27 ม.ค. 2566 | 21:12 น.
- เกือบ 65 ปีของร้าน Royal India ร้านอาหารอินเดียสไตล์อินเดียเหนือ เป็นเพียงไม่กี่ร้านที่มีคนต่อคิวมากที่สุดในย่านพาหุรัด
- สมคิด สิริกุมารกุล ทายาทรุ่นที่ 3 เป็นคนต้นคิดเรื่องการนำร้าน Royal India เข้าห้างฯ เพื่อปรับภาพลักษณ์ของอาหารอินเดียไม่ใช่แค่สตรีทฟู้ด และเป็น homely food ที่ดีต่อสุขภาพ
- ความหวังของกลุ่มคนอินเดียในไทยกับการสร้าง Little India เทียบคู่กับ China Town แลนด์มาร์กใหม่ของคนไทยที่ควรมี
พาหุรัดกลายเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนอินเดียหรือคนไทยเชื้อสายอินเดียมานานมากแล้ว ย้อนไปเมื่อ 76 ปีนับตั้งแต่ที่เริ่มสงครามระหว่างประเทศอินเดีย-ปากีสถาน ชนวนสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายของคนอินเดียที่ต้องการอพยพ
และร้านอาหารอินเดียที่น่าจะเป็นร้านแรก ๆ ที่เข้ามาในความคิดของคนไทยหรือคนเชื้อชาติอื่น ต้องยกให้เป็น ‘Royal India’ (รอยัล อินเดีย) ร้านอาหารอินเดียในตำนานขึ้นชื่อว่าเป็นร้านที่มีคนยอมต่อคิวมากที่สุดร้านหนึ่งของย่านนั้น
เรามีโอกาสได้พูดคุยกับทายาทรุ่นที่ 3 ของร้าน Royal India ‘สมคิด สิริกุมารกุล’ หากพูดว่าเป็นผู้ที่บุกเบิกร้าน Royal India สู่ร้านในห้างสรรพสินค้าก็คงไม่ผิด เพราะทั้ง 3 สาขาในห้างฯ คือที่สยามพารากอน, ดิเอ็มโพเรียล และ เอ็มควอเทียร์ เป็นไอเดียของสมคิด เพื่อต้องการปรับภาพลักษณ์อาหารอินเดีย ไม่ใช่แค่สตรีทฟู้ดอย่างเดียว
จุดเริ่มต้นร้านเพราะสงคราม
สมคิด พาเราย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของร้าน Royal India ว่าจริง ๆ แล้วสงครามก็มีส่วนเหมือนกัน เพราะมันเป็นต้นเหตุทำให้ปู่ของเขาต้องอพยพมาอยู่ในประเทศไทยตอนนั้น
“ร้านของเรานี่เปิดมาเกือบ ๆ 65 ปีแล้วนะครับ ตั้งแต่สมัยของคุณปู่ ในช่วงที่อินเดียกับปากีสถานมีสงครามกัน ในช่วงนั้นคนอินเดียเริ่มไม่มีช่องทางทำมาหากิน โดยเฉพาะกลุ่มคนจนซึ่งปู่ของผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย คนอินเดียช่วงนั้นมาอาศัยที่นี่เยอะผ่านมาทางมาเลเซียและก็ไปทางใต้ แล้วค่อยมาถึงกรุงเทพฯ”
เหตุบังเอิญเกิดขึ้นตอนที่ปู่ของสมคิดไปช่วยสร้างวัดซิกข์ ซึ่งก็อยู่ตรงกันข้ามกับซอยเข้าร้านในปัจจุบัน ระหว่างนั้นปู่ก็ได้โชว์ฝีมือทำอาหารให้คนที่มาวัดได้ลองชิมกัน ปรากฎว่ามีหลายคนที่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อร่อย ทำไมถึงไม่เปิดร้าน”
นับตั้งแต่นั้นก็เป็นไอเดียเก็บไว้ในใจมาตลอด จนวันหนึ่งปู่ได้ตัดสินใจเปิดร้านอาหารอินเดียขึ้น ชื่อว่า Royal India เหตุผลที่ใช้ชื่อนี้เพราะต้องการสื่อสารว่า Royal คือคุณภาพที่ใครก็สามารถกินอาหารร้านนี้ได้ทุกวัน ดีต่อสุขภาพ และเขาได้ใช้คอนเซ็ปต์เป็น homely foods ตั้งแต่ตอนนั้น ตามธรรมเนียมของคนอินเดียที่ชอบกินข้าวที่บ้านมากกว่าร้านอาหาร
“Royal India ถือเป็นร้านอาหารอินเดียแห่งแรกในประเทศไทยก็ว่าได้ ตอนนั้นยังไม่มีร้านอาหารอินเดียในไทยนะ ซึ่งร้านของเราจะเป็นอาหารสไตล์อินเดียเหนือครับ ก็คือส่วนมากจะเป็นโรตีกับพวกแกงต่าง ๆ”
อย่างไรก็ตาม ใครจะรู้ว่าก่อนที่ Royal India จะมาเป็นร้านอาหารอินเดียที่อร่อยและรสชาติแกงเข้มข้นขนาดนี้ สมัยปู่ของสมคิดเคยเปิดเป็นร้าน ‘ขนม’ มาก่อน พอเห็นแววว่าขนมน่าจะประสบความสำเร็จ คนอินเดียที่อยู่ย่านนั้นเริ่มรู้จักและคนไทยก็เริ่มคุ้นเคยบ้าง จากนั้นจึงขยายต่อไปเป็นร้านอาหาร
ทั้งนี้ ประโยคจากปากของสมคิด ย้ำภาพจำอีกครั้งว่า Royal India คือร้านอาหารอินเดียที่เก่าแก่มากร้านหนึ่งในพาหุรัด และก็เป็นเชิงสัญลักษณ์สำคัญที่จะทำให้ความฝันในการปั้น ‘Little India’ ในไทยเป็นจริง
อนาคตของ Little India ในไทย
ที่จริงเริ่มมีกระแสเกี่ยวกับ Little India มาก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่ที่มีการจัดงานเทศกาลไฟดิวาลี (Diwali) ปีที่ผ่านมา ซึ่งเทศกาลนี่ก็คล้าย ๆ กับวันขึ้นปีใหม่ของคนอินเดียนั่นเอง ดิวาลี เปรียบเสมือนเทศกาลเชิงสัญลักษณ์ของการมีอยู่ของคนอินเดียในไทย
ดังนั้น การสานฝันมี Little India ในไทยเหมือนที่เรามี China Town ก็เป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่คนอืนเดียต้องการ อย่างที่ สมคิด พูดกับเราว่า “เรื่องนี้ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เพราะปัจจุบันคนอินเดียที่อยู่ในไทยพวกเขาเกิดจากพาหุรัด (ก็เหมือนเป็นคนไทยคนหนึ่ง)”
ดังนั้น การที่มี Little India ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเหมือนกัน เป็นการเปิดกว้างเรื่องความต่างด้านเชื้อชาติ ทั้งยังเป็นการเพิ่มอีกหนึ่งแลนด์มาร์กให้กับนักท่องเที่ยวได้ หากใครที่ต้องการเสื้อผ้าหรือของกินของอินเดียก็สามารถมาซื้อได้ที่นี่ ไม่ต้องบินไปไกลถึงที่อินเดีย
“อย่างประเทศอื่นเขาก็มี China Town เราเองก็มี แต่เรายังไม่มี Little India ซึ่งเราเริ่มต้นที่เทศกาลดิวาลี ผมคิดว่ามันโอเคนะ ต่อไปถ้าเรามีเทศกาลหรืออะไรเพิ่มเติมเข้ามาก็สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้กับคนทุกชาติได้”
ทั้งนี้ Royal India จัดว่าเป็นร้านที่อยู่ใน Lonely Planet มานาน ซึ่งก็คือไกด์บุ๊กของประเทศไทย โดยนิตยสารเล่มนี้แนะนำร้าน Royal India มานานเกือบ 40 ปีแล้ว ก็ถือว่าสร้างความรู้จักให้กับชาวต่างชาติที่มาเมืองไทยได้มากขึ้น ซึ่ง Lonely Planet เขาก็มีมาตรฐานอยู่ว่าหากร้านไหนไม่ได้คุณภาพ หรือรสชาติไม่ดี ก็ไม่สามารถติดในลิสต์ร้านแนะนำได้
สมคิด ยังได้พูดแตะไปถึงการด้อยค่าอาหารอินเดียของคนบางกลุ่มด้วย ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นกระปสที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโซเชียลมีเดีย โดยเขามองว่า เป็นเรื่องที่ผิดมาก ๆ เพราะที่จริงอินเดียเป็นประเทศที่ใหญ่มาก และก็มีเมนูอาหารหรือขนมที่หลากหลายมากเช่นกัน
ดังนั้น สิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าอาหารอินเดียที่ขายตามถนนมันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ซึ่งก็มีอีกหลายอย่างที่ขายในร้านอาหาร ถูกยกระดับขึ้นไปแล้ว อย่าง Pani Puri ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ขายเป็นสตรีทฟู้ดที่อินเดีย และก็ขายในร้านอาหารด้วย มันอยู่ที่สถานที่ขายไม่ใช่เหมาว่าเมนูนี้ หรือ อาหารอินเดียเป็นอาหารที่ต่ำ เป็นต้น
ปัจจุบันพูดได้ว่าคนไทยและคนต่างชาติเปิดใจกับอาหารอินเดียอย่างมาก และร้าน Royal India ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติปักหมุดเป็นหนึ่งในร้านที่ต้องมาทานให้ได้หากมากรุงเทพฯ