15 เม.ย. 2565 | 15:18 น.
“ผมชอบ sense ของความไปกันใหญ่ แล้วเวลาเราดูเราจะเห็น ไม่รู้ทำไมเวลาเราดู Fast เวลาปล่อย trailer อะไรพวกนี้ เวลาเราดูแล้วเราจะรู้สึก เราจะเห็นตอนที่เขา pitch ไอเดีย ก็ภาค 6 เรามีอันนั้นไปแล้วนะครับ งั้นภาค 7 รอบนี้เราคิดว่า เราควรจะเอารถเนี่ยทิ้งลงจากเครื่องบินไปเลยครับ แล้วก็ลงมา ถึงพื้นแล้วก็วิ่งต่อ เราจะรู้สึกว่า เชี่ย ตอนขายไอเดียมันต้องอะไรอย่างนี้แน่เลยว่ะ” เต๋อ - นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ทำหนังมาก็หลายเรื่องจนมาถึงภาพยนตร์ลำดับล่าสุด Fast & Feel Love มาถึงจุดนี้ The People เลยขอชวนเต๋อคุยว่าด้วยเรื่องหนังใหญ่ หนังภาคต่อ ในทัศนะของเต๋อไล่มาตั้งแต่ Fast & Furious, Marvel ไปจนถึง Star Wars เขาดูมันด้วยความสนุกแบบไหน เขาหยิบฉวยจุดเด่นในการสื่อสารที่หนังเหล่าที่ทำงานกับคนดูจำนวนมากมาปรับใช้ในกระบวนการทำงานของตัวเอง และเป็นกรอบในวิธีมองโลกแบบ ‘เต๋อ’ ได้อย่างไร The People : ดูหนัง mass ไหม นวพล : ดูประจำเลยครับ คือจริง ๆ คนชอบเข้าใจว่า ผมแบบดูแต่แบบหนัง independent อะไรอย่างงี้ จริง ๆ เราดูอันนี้มาตลอด แต่ว่าเผอิญหนังที่เราทำออกมาหรืออะไรก็ตามเนี่ย หรือมันจะมีบางยุคที่เราเริ่มฉีกไปดูอันอื่นน่ะ มันก็มียุคนั้นแหละ แต่จริง ๆ ตอนที่เราดูหนัง indy หรืออะไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ดูหนัง mass มันไม่ได้แบบ เราจะไม่ดูอีกแล้วหนัง Hollywood อะไรอย่างงี้ จริง ๆ ดูควบคู่มาตลอด The People : หนัง Fast and Feel Love เราจะนึกถึงชื่อหนัง Fast & Furious ตลอด แล้วดู Fast & Furious ไหม นวพล : ผมดูครึ่งหลัง เออ เพราะผมรู้สึกว่ามันสนุกดี หมายถึงว่า มันเป็นหนังที่ต่อให้เราไม่ดูภาค 1 ถึงภาค 4 เราก็จะรู้สึกว่าเราสามารถดูภาค 5 ได้เหมือนกันอะไรแบบนี้ แล้วเราก็เข้าไปดูอย่างนั้นเลยอะไรอย่างงี้ แล้วปรากฏว่ามันสนุกดี แต่ว่ามันเป็นความสนุกแบบ สำหรับผมมันก็เฉพาะทางของมันน่ะ เราก็ต้อง เวลาดู เราก็จะดูไปตามเกมมัน เหมือนเราไม่ได้เอาหลักตัดสินอื่นมาจับกับ Fast แบบ Fast คือ Fast มึงควรดูแบบ Fast ดูแบบที่มันเป็นหรืออะไรอย่างงี้ เหมือนเพื่อนเราคนนี้เขาเป็นคนแบบนี้ แล้วก็เวลาเราไปคุยกับเขา หรือไปปาร์ตี้เขา เราก็แบบ joy ไปกับเขาอะไรแบบนี้ เออ มันก็เลยสนุก หมายถึงว่า เหมือนเราได้รับรสชาติอีกแบบ ความสนุกในแบบของชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่ขับรถชนเละเทะเหมือนของเล่นอะไรแบบนี้ เออ มันก็เป็น sense นั้นมากว่า ผมจะจำจากพวก scene ใหญ่เขา สมมติ Fast 6 คือ เดี๋ยวนะ 6 หรือ 7 เดี๋ยวนะ ๆ 7 คือจาพนมใช่ไหม 6 เอ้ย 6 หรือ 7 Fast 7 ใช่ Fast 7 น่ะ คือภาคที่มีจาพนม ก็คือมีรถทิ้งลงมาจากเครื่องบิน Fast 8 เรือดำน้ำ Fast 9 มีแม่เหล็กอะไรอย่างงี้ ผมจะจำอะไร อ๋อ Fast 8 มี ดูไบนี่ 7 หรือ 8 พี่ ดูไบคือ 8 ใช่ ที่ทะลุตึก ใช่ไหมครับ 9 ที่เพิ่งดู อันนั้นคืออวกาศ แล้วก็แม่เหล็ก จำหนังเป็นอย่างงี้เลยนะ ภาค 9 อวกาศแม่เหล็ก เนื้อเรื่องตรงกลางยังไงก็ได้ ใครจะสนอะไรอย่างงี้ พูดเล่น คือผมก็ดูไปแบบ ดูที่มันเป็นน่ะ แล้วก็บางทีเนื้อเรื่องมันก็ประมาณหนึ่งครับ ก็ดูได้ไรอย่างงี้ ก็ภาคนี้คนนี้ทะเลาะกับคนนี้ อันนี้แบบ นี่มันน้องชายที่หักหลังกันนู่นนี่อะไรก็ว่าไปอะไรอย่างงี้ The People : ได้อะไรจาก Fast and Feel Love นวพล : ผมชอบ sense ของความไปกันใหญ่ แล้วเวลาเราดูเราจะเห็น ไม่รู้ทำไมเวลาเราดู Fast เวลาปล่อย trailer อะไรพวกนี้ เวลาเราดูแล้วเราจะรู้สึก เราจะเห็นตอนที่เขา pitch ไอเดีย ก็ภาค 6 เรามีอันนั้นไปแล้วนะครับ งั้นภาค 7 รอบนี้เราคิดว่า เราควรจะเอารถเนี่ยทิ้งลงจากเครื่องบินไปเลยครับ แล้วก็ลงมา แล้วก็ถึงพื้นแล้วก็วิ่งต่ออะไรอย่างงี้ เราจะรู้สึกว่า เชี่ย ตอนขายไอเดียมันต้องอะไรอย่างงี้แน่เลยว่ะอะไรอย่างงี้ เออ รู้สึกว่ามันแบบ มันเป็นอีกวิธีหนึ่งของการทำหนังนะ แล้วเราก็รู้สึกว่า ดูแล้วมันก็แบบมันบ้าดีอะไรอย่างงี้ สนุกดี สนุกในความแบบยิ่งภาค 9 นี่แบบ แม่ง เริ่มรู้ตัวแล้วนะว่า คนมันรู้ว่าคนทำ ๆ อะไรอยู่ กูก็รู้ ๆ เหมือนกัน พวกมึงอยากได้อันนี้ใช่ไหมล่ะ เดี๋ยวกูเอาให้เลยอะไรอย่างงี้ มัน สำหรับผมภาค 9 ผมดูแล้วสนุก มันตลก มันแบบเหมือนรู้ทันกันแล้ว เหมือนเพื่อนกันแล้ว กูรู้มึงอยากจะเห็นอันนี้ กูทำให้ก็ได้อะไรอย่างงี้ มีความอันนั้น ขนาดตัวละครยังสงสัยตัวเองเลยว่า เดี๋ยวนะ พวกเรารอดกันมาได้อย่างไรอย่างงี้ ผมแบบ มันเป็น sense ที่แบบเออสนุกดีอะไรอย่างงี้ ก็สนุกในแบบของมันน่ะ ประมาณนั้น พอไปดูแล้วบอกคนอื่น เฮ้ย มันมีขึ้นอวกาศจริง ๆ คนอื่นบอก มันอำแล้ว หมายถึงคนที่ยังไม่ได้ดู เขาจะแบบหรอวะ จริงป่ะเนี่ย มันเหมือนเป็น joke ที่เราคุยกันน่ะ แต่เขาทำวะ อะไรอย่างงี้ เออ ประมาณนั้น The People : หนังใหญ่ หนังภาคต่อเรื่องอื่น ๆ ที่เราดู นวพล : จริง ๆ ผมก็ดูเหมือนทั่ว ๆ ไป สมมติ Marvel อะไรอย่างงี้ จริง ๆ ก็ดูครบ แต่ว่าแบบสมมติ Thor อะไรอย่างงี้จะดูไม่ครบ Iron Man ขาดภาคหนึ่งอะไรอย่างงี้ แต่อย่างบางเรื่องก็สมมติ อย่าง Captain America ไปดู Civil War เลย อ๋อ ดู Winter Soldier ก็ดู แต่ไม่ดูภาค 1 อะไรอย่างงี้ แหว่งไปแหว่งมา แต่ว่า เวลามาดู ก็ดูอย่างที่มันก็ดูไปเลยครับ อาจจะตกหล่นไปบ้างว่าตัวนี้เป็นใคร แต่เดี๋ยวตามแป๊บเดียวก็รู้แล้ว เออ แต่ส่วนใหญ่ก็ดูพวกนี้ แล้วก็สมมติตระกูลอื่นที่ไม่ได้เป็นแบบแฟรนไชส์ใหญ่ Marvel อะไรพวกนี้ สมมติว่าเช่น สมมติ 21 Jump Street หรือ Bad Neighbor ผมยังชอบเลยพี่ แบบหนังแบบมึงมีภาค 2 ได้ไงวะอะไรอย่างงี้ เออ ก็ดูอะไรอย่างงี้ จริง ๆ ก็ดูค่อนข้างหลากหลาย เพราะว่า ผมส่วนตัวผมไม่ได้ เอาจริง ๆ ไม่เคยแบ่งอยู่แล้วว่า มันคือ ถ้าเราดู independent เราจะไม่ดูอันนั้น หรือว่า สำหรับผมมันไม่ได้แบบคุณค่าอันไหนมันน้อยกว่ากัน เราแค่ดูให้ถูกเวลาแค่นั้นเอง ในวันที่เหนื่อยจัด ๆ แล้วก็ดูหนัง mass มันช่วยจริง ๆ แบบ มันไม่ต้องคิดไรเลย ลุยไปเลยครับ อยากเล่าอะไรเล่าอะไรแบบนี้ แล้วกลายเป็นว่าการดูที่ถูกวิธีมันทำให้เราแบบเหมือนพอเรา open น่ะ มันเสพความมันของคนทำหรืออะไรได้มากกว่าปกติ เพราะเราไม่ได้ตั้งการ์ดอะไรไว้ เราแค่ปล่อยล้อฟรีแล้วก็อยากเล่าอะไรก็เล่า โอเค มันก็มีสนุกบ้างไม่สนุกบ้างว่ากันไป แต่ว่า ผมแค่คิดว่าหนังทุกเรื่องมันมี function มัน แล้วก็เป็นอย่างงี้มาโดยตลอด แต่หลัง ๆ จะมีการพูดมากขึ้นว่า จริง ๆ แล้วหนังแบบนั้นมันก็เป็นหนังนะครับ แต่ว่า สำหรับผมแล้วมันเป็นอย่างงี้มาตลอด เป็นสิ่งที่เราพยายามพูดตลอด แต่ว่า โอเค อาจจะมีคนฟังบ้างไม่ฟังบ้างเนี่ย เพราะว่าผมเป็นคนที่โดนถามเรื่องนี้บ่อยมากเลยแบบนี้ แบบคุณทำหนัง independent คุณดูหนัง mainstream บ้างรึเปล่าอะไรแบบนี้ จริง ๆ แล้วแบบชีวิตก็ข้ามไปข้ามมาอยู่แล้วระหว่างทำ independent กับทำ GTH GDH ตลอดเวลาอะไรอย่างงี้ ผมก็เลยรู้สึกว่า การที่เราแบบกลับไปกลับมาอย่างงี้ เรารู้สึกว่ามันก็เป็นแค่คนละแบบและมันก็ทุกแบบก็ควรจะมีแบบพื้นที่ของมัน The People : แล้ว Star Wars หละ นวพล : โห้ย อันนี้ดูครบ อาจจะไม่ได้ดูพวกหลัง ๆ ที่เป็นซีรีส์ Mandalorian ไม่ทัน ผมจะชอบ Star Wars จริง ๆ มันพูดเรื่องที่แบบบางทีมันพูดเรื่องแบบ simple มาก dark force อะไรแบบ การตกไปอยู่ในด้านมืดอะไรแบบนี้ เอาจริง ๆ แล้วมันแบบโคตรชีวิตประจำวันเลยอะไรแบบนี้ การที่แบบ แต่ละภาคมันก็มีเนื้อหาต่างกันไปครับ แต่แบบหลักใหญ่ใจความอะไรแบบนี้ มันคือการควบคุมตัวเองไม่ให้ไปตกอยู่ในความโกรธที่อาจจะนำไปสู่ความมืดมนนั้นอะไรแบบนี้ แล้วผมรู้สึกว่า ในชีวิตประจำวันมันมีเรื่องอะไรอย่างงี้เยอะเต็มไปหมดเลย คือพร้อมที่จะให้เราเป็น Darth Vader ได้ตลอดเวลา เหมือนแบบ กูมี lightsaber อยู่ในมือด้วยนะ แบบถ้าเขาโจมตีมา พร้อมที่จะแบบกวาดกระบี่กลับ แต่ว่าถ้าเกิดเราทำอย่างงั้นเมื่อไหร่ เราจะกลายเป็น ฝ่ายจักรวรรดิทันทีอย่างงี้ประมาณนี้ ผมรู้สึกว่ามันเล่าเรื่องที่ง่าย แล้วก็มัน ผมว่ามันคล้าย ๆ สมมติ X-men core มันแบบ universal มาก หมายถึงแบบพูดเรื่องนี้กี่ครั้งก็ได้อะไรอย่างงี้ สมมติเรื่องความเป็นแบบ mutant นู่นนี่อะไรอย่างงี้ พูดได้ตลอด Star Wars ก็เหมือนกัน มันมีพวกใจความพวกนี้ ที่เราคิดกี่ทีก็คิดกับมันได้ตลอด ตัวละครบางตัวของมันก็แบบเราพูดเปรียบเปรยกับคนในชีวิตประจำวันบางทีก็มีหรืออะไรแบบนี้ มันเลยค่อนข้างแบบ ตัวเองดูแล้วรู้สึกสนุก แล้วก็พวกเขาเรียกว่าอะไร ผมรู้สึกว่า พวก visual อะไรจริง ๆ มันไม่ได้ใหม่เท่าไหร่ บางทีมัน แต่ละภาคคงมีอะไรของมัน แต่ว่ามันไม่ถึงขั้นแบบ Marvel มันจะมีความฉูดฉาดของมัน ภาคนี้แม่งเป็นสีนี้ ภาคนั้นเป็นสีนั้น จริง ๆ Star War แม่งค่อนข้างแบบคงเส้นคงวามาก แต่แปลกดีเหมือนกันที่รู้สึกว่า กลับมาดูกี่ครั้งก็ดูได้อะไรอย่างงี้ ในบรรยากาศเดิม ๆ ดาวแบบเดิม ๆ คนแต่งตัวคล้าย ๆ เดิมอะไรอย่างงี้ เออ ประมาณนี้ครับ The People : แล้ว DC หละ นวพล : DC ก็ดูแบบบ้าน ๆ เลย เหมือนดูแต่ Batman เลยอย่างงี้ ไม่ได้ดูแบบ Superman แต่ Wonder Woman ผมดู 2 ภาคอะไรอย่างงี้ ด้วยจับพลัดจับผลูไปดู ก็พอใช้ได้สนุกดี เพลิน ๆ แต่จะชอบแบบพวกแบบ Batman มากกว่านิดหนึ่งอะไรอย่างงี้ครับ (ถาม : ลำเอียงดู Marvel มากกว่าไหม) ผมว่ามันแค่ความ เขาเรียกว่าอะไร ความดึงดูดของแต่ละเรื่องก็ไม่เหมือนกัน เพราะว่า แต่ Marvel ผมก็ไม่ได้ดูทุกเรื่องเหมือนกันไง เออ แต่ก็อยู่ที่ว่า เราอยากดูรึเปล่า คือไม่ได้ mind Superhero แต่ว่า Superhero ตัวนั้นมีอะไรที่มัน connect กับเรารึเปล่าอะไรแบบนี้ ประมาณแค่นั้นเองมากกว่า ไม่ถึงอย่างที่ว่า ถึงขั้นเป็นแบบ fanboy เราจะแบ่งจักรวาลดู หรือว่าเราต้องดูทุกเรื่องอะไรอย่างงี้ ผมแค่วันหนึ่งเดี๋ยวพร้อมจะดูก็ดู อย่างสมมติ Marvel อย่างงี้ ผมยังไม่ได้ดู Guardians อะไรอย่างงี้ ไป 2 ภาคก็ยังไม่ได้ดูอะไรอย่างงี้ แต่เดี๋ยววันหนึ่งก็คงดูมั้งครับ ประมาณอย่างนั้น The People : พวกหนังสายลับ ชอบเรื่องไหน นวพล : ถ้าเกิดหนังสายนี้ Mission: Impossible ผมดูครบ 1-8 รู้สึกจะชอบฟากนั้นมากกว่า มันเร็วกว่า แบบมันตื่นเต้นกว่านิดหนึ่งอะไรอย่างงี้ ของ James Bond ผมว่าดูแล้วก็สนุกดี แต่ว่าบางทีจะรู้สึกคล้าย ๆ เดิม ทุกภาคมันก็ประมาณนี้แหละ ความลับคืออะไร ทำไมเขาถึงถูกทอดทิ้งให้เป็นไปสู้คนเดียวแบบนั้นอะไรงี้บลา ๆ อะไรก็ว่าไป ประมาณนี้ครับ เออ ผมว่า Tom Cruise เขา produce เก่ง ผมคิดว่า คือหนังมันเหมือนเดิมแหละ แต่ว่าเขาแม่งสนุกในการไปเอาผู้กำกับคนนั้นคนนี้มาทำ คล้าย ๆ คือเขาเป็นเหมือนกึ่ง ๆ เขาเป็น เขาเรียกอะไร หุ้นส่วนแฟรนไชส์เนอะ คือทำเองเล่นเองว่างั้นเถอะ เพราะงั้นมีสิทธิ์ shop ผู้กำกับ สมมติผมอยากทำงานกับ J.J. Abrams ก็ไปชวนเขามาช่วยทำภาค 3 ให้หน่อยครับ ภาค 2 อยากเจอ John Woo ช่วยทำให้หน่อยครับ แล้วก็มันกลายเป็นว่า หนังแต่ละภาคมันมีความแบบแตกต่างกัน แบบภาค John Woo แบบหนึ่ง ภาค J.J. ก็แบบหนึ่ง Ghost Protocol ก็แบบหนึ่ง มันค่อนข้างแตกต่างกันในแต่ละภาค แล้วดูแล้วมัน ในฐานะที่ดูมาตลอด ดูแล้วมันรู้ แบบภาคนี้มันแบบมันกระฉับกระเฉง ภาคนี้มันนิ่งขึ้นนะ เออ ภาคนี้กลาง ๆ ไม่ค่อยมีอะไรมากนู่นนี่ มันมีความหลากหลาย มันเลยรู้สึกสนุกในการดูประมาณนั้น The People : มีหนังอะไรที่ดูซ้ำรอบเยอะที่สุด นวพล : เชี่ย ผมดูอะไรบ่อยวะ ถ้านึกเร็ว ๆ แบบพวกแบบ Minority Report งี้ เป็นหนังแบบเปิดละกัน ปล่อยมัน run ไปอะไรอย่างงี้ เพราะดูไปหลายรอบแล้วไง ก็จะแบบ เออ ดูกี่ครั้งก็สนุกดี คือบางที เรากลับมาดูหนังบางเรื่องบ่อย ๆ เพราะว่าเหมือนเราโตขึ้น แล้วเราเป็นคนทำมากขึ้น บางทีเราจะเห็นแบบ โหย อันนี้แม่งเก่งนี่หว่า อะไรอย่างงี้ ก็มี บางทีก็ดูในแง่นี้ ถ้าเป็นดูแบบตลก ๆ เดี๋ยวนะ งั้นผมชอบดูพวกแบบ Deadpool อย่างงี้ผมชอบตลกดี เป็นอาจจะเป็นตัวที่ชอบที่สุดใน Marvel แล้ว ผมดูอะไรวะ นึกไม่ทัน คิดก่อน โห ต้องเห็น list ว่ะพี่ คิดเร็ว ๆ นึกไม่ออก เดี๋ยวนะ ถ้าแว้บแรกเมื่อกี้คือ Minority Report พวกหนัง Spielberg สมมติ Catch Me If You Can อย่างงี้ เปิดเลย ก็แบบปล่อย run เออ พวกหนัง Spielberg ส่วนใหญ่มันจะดูอีกครั้งก็ได้ เป็นคนเก่งที่แบบทำหนังที่ดูอีกรอบก็ได้ แล้วก็จริง ๆ แล้วในนั้นจะมีแบบ film making อยู่สูงมาก เพียงแต่ว่า หน้าข้างหน้าเคลือบน้ำตาล แต่จริง ๆ แล้วแบบข้างในแบบ พี่แม่งเก่งว่ะ อะไรแบบนี้ บางครั้งเราก็รู้สึกว่า การที่เราได้ดูหนังบางเรื่องที่มันแบบบ่อย ๆ อย่างงี้มันก็แบบเห็น detail มากขึ้นอะไรอย่างงี้ประมาณนั้น The People : เคยมีความคิดที่บรรเจิดแต่ต้องหยุด เพราะไม่มีงบทำไหม นวพล : โอ้ ประจำเลยครับ มันเหมือนกับว่า จริง ๆ มันเหมือนมีจิต producer อยู่ในร่างกายอยู่แล้วจำนวนหนึ่งมั้ง เหมือนว่า เราพยายามจะทำอะไรที่มันแบบ มันยังเป็นไปได้อยู่อะไรแบบนี้ในบริบททั้งหลายแหล่ คือแต่ถ้าวันหนึ่งมันมีโอกาสได้ไปกว่านั้นก็จะยินดีมากอย่างงี้ แต่ว่าผมก็ไม่รู้ว่าชีวิตเรามันจะไปทางไหน จะได้ไปรึเปล่าด้วยซ้ำอะไรอย่างงี้ เราก็ทำในสิ่งที่เราทำได้ก่อน เพราะว่าผมแค่รู้สึกว่า บางครั้งมันช่วยให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่ ๆ ด้วยอีกทางหนึ่ง ไอ้ความที่มันไม่ได้ทุกอย่างนี่แหละ แบบเอาไงดีวะ ยังอยากได้ งั้นไป plan b ที่แบบไม่เคยคิดมาก่อนไหมล่ะอะไรอย่างงี้ บางครั้งมันอาจจะเป็นอะไรที่ดีกว่าเดิม ด้วยความไม่มีนี่แหละอะไรอย่างงี้ครับ ซึ่งถ้าเรามีเราอาจจะแบบทำตามปกติด้วยซ้ำเพราะว่า เราอยากทำแบบนั้นแบบนี้ในแบบที่เราอาจจะเคยเห็นมาหรืออะไรก็ตาม หรือว่าใช้เงินซื้อเอา แล้วมันก็เหมือนมันไม่ได้ทำให้เรารีดไอเดียอีกชั้นหนึ่งออกมา ก็เป็นไปได้ประมาณนั้น The People : เอาวิธีคิดแบบหนังใหญ่ มาใช้ในการทำงานอย่างไรบ้าง นวพล : ผมคิดว่า โดยเนื้อของความเป็นหนัง mass มันต้อง communicate มาก ๆ มันต้องแบบ play กับคนดูสูงมาก เพื่อที่จะแบบให้คนดูอยู่กับหนังไปจนจบ รู้สึกสนุก entertain หรืออะไรแบบนี้ ผมว่ามันก็คืออะไรพวกนี้ที่เราเรียนรู้มา เพราะว่าบางครั้งสมมติเราทำหนังที่อาจจะดูเนื้อเรื่องมันดูแบบ มันสนุกยังไงวะหรืออะไรแบบนี้ การที่เรามีวิธีการทางการ entertain คนดู อยู่ในหัวอยู่ในร่างกายจำนวนหนึ่ง บางทีมันเลือกเอามาใช้ได้ คือเราอาจจะไม่ต้องทำแบบเขาทั้งหมด สมมติว่ามั่ว ๆ เช่น สมมติว่า สมมติฉากทิ้งรถลงจากเครื่องบินใน Fast เราได้เรียนรู้อะไรจากมัน มันก็อาจจะเป็นเรื่องแบบสิ่งที่คนมักตื่นเต้นกับสิ่งที่แบบมันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริงหรือเป็นไอเดียแบบพูดเล่นกันแล้วมันเกิดขึ้นได้จริง บางทีมันจะตื่น พอเกิดขึ้นแล้วมันจะตื่นเต้นเสมออะไรแบบนี้ เราจะจำเป็นหลักการอะไรอย่างงี้มากกว่า ที่อาจจะได้นำมาใช้ในหนังของเรา…สัก part หนึ่งหรืออะไรก็ตามอะไรแบบนี้ ความตื่นเต้นแบบ Spielberg เกิดจากอะไรบ้าง อ๋อ เขาใช้ cutting แบบนี้ว่ะ ทำไมเขา ทำไม long take Spielberg มันถึงดูสนุก มันต่างกันยังไงเหรออะไรอย่างงี้ เพราะบางครั้งสมมติผมอยากถ่ายหนัง long take บ้างไรงี้ แต่ว่าเรื่องนี้ผมอยากได้ long take ที่มันสนุกหน่อยอะไรแบบนี้ ผมก็ต้องไปเรียนจาก Spielberg นะ สมมตินะครับ ว่า element ไหนเหรอ นักแสดงรึเปล่า acting รึเปล่า blocking รึเปล่า กล้องรึเปล่า edit รึเปล่า sound รึเปล่า เพราะบางทีมันแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ มาก เออ อะไรแบบนี้ มัน ผมว่ามันหยิบยืมได้ตลอดถ้าเราเปิดกับมัน เพราะผมรู้สึกว่าหนัง พอเรารู้สึกหนังทุก ๆ เรื่องมันเท่า ๆ กัน แล้วมันก็มีศาสตร์ของเขา ทุกคนก็มีสายของตัวเอง มีศิลปะของตัวเอง แต่คราวนี้ก็ สมมติเราดูหนังเรื่องหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องแบบ absolute ว่าชอบหรือไม่ชอบแบบ 100 กับ 0 อะไรแบบนี้ ผมไม่ได้เชื่ออะไรแบบนั้น ผมแค่แบบเราได้สัก 2-3 อย่างจากเรื่องนั้นก็ดีมากแล้วอะไรแบบนี้ เราไม่ได้เป็นแบบกรรมการแจกคะแนน คือทุกเรื่องที่เราดูมันคือการเหมือนได้คุยกับคนใหม่ ๆ อะไรอย่างงี้ สมมติผมคุยกับพี่ ผมไม่มานั่งให้คะแนนพี่ว่าแบบวันนี้การสนทนาผมให้ 95 เต็ม 100 ครับ ผมก็แบบไม่ ผมก็แบบคุยแล้วเราได้อะไรมาเล็ก ๆ น้อย ๆ บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่มันเปลี่ยนชีวิตเราก็ได้ หรือว่าจะเปลี่ยนความคิดบางอย่างเกี่ยวกับเรา บางประโยคที่พี่พูด บางทีแค่นั้นก็พอแล้วด้วยซ้ำ ไม่ได้คิดถึงแบบ the whole conversation ว่ามันสนุกไหม dynamic รึเปล่า หรือว่าตลกไหมอะไรอย่างงี้ ประมาณนั้นครับ The People : ได้อะไรจากการที่ไปอ่านหรือศึกษาเบื้องหลังคนทำหนังคนอื่น นวพล : จริง ๆ มันเหมือนกับผมรู้สึกว่าการทำหนังหรือพวก film making มันเป็น ในขณะที่เราจะรู้สึกว่ามันมีสิ้นสุด มันมีอาณาเขต มันประมาณนี้แหละไม่เกินนี้หรอกอะไรอย่างงี้ แต่เวลายิ่งอ่านจะรู้สึกว่า คือในด้านกว้างมันประมาณนี้ ขอบเขตมันประมาณนี้แหละ แต่ว่าในด้านลึก มันลงเป็นแบบเรื่อย ๆ เพราะว่า ผู้กำกับแต่ละคนมันก็กำกับหนังแตกต่างกัน เนื้อเรื่องที่ไม่เหมือนกัน acting ที่ไม่เหมือนกัน บรรยากาศที่ไม่เหมือนกันอะไรแบบนี้ เรารู้สึกว่ามันเป็นเนื้อหาที่เหมือนไปศึกษางานจากคนอื่น แล้วก็อาจจะเป็นเพราะว่าสมมติต่างประเทศเขาปีหนึ่งเขาสร้างหลายเรื่อง เพราะฉะนั้น genre ที่เขาทำมันจะหลากหลายมาก แล้วเวลาเราไปอ่านพวกนั้นเราจะได้เห็นแบบ อ๋อ คนทำหนังผีเวลาเขาทำ เขาคิดอย่างงี้ หรืออะไรอย่างงี้ คนทำหนัง marvel จริง ๆ แล้วมันไม่ได้แบบกะมาจะรบกันจริง ๆ scene นี้มันได้มาจากภาพวาดนี้นะครับอะไรอย่างงี้ เอ้ย มันคิดอย่างนี้ได้ด้วยเหรออะไรแบบนี้ มัน ผมรู้สึกว่ามัน มันสนุกดีที่จะได้เรียนรู้อะไรแบบนี้ไปได้เรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่ง เราไปทำหนังเรื่องใหม่ เราอาจจะมีปัญหาอะไรบางอย่างก็ได้ เพราะเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องหน้าของเราจะเป็นยังไง จะทำแบบไหน เพราะว่า เวลาเราทำหนังแต่ละเรื่อง โดยส่วนตัวไม่ค่อยทำซ้ำกันเท่าไหร่ มันก็เลยต้องเจอโจทย์ใหม่ ๆ ตลอด สมมติผมทำ Fast นี่ครับ Feel Love เนี่ย ผมไม่เคยถ่ายหนังเร็วขนาดนี้ กล้องเกิ้งพุ่งกระจุยอะไรอย่างงี้ เออ ผมก็เลยรู้สึกว่าอ่านสนุกดี คือ movie making มัน magic อยู่แล้ว เหมือนคนไปทำอะไรประหลาด ๆ หมายถึงไม่ต้องอ่านเอาเทคนิคการทำก็ได้ แค่การจะได้มาซึ่งสิ่งหนึ่งทำไมต้อง มนุษย์ต้องลงไปใต้น้ำขนาดนั้น หรือทำไมมนุษย์ต้องไปทำพฤติกรรมแปลก ๆ เพื่อที่จะได้หนังเรื่องนี้มาอะไรแบบนี้ ทำไมต้องไปถ่ายที่นั่นวะ ทำไมมึงต้องสร้างอันนี้ขึ้นมาใหม่วะ อะไรแบบนี้ เออ มันพิเศษในตัวของมันอยู่แล้ว คืออ่านสนุก แต่ว่าถ้าเอาอ่านความรู้มันก็ได้ด้วยประมาณนั้นครับ The People : หนังหลายเรื่องของเรา step ช้า แต่ Fast & Feel Love สเต็ปเร็วขึ้นมา วิธีคิดในการทำเรื่องนี้กับก่อนหน้านี้เปลี่ยนไปมากไหม นวพล : เปลี่ยนไปครับ แต่ว่าเปลี่ยนไปโดยธรรมชาติ แต่เอาจริงเหมือนกับว่า beat ประมาณเรื่องนี้ จริง ๆ เราเคยทำในโฆษณามาเรื่อย ๆ อยู่แล้ว โฆษณาคนบางทีดูงานเรามันจะงง ๆ หรือลูกค้าโฆษณาเวลาเขาให้ผมทำงานให้เขา เขาจะระบุว่า ขอแบบโฆษณาตัวนั้นนะคะ ไม่เอาแบบฮาวทูทิ้งได้ไหม มีเลือกโหมด แบบขอโหมดนี้ครับอะไรแบบนี้ คือจริง ๆ เราทำอยู่แล้วแหละ แบบประมาณนี้ อาจจะเป็นเพราะว่า หมายถึงในช่วงเริ่มแรกของการทำโฆษณา อาจจะเป็นเพราะว่า ตอนเราทำหนัง พูดไงดี หนังมันกว่าจะได้ทำมันใช่เวลานาน แล้วก็มัน scale มันใหญ่กว่าอะไรแบบนี้ เพราะฉะนั้นเราก็จะทำงานที่เราแบบเรื่องนี้เป็นเรื่องที่คิดมานานครับ แบบเรื่องนี้อยากทำมานานแล้ว แล้ววันนี้ได้ทำเสียที ไอเดียที่บอกว่าอยากทำมานานแล้ว มันอาจจะเป็นไอเดียเมื่อ 4 ปีก่อน แล้วกว่า 3 ปีกว่าอะไรก็ว่าไป กว่าจะได้ทำเนี่ยมันก็เลยจะค่อนข้างคล้าย ๆ กัน เพราะว่ามันเป็นไอเดียที่ตกค้างเมื่อสมัยวันรุ่นแล้วเราอยากทำ พอมีโอกาสเราก็ทำ ๆๆ เหมือนไล่เคลียร์ของเก่าครับ meanwhile ในอีกทางหนึ่งก็คือ ตอนโฆษณาเป็นงานสั้น เราค่อนข้างหลวม ๆ มากกว่า เพราะฉะนั้นอะไรที่มันกำเนิดใหม่หรือว่าอยากลองต๊อง ๆ บ้าง แต่ว่า หนังยาวทำไม่ได้ เราก็จะไประเบิดกันในโฆษณา เออ แล้วพอมันผ่านมา 5 ปีมันทำมาเรื่อย ๆ มันเริ่มแบบมันเหมือนกันว่ะ ยิ่งทำยิ่งสนุกอะไรอย่างงี้ คือมันสนุกดีนะ ทำหนังแบบเร็ว ๆ บ้า ๆ บอ ๆ อะไรแบบนี้ จนมันอิ่มตัว แล้วมันก็เป็นจังหวะพอดีที่รู้สึกว่า เราทำหนังแบบ slow พอละ เออ ได้ทำแบบที่อยากทำหมดแล้ว โอเค งั้นเราไปสู่เรื่องใหม่ดีกว่าโดยธรรมชาติ มันก็เลย เอองั้นเราลองทำแบบจังหวะแบบเร็ว ๆ กันไหม เพราะเราก็ไม่เคยทำ มันใหม่กับการที่ได้ทำหนังแบบนี้ หมายถึงตัวเองนะครับ หมายถึงว่ามันใหม่สำหรับตัวเองที่จะได้ลองทำดู แล้วก็ ผมคิดว่า เมื่อพิจารณาจากตัววิธีการมันแล้ว คิดว่ามันน่าจะเป็นหนังแนวที่แบบคนไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ด้วยมั้ง มันน่าลอง สำหรับการทำงานกับตัวเอง แล้วก็คิดว่าคนดูน่าลองเหมือนกันกับการดูหนังประเภทนี้อะไรอย่างงี้ มันก็เลยแบบเป็นที่มาของการที่อยากลองแบบเปลี่ยน pace ดูประมาณนั้นครับ The People : เหมือนยังสนุกกับการ explore สิ่งใหม่ ๆ นวพล : เรื่องนี้ (Fast & Feel Love) สนุกกันการ explore เป็นพิเศษแบบสุด ๆ ไปเลย เพราะว่า เหมือนตั้งเป้า ตัว genre หนังอำนวยด้วยมั้ง หมายถึงพอเราจะทำหนังแบบนี้มันมีความอะไรก็ได้อยู่นิดหนึ่ง มีความแบบเหมือนหนังมันเปิดรับทุกสิ่ง ถ้าเราจะใส่มันลงไปนะอะไรแบบนี้ นั่นคือข้อแรก ข้อ 2 คือผมรู้สึกว่ามันมีความแบบเหมือนเรากลัวน้อยลงนิดหนึ่งมั้ง หมายถึงอาจจะเป็นเพราะว่าเราทำบ่อยมั้งครับ หนังครับ แล้วพอเราทำไปบ่อย ๆ มันก็ค่อนข้างจะเป็นอะไรที่มันแบบ ชีวิตประจำวันมากขึ้น หมายถึงว่า ผมใช้คำว่าอะไรดี เหมือนพอเราได้ทำบ่อย ๆ ใช่ไหม สิ่งที่เราได้ทำมันทำไปหมดแล้วอะไรอย่างงี้ พอมันขึ้นอันต่อไปมันจะมีความแบบทำไรดีวะอะไรอย่างงี้ แล้วเราก็จะรู้สึกหลวมๆ กับมันนิดหนึ่ง พอหลวม ๆ กับมัน มันก็จะกลัวน้อยลง เหมือนกับก็ลองดูก็ได้อย่างงี้ เหมือนไม่ได้มีแบบมันไม่ใช่หนังประเภทแบบ ถ้าไม่ได้ทำตอนนี้เดี๋ยวไม่ได้ทำอีกแล้ว หนังประเภทนั้นเหมือนมันทำไปหมดแล้ว รอบนี้มันเลยมีความเหมือน canvas เปล่า ๆ อันหนึ่งแล้วแบบคุณจะ explore อะไรคุณเอาเลยครับ อะไรที่คิดว่าไม่แน่ใจ ลองดูครับเผื่อจะ work อะไรอย่างงี้ เออมันเป็นลักษณะนี้มากกว่า เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้มันมีอะไรเต็มไปหมดพอสมควรครับ The People : คำว่าครอบครัวคืออะไร นวพล : ตอบแบบที่เข้าใจละกัน หมายถึงว่า ยิ่งโตขึ้นเหมือนมันยิ่งเข้าใจคำนี้มากขึ้นเนอะ มันไม่ใช่แค่คนในครอบครัวแบบเชื้อสาย มันคือคนที่แบบเข้าใจกัน get กัน ถ้าเปรียบกันแก๊ง Fast มันคือคนที่ get กันจำนวนหนึ่งแล้วแบบ ถึงวันหนึ่งมีคนบอกว่า มึงต้องขับรถไปอวกาศนะ กูก็พยักหน้า เออก็ได้วะมึง กูไม่รู้เหมือนกันว่ายังไง แต่ว่ามึงว่าไง กูก็ว่างั้นแหละ มันจะเป็น sense ประมาณนี้ ซึ่งอันนั้นคือในหนัง แต่ถ้าเกิดในชีวิตจริง ผมก็รู้สึกว่าแบบพอเราโตขึ้นอะไรอย่างงี้ครับ เหมือนตอนเด็ก ๆ มันอาจจะ individual มาก แบบเด็กวัยรุ่นอะไรก็ตาม อยากเป็นอย่างงั้นอยากทำอย่างงี้ ข้ามาคนเดียวอะไรอย่างงี้ แต่พอมันโตขึ้นมันยิ่งรู้สึกว่า โอโห เหมือนกับไปคนเดียวมันเหงาเหมือนกันนะ เพราะว่ามันไม่ใช่ คนทุกคนที่เราเจอไม่ใช่คนทุกคนที่จะเข้าใจเราอะไรแบบนี้ แล้วมันก็กว่าจะเจอคนที่เข้าใจนั่นก็ยากแล้วหนึ่ง แล้วคนที่เข้าใจแล้วอยู่ด้วยกันนาน เป็นแบบ 10 ปียากสอง ผมเรียกคนกรุ๊ปนี้ว่าครอบครัว ซึ่งถามว่าในชีวิตมีเยอะไหม คือน้อยมาก แต่แบบแม่งยินดีที่มี นี่คือเขาไม่ใช่ญาติเราด้วยนะ มันคือเพื่อนกันที่แบบอยู่กันมาตั้งแต่ปีที่ 1 ของการทำอะไรก็ตาม ทำหนังอะไรอย่างงี้เออ ก็อยู่กันมาจะเกิดไรขึ้นมันก็แบบ เฮ้ย มึงเอาเลย อะไรอย่างงี้ ไม่เปลี่ยนไป คือทำผิดก็เตือนกันนะ แต่ว่า เตือนแบบคนที่เป็นครอบครัวจะเตือนกัน ไม่ได้มาแบบออกันหน้าบ้านแล้วลุย เออ คือโทรมาบอกดี ๆ อะไรแบบนี้ เออ ผมรู้สึกว่าแบบยