองนอก...

แล้วก็จนเนี่ยช่วง TikTok เนี่ย เริ่มรู้สึกว่าเราเปลี่ยนจาก Go Inter มาเป็น Go Inside ดูบ้างไหม มันอยู่ข้างในเราเนี่ย เพราะเคยฟังพี่ต่อ ฟีโน ให้สัมภาษณ์ แกให้สัมภาษณ์ ผมชอบแก ชอบฟังแกสัมภาษณ์ แกบอกว่าเหมือนงานแกคือมันจะต้อง แกบอกเหมือนยิงหนังสติ๊ก มันต้องยิงยิ่งง้างเท่าไหร่ ยิ่งไปไกล ก็คือกลับมาดูรากเหง้าเราว่าเราเป็นใคร เราเป็นอะไรยังไงอย่างนี้

งานแกมันเลยแบบมันเลยจริง ดูแล้วมันจริง ผมก็เลยแบบพยายามว่า ข้างในเรามีอะไรวะ

วัดกันเลย Ed Sheeran วัดเลยนะ เมื่อก่อนคือพยายามไปให้เหมือนเขาที่สุด จะ … ให้เหมือนเขาที่สุด ตอนนี้ถามกลับ มันมีอะไรที่ Ed ทำไม่ได้บ้างวะ ที่เราทำได้ (เว้นวรรค แล้วทำท่าเหมือนคิดอยู่) อ๋อ มึงเว่าอีสานคือกูบ่ได้บักเอ็ด มึงเว่าคือกูบ่ได้ มึงเจอกู คิดแค่นี้ ได้ ๆๆๆ เพราะมึงฝึกให้ตาย มึงก็ฝึกไม่ได้หรอกภาษาอีสาน … จากข้างใน เหมือนเราพยายามร้องตามเขาไง เจอกูบักเอ็ด มึงเจอ ก็เลยเอาอีสานเนี่ยมาทำ 

The People: ถือว่าเป็นตัวตนที่จะใช้ในระยะยาวเลยไหม 

สิงโต นำโชค: โอเค ถ้าถามว่าระยะยาวจะเป็นแบบนี้ไหม ไม่รู้จะอยู่ระยะยาวหรือเปล่า มันไม่มีอะไรแน่นอนเลยล่ะครับ จากที่เห็นที่ผ่านมาใช่ไหม ทุกอย่างมันเปลี่ยนหมด มันไม่มีหรอกว่า เดี๋ยวผมจะต้องอยู่อย่างนี้ต่อไป แต่ถ้าถามผมว่า ต่อไปจะเป็นอะไร ไม่รู้หรอกครับ

เดี๋ยวโลกมันจะพาเราไปเอง เราไม่ได้เป็นคนกำหนดนะครับ โลกกำหนดเรา อาหารที่เรากิน สิ่งที่เราเห็น สถานที่ที่เราอยู่ มันก็จะขัดเกลาให้เราเป็นใคร ณ ช่วงเวลานั้นน่ะ 

The People: พูดได้ไหมว่าสิงโต นำโชคเป็นคนที่ถูกโลกขัดเกลาไปตามแต่ละช่วงเวลา 

สิงโต นำโชค: ใช่

ผมเคยขัดเกลาโลกแล้ว มันเหนื่อย ปล่อยให้โลกขัดเกลาเรา เราก็แค่ชิ่งไป เขาพาไปไหนเราก็ไปกับเขานี่ แล้วก็เรียนรู้ไปกับมัน

เรียนรู้ไปกับสิ่งใหม่ ๆ ที่โลกเขาเอามาเสิร์ฟเราตลอด เขามาเสิร์ฟเราตลอดนะ เพิ่งใช้ Facebook เป็นต้องมาฝึกใช้ TikTok อีก ใช้ TikTok เป็น มี … อีกแล้วอะไรอย่างนี้ คือโลกเขาจะพาเราไปเอง ไม่ต้องห่วงครับ  

The People: อย่างเพลง I Have No Black Magic อันนี้ก็คือการล้อเพลง ‘นะหน้าทอง’? แนวคิดคืออะไร

สิงโต นำโชค: เพลงนี้เนี่ย ตอนแรก อย่างที่บอกคือพอผมอยู่ในโลก TikTok จะรู้ว่า ช่วงนี้เพลงเกี่ยวกับกระแสมา จริง ๆ ก่อนหน้า ‘นะหน้าทอง’ จะมีนี่หลวงพ่อกวย หลวงพ่อกวยมา เฮ้ย มาแล้วก็มาเสร็จปุ๊บ เฮอร์ไมโอน้อง เสกจังเลย เฮ้ย ช่วงนี้เสกแล้วได้เว้ย เสกแล้วได้ นะหน้าท้องมาบึ้มเลย

เฮ้ย หาคาถาก่อน กูหาก่อนเลย ‘นะโมตัด…’ ไม่ได้ ๆ อันนี้ไม่ได้ (กลั้นขำ) อันนี้ไม่ได้จริง ๆ (ยกมือขึ้นไหว้) มันมีอะไรอีก มันมีคาถาเงินล้านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ลองแล้ว ไม่มา เป็นคาถานะแต่ไม่มา เอาไงดีวะ ไม่ หาคาถาอะไรดีวะ

ไม่มี เออ ไม่มีก็บอกเขาไปตรง ๆ ไม่มี อย่าไปฝืนเลย ก็เลยเขียนขึ้นมาว่าเราไม่มีคาถา เขาก็เลยไม่มาสนใจเรา คิดแค่นี้ เบื้องต้นมีแค่นี้ 

แต่เรารวยมากนะ รวยมากเลย รวยให้ตาย ถ้าไม่มีคาถาก็ไม่ได้ แล้วก็เลยเขียนเพลงขึ้นมา พอเขียนเสร็จ เฮ้ย จริง ๆ มีเพลงอื่นต่อคิวที่จะปล่อยนะ แต่ว่ามันต้องปล่อยตอนนี้ เพราะเดี๋ยวเขาเลิกเป่าคาถาเรา แล้วเดี๋ยวเราเก้อ

เราก็เลยไปก่อน ไปก่อนแล้วก็ได้เพลงนี้มา แล้วผมมีไอเดียหนึ่ง ผมรู้สึก MV ก้อง ห้วยไร่ MV จะต้องเป็นโดนคนรวยมาแย่งแฟนตลอดเลยนะ แล้วก็จะต้องวิ่งตามมอเตอร์ไซค์ วิ่งถีบมอเตอร์ไซค์อะไรกันเนี่ย คือรันทด ผมก็เลยอยากเห็นว่าคนรวย ถ้าสมมุติผู้หญิงไม่ได้เลือกคนรวยแล้วไปเลือกคนจนน่ะ มันจะเป็นยังไง ใน MV ก็เลยอันนี้เป็น MV นี้เกิดเป็นไอเดียนี้ขึ้นมา 

The People: ที่ผ่านมาคือหยิบจับเทรนด์จาก TikTok เหมือนตอนที่ร้องเพลงกับพี่ก้อง ห้วยไร่ ที่ร้านลาบแล้วกลายเป็นเพลงดัง 

สิงโต นำโชค: คืนกูสา 

The People: ทำเล่น ๆ แต่มันกลายเป็นเพลงแบบดังไปเลย 

สิงโต นำโชค: เนอะ เหมือนเราพอไม่ได้ตั้งใจมาก มันก็จะมันสบายมั้ง ผมว่าเหมือนก้องเขาแต่งรอบเดียวนะ เขาแต่งกับเพื่อนเขาแหละ เพื่อนเขามาตามเรื่องแหละครับ เพื่อนไปร้านเหล้าแล้วไปเจอแฟนเก่า เอ้ย ไปเจอแฟนใหม่ของแฟนเก่ามานั่งอยู่ อ่าว ทำไมมึงมาคนเดียว อ่าว แฟนกูไปไหน อย่าบอกนะมึงทะเลาะกัน มึงทะเลาะกันกูไปเอาคืนกูนะ กูไปเอาคืนนะ อะไรประมาณนี้

เพื่อนเขามาเล่า ก้องก็ร้องเลยตอนนั้น แล้วตอนเช้าก็แกะเนื้อมาให้ฟัง ผมก็เลยร้องเล่น ๆ ก้องบอก เอ้ย งั้นร้องด้วยกันเลย ก็ไปนั่งเล่นบ้านก้องนั่นแหละ บ้านก้องแล้วก็มีกล้องตัวหนึ่ง แล้วก็มีเป็นไฟคล้าย ๆ อย่างนี้ (ชี้ไปที่ไฟในฉาก) แต่เป็นแท่ง ๆ แท่งแค่นี้ครับ ไฟวางทำให้ดูเป็นร้านลาบแล้วก็เล่น คนก็ชอบ

The People: สิงโต นำโชค กลายเป็นมาในยุคดาว TikTok ไปแล้วหรือเปล่า จากภาพ Surf Music ตอนนี้กลายเป็นสายฮา 

สิงโต นำโชค: ใช่ ๆ ไม่มีตัวตน ไร้ตัวตน ตอนนี้ต้องบอกว่าไร้ตัวตนครับ คือผมพยายามคิดนะ เมื่อก่อนผมจะชอบยึดติดมากเลยว่า singer-song writer เขาเขียนให้ผม ผมไม่ใช่ singer-song writer เลย แต่เมื่อมีคนจรดปากกาให้ เราจะรู้สึกว่า singer-song writer ก็จริง ๆ เราไม่ใช่ใครเลยครับ เราก็แค่โตมา แล้วแต่โลกจะพาเราไป

โลกพัดพาเราไปทำงานโรงงาน เราก็ต้องทำ โอเค ฟังเพลงแล้วชอบ เฮ้ย อยากเป็น อยากเป็นก็ฝึกทำเป็น โลกก็พัดพาเป็นนักดนตรี เฮ้ย อยากออกเทป ทำไงได้ออกเทป ก็ไปออกเทป …

เหมือนโลกพัดพาเราไป ทีนี้พอมาถึงยุคนี้ ผมรู้สึกว่าผมเหนื่อยกับการยึดติด singer-song writer ต้องมีกีตาร์ตลอดเลย ไม่มีกีตาร์ไม่ได้ เขินอะไรอย่างนี้ แล้วก็ติดอยู่กับมันเนี่ย ทุกเพลงมันจะต้องเป็นอย่างนี้ ก็จนมาอัลบั้มนี้รู้สึกว่า ลองไม่เป็นใครเลยได้ไหม ลองเป็นแบบเราเป็นอะไรดี 

เป็นผู้ให้ความบันเทิงแล้วกันอย่างนี้ คิดอย่างนี้ เราเป็นผู้ให้ความบันเทิงแล้วกัน เราเป็น Youtuber ก็ได้ Youtuber ฝึกหัด ไม่เก่ง Youtuber ฝึกหัดก็เป็นได้ เราเป็นนักแสดงก็ได้ ก็มีไปแสดงหนังแสดงอะไรอย่างนี้  ผมรู้สึกว่าพอผมตัดคำว่า singer-song writer ออกไป ผมรู้สึกผมเล่นละครมีความสุขขึ้น ผมกล้าเล่น ผมก็กล้า ผมรู้สึกดีขึ้น รู้สึกที่ผมเป็นตัวละครจริง เมื่อกี้พี่เขามาเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ เขาบอกเขาก็ดูละครที่เล่นเป็นอีสานอะไรอย่างนี้

ผมจำได้เลยตอนไปถ่าย มันมีฉากนึงคือนักแสดงทุกคนเขาทำได้อยู่แล้ว เขามืออาชีพ คนร้องไห้อะไรร้องห่มร้องไห้ได้เลย สั่งถ่าย 4 รอบก็ร้องได้ 4 รอบ เขาเก่งมาก แต่เรายังไม่ใช่ไง และทุกคนเอาใจช่วย เพราะว่าเราเป็นนักดนตรีอะไรอย่างนี้

แต่ฉากนั้นคือพ่อตาย พ่อมึงตายเนี่ยไม่เศร้าไม่ได้ เขาก็พยายามนะ เอ้ย ไม่เป็นไรเหมือนเราทำใจแล้ว ทำใจแล้วยังไงก็ไม่ได้ เพราะพ่อตายมึงต้องเศร้า ภาพอดีตมันต้องมาพอสลัดคำว่า singer-song writer ออกแล้วก็วันนี้เป็นนักแสดง วันนี้ผมคือนักแสดง ผมก็ต้องทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ทุกคนไว้ใจผม ให้ผมมาแสดง ให้ผมมาให้ความบันเทิง ผมต้องทำให้เขาบันเทิงที่สุด บันเทิงที่สุด

สรุปน้ำตาไหลออกมาปื๊ด ๆ ให้ความบันเทิงจริง ๆ ฉากนั้นทุกคนขำ พ่อผมตาย(ในละคร)แต่ทุกคนขำ (หัวเราะ) เพราะว่าเขาให้ผมใส่วิก ให้ผมใส่วิกแล้วก็มันดูแปลก ๆ เขาก็เลยไม่รู้จะเศร้าหรือจะขำดี

สรุปก็คือคนดูได้ความบันเทิง ผมก็โอเคแล้ว ก็คือรู้สึกว่า ณ คำจำกัดความตอนนี้ของผมคิดว่า ผู้ให้ความบันเทิง เด็กเอ็น Entertain ทำอะไรให้ทุกคนมีความสุข เล่นคอนเสิร์ตก็ได้ ให้ทุกคนมีความสุขที่สุดได้ เล่นตลกก็ได้ ทำอะไรก็ได้ที่ให้ทุกคนขำ เออ ผมรู้สึกผมมีความสุขกับอันนี้ ณ ช่วงเวลานี้นะ

The People: อีกหนึ่งบทบาทที่คนน่าจะจำได้ก็คือเป็นโค้ช The Voice แล้วก็มีเปลี่ยนโค้ชไป เกิดอะไรขึ้น?

สิงโต นำโชค: ใช่ ๆ เขาก็เปลี่ยนไงครับ ๆ (หัวเราะ) คือต้องบอกว่าตอนนั้นน่ะ challenge ผมมากเลย ผมเพิ่งออกเทปได้ 6 ปีเอง ผมไม่ได้เป็นคนมีความสามารถอะไรอย่างที่บอก คือโลกพัดพาเราไป อยู่ดี ๆ เขาก็เข้าใจว่าผมเนี่ยนักร้องคุณภาพ พี่เขาก็เลยให้โอกาสไปเป็นโค้ช ภาพมันคล้าย ๆ ตอนเพื่อนผมชวนผมไปออกเทป ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธว่าผมทำไม่ได้ ซึ่งผมทำไม่ได้นะ ๆ แต่ผมจะไปทำ แล้วก็จะไปเรียนรู้กับมันน่ะ ซึ่งมันก็ต้องฝ่าฟันอะไรเยอะแยะมากมายเลย

เหมือนเราบางคนก็ชอบที่เราไปทำ บางคนก็ไม่ชอบ รู้สึกว่ามีคนอื่นที่เหมาะสมกว่าเยอะแยะเลยอะไรอย่างนี้ เราต่อสู้ ต่อสู้กับมันมาเทปแรก ภาค เขาเรียกอะไรนะ season ผม season เท่าไหร่จำไม่ได้ 3 นี่แหละ น่าจะ 3-4-5 คิดว่านะ ทำมาอยู่ประมาณ 3 ปี แล้วพี่เขาก็ผลัดเปลี่ยนเป็นพี่ป๊อป ปองกูลไปทำแทน แล้วก็ได้อยู่ในนั้น 3 ปี ซึ่งต้องบอกว่าเป็นโรงเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับผมเลยนะ คือผมเคยแบบเจอดราม่าเจออะไรอย่างนี้ เจอดราม่าพูดไม่รู้เรื่องหรืออะไรอย่างนี้

เราไม่เคยเจอดราม่าในชีวิต เราไม่เคยมีใครมา comment น่ะ อันนี้แบบจุใจเป็นเอกฉันท์ นึกออกไหม เอกฉันท์ เฮ้ย โอ้โห เอกฉันท์เลยเว้ย ตอนแรกคิดว่าผมทำได้ ผมไม่ไปอ่านหรอก แหม เราก็อย่าไปอ่านสิ สอนเขาด้วย อย่าไปอ่านสิ ผม แหม ผมจิตใจผมแข็งอยู่แล้ว ผมไม่อ่าน พออ่านมันแล้วมันน่ะ เวลาคนด่าเรา มันนะ เวลาคนชม เราเฉย ๆ แต่เวลาคนด่า เฮ้ย มัน ก็อันนั้นส่วนหนึ่ง

ส่วนเรื่องทางดราม่าส่วนหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่ได้มาก ๆ เลยคือทำโชว์ โห มีอย่างนี้ด้วย มีอย่างนั้นด้วย แล้วมีแต่คนเก่ง ๆ ทั้งนั้นเลยข้างใน ไม่ว่าจะเป็นทีมนักดนตรี ก็ได้เรียนรู้ตรงนี้มา ถือว่าเป็นโรงเรียนที่เข้าไปเรียนฟรี แล้วได้ตังค์กลับมาด้วย ก็คุ้มค่ามาก ๆ ครับ

ทุกวันนี้ก็หลาย ๆ คนยังถามอยู่ไม่ทำ The Voice แล้วเหรออะไร ชอบดู The Voice มากเลย เมื่อไหร่จะกลับไปอย่างนี้ อ่อ เราเลือกเองได้ด้วยเหรอ ต้องให้เขาโทรฯ มาสิครับอย่างนี้ (หัวเราะ) ก็มีคน พี่ ๆ หลายคนนะ เขาก็ทัก เขาก็ชอบตอนอยู่ The Voice  

สัมภาษณ์ ‘สิงโต นำโชค’ ในวันที่เป็น ‘เด็กเอ็น’ และการก้าวผ่านตัวตนเก่ามาร้องภาษาอีสาน

The People: มาพูดถึงชีวิตส่วนตัวบ้าง ตั้งแต่เป็นวง Mono มาถึงวันนี้ เห็นโพสต์ในโซเชียลมีเดียว่า ผ่อนบ้านหมด มันเป็นยังไง 

สิงโต นำโชค: คือจริง ๆ บ้านนั้นซื้อตั้งนานแล้วครับ แล้วก็ผ่อนอยู่ ซื้อมา โห้ย จะ 10 ปีแล้ว แล้วก็ผ่อนไง ราชาเงินผ่อน เราก็ผ่อน ผ่อน ๆ แล้วก็เวลาซื้อบ้าน เราไม่ได้โฉนดจริงหรอกครับ เราไป เขาก็ซื้อเสร็จใช่ไหม เรากู้ซื้อ เขาก็จะให้โฉนดซีร็อกซ์เรามา เราก็ได้แต่มองโฉนดตาปริบ ๆ เพราะไม่ใช่บ้านเรา บ้านธนาคาร เราผ่อน ๆ จนผ่อนหมดครับ วันก่อนเองเพิ่งไปรับ ไป เขาเรียกอะไร ไปโอน ไปไถ่ถอน ก็ดีใจมากนะ โอ้โห นี่โฉนดเราไม่เคยเห็นโฉนดในชีวิตเรา โฉนดแรก โอ้โห 

ก็เลยถ่ายเป็นที่ระลึกว่า เฮ้ย คือเรามีเงินซื้อบ้านก็ทุกคนสนับสนุนเรานี่แหละ หมายถึงว่าเพื่อน ๆ เราทุกคนที่ดูการเอนเตอร์เทนของเรา แล้วก็กดไลก์ ชื่นชอบเราก็เลยมีรายได้มาซื้อที่อยู่อาศัยนี้ เหมือนขอบคุณเขาด้วย แต่ก็ไม่รู้จะให้อะไรตอบแทนเขา ก็เลยให้บ้านเลขที่เขาไปแค่นี้แหละ ผมไม่ได้บอกอะไรเยอะ ก็แล้วแต่ว่าจะเอาบ้านเลขที่ไปทำอะไร ก็ตอบแทนเขาอะไรอย่างนี้

ก็รู้สึก เออ ครั้งหนึ่งเนอะ หมดหนี้หมดสิน แล้วก็มีคนมาโพสต์รูปรถ รับรถตู้ต่อเลยไหมครับ คือเพิ่งปลดได้ 10 นาที ยังไม่ถึง 10 นาที จะให้ผมสร้างเพิ่มอีกแล้ว (หัวเราะ) ก็รู้สึกโล่งนะ การไม่เป็นหนี้เนาะ มันรู้สึกจะไม่ปล่อยเพลงแล้วก็ได้ หรือจะปล่อยเพลงเมื่อไหร่ก็ได้อะไรอย่างนี้

The People: เล่าประสบการณ์ชีวิตเกี่ยวกับการเป็นราชาเงินผ่อน 

สิงโต นำโชค: อันนี้รายการสู้ชีวิตเหรอครับ (หัวเราะ) ก็จริง ๆ มันปกติแหละครับ ทุกคนก็ต้องผ่อนนะครับ คือใครมีเงินซื้อสดก็ดีใจด้วยครับ แต่เรา ผมก็ไม่มีไง ผมก็ต้องผ่อน ผ่อนก็ไม่ได้แย่ ไม่ได้อะไรหรอกครับ เราก็ผ่อนแต่พอดีที่เราผ่อนไหวไง เราทำงานก็ไม่ต้องไปให้มันเยอะเกินที่เราผ่อนไม่ไหวอะไรอย่างนี้ ก็ให้มันพอดิบพอดีครับ พอดิบพอดี ผ่อนก็ดี เพราะว่าก็ดูความเหมาะสมของเราอะไรอย่างนี้ ประมาณนี้นะ ผมว่าไม่ยากหรอก เพราะทุกคนก็ผ่อนกันหมดแหละ ที่เรายืนถ่าย ๆ กันอยู่นี่ ถ้าไม่มีอะไรผ่อนเราก็คงไม่มายืนถ่ายใช่ไหม (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นก็โลกมันจะได้หมุนไง โลกมันจะได้หมุน จบนะเรื่องผ่อน จบนะครับ (หัวเราะจนขอเบรคไปซับน้ำตาที่ไหลก่อน)

The People: ชีวิตสิงโต นำโชค อะไรที่มีความสุข และอะไรคือความทุกข์สำหรับสิงโต นำโชค 

สิงโต นำโชค: ความทุกข์สำหรับผมเหรอ เอาความสุขก่อนไหม ความสุขก่อน ความสุขผมรู้สึกว่า ผมโชคดีได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักหมดเลย อาจจะเริ่มต้นได้ทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ ก็ทำงานโรงงานอะไรอย่างนี้ ก็ไม่มีใครชอบหรอกครับ แล้วอยู่ดี ๆ ก็แป๊บเดียวเองนะ ทำไม่กี่ปีก็มาเป็นนักดนตรี

แล้วหลังจากนั้นน่ะก็ได้ทำในสิ่งที่เรารักหมดเลย รู้สึกว่าโชคดี แล้วก็รู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำมันสนุก ทำแล้วมันสนุก มันเลยทำไปเรื่อย ๆ มันเลยได้ทำไปเรื่อย ๆ คือถ้าเราไม่สนุกนะ ผมก็คงหยุดทำไปนานแล้ว แต่เนี่ยโชคดีได้ทำ อยากไปเล่นผับ อยากไปเจอคนดูร้องเพลง อยากไปเล่นให้เขาสนุก ให้เขาหัวเราะ

อยากถ่ายคลิปตลก ๆ ให้เขาขำ อยากคิดคำคมที่แบบไม่ได้อะไรให้เขาอ่าน ให้เขาขำเล่นอะไรอย่างนี้ ชอบอย่างนั้นน่ะ รู้สึกคิดได้ทั้งวันเลย ทำได้ทั้งวันเลยอะไรอย่างนี้ 

The People: ความทุกข์ล่ะ

สิงโต นำโชค: ความทุกข์เหรอ ถ้าไม่ได้ไปทำ อันนั้นน่าจะทุกข์ เพราะไม่รู้จะทำอะไร ใช่ไหม

The People: ภาพคำคมที่เป็นมีมว่า “ถ้ามีคนไปบอกว่า ผมไม่ชอบคุณ จะบอกกลับไปว่า ผมชอบคุณ” แล้วก็ไปเทียบกับคำตอบของพี่เสก โลโซ

สิงโต นำโชค: เป็นมุกพี่ลิง พี่เสนาลิง เวลาเราเล่นมุกกัน สมมติพี่เล่นมุขอะไรมาไม่ขำก็จะ ‘ผมชอบคุณ’ (ทำท่าชูนิ้วให้) คือแบบประมาณว่าไม่ได้เลยอันนี้ อันนี้ไม่ได้ อะไรอย่างนี้ 

The People: แล้วมีเทียบกับคำตอบแบบพี่เสก โลโซ

สิงโต นำโชค: ใช่ แล้วก็พี่เสก เขามีอันนั้นอยู่ ผมก็เลยคิดเล่น ๆ เออ ถ้ามีคนมาบอกว่าไม่ชอบกูเลย กูแค่ยกนิ้วโป้งให้ แล้วบอกว่า ผมชอบคุณ เหมือนประชดอะไรอย่างนี้ แล้วเขาก็เอาไปเทียบกับอาจารย์ผมเลย โอ้โห ผมก็เงียบ ใช้วิธีเงียบเอา ใช่ แล้วก็ล่าสุดก็มี แต่มันไม่ได้อะไร มันไร้สาระมากเลยนะครับที่เราคุยกันเนี่ย (หัวเราะ) แต่ว่ามันได้ขำ มันได้หัวเราะ อย่างสมมติ

ผมเขียนอันหนึ่ง ผมชอบมากเลย quote นี้ “ขอบคุณความไม่มี ที่ทําให้รู้ว่าไม่มีก็คือไม่มี” ผมรู้สึก เออ ไม่ได้อะไรเลยจริง ๆ อะไรอย่างนี้ครับ 

The People: เหมือนเป็น ‘เด็กเอ็น’

สิงโต นำโชค: ใช่ เป็นเด็กเอ็น ให้เขาอ่านสนุก แล้วเขาก็แชร์กัน ผมเคยเขียนคำคมอะไรซีเรียส ๆ นะ ที่เอาไว้สอนตัวเอง ก็ไม่เห็นมีใครสนุกกับมันน่ะ แล้วเขาก็คงมีเรื่องที่เขาจะต้องใช้ชีวิตของเขาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปโพสต์สอนใคร สำหรับผม ผมรู้สึกอย่างนั้นนะ เราเก็บไว้ดูเองดีกว่าอะไรพวกนั้นน่ะเก็บไว้ดูเอง ส่วนพวกอะไรที่ไปโพสต์ให้ทุกคนหัวเราะให้ทุกคนสนุก เราทางนี้ดีกว่า

The People: บทเรียนที่คิดว่าสำคัญที่สุดในชีวิตของพี่ 

สิงโต นำโชค: บทเรียนสำคัญที่สุดในชีวิตของผมเหรอ ผมไม่มี มีแต่เรียนไปเรื่อย ๆ ตอนนี้รู้สึกนะ เมื่อก่อนเคยได้ยินว่า อย่าหยุดเรียนรู้ อย่าหยุดพัฒนา มันจะต้องเรียนรู้ ต้องพัฒนาอะไรเยอะแยะไปอีก แต่โลกมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ต่อให้เราไม่เรียน มันจะมาให้เราเรียนเอง เว้นซะแต่ว่าเราไม่ทำอะไรเลย รู้สึกว่าเดี๋ยวมันจะมีอะไรมาให้เรียนเรื่อย ๆ แหละครับ

เตรียมตัวเรียนไปเรื่อย ๆ ครับ จนกว่าจะหมดลมหายใจ ทุกวันนี้พ่อผมก็ยังเรียนอยู่เลย เรียนเล่น LINE เล่นอะไรอย่างนี้ เล่น Facebook อันนี้ก็บล็อกไปแล้ว (หัวเราะ) ไม่ได้บล็อกพ่อ มันมีอะไรให้เรียนเรื่อย ๆ ครับ สำหรับผม ผมคิดว่าก็เปิดใจไว้เรียนเรื่อย ๆ อันนี้สำหรับผมนะ 

อันนี้ไม่ได้โพสต์ ไม่ได้บอกใครนะ บอกตัวเองว่า

แค่น้ำไม่เต็มแก้ว ไม่พอ สำหรับผมนะ มึงต้องไม่มีแก้วด้วย มึงเดินไปขอแก้วเขาด้วยเลย จะได้รู้ให้หมดเลย เพราะว่าเขาอาจจะไม่ได้ใส่แก้วกินน้ำกันแล้วก็ได้ เขาอาจจะใส่ภาชนะอย่างอื่นอะไรอย่างนี้ ก็ไม่ต้องเอาแก้วไปแล้วมันหนักครับ ไม่ต้องมีทั้งน้ำ ไม่ต้องมีทั้งแก้ว ไม่ต้องมีอะไรเลย ไปขอก็เอา แล้วมันก็จะได้อะไรใหม่ ๆ กลับมา ไม่ใช่เฉพาะผู้ใหญ่นะ กับเด็ก ๆ ด้วยนะ

เด็ก ๆ นักดนตรีสมัยใหม่ที่เขาเก่ง ๆ กันน่ะ มันเป็นยุคที่เราต้องว่างทั้งหมดเลย แล้วก็รอรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามา แล้วสิ่งใหม่ ๆ นั้นน่ะ ก็อย่าไปยึดติดมากนะ เดี๋ยวมันก็เก่าแล้ว ก็ทิ้งมันไป แล้วก็รับสิ่งใหม่เข้ามา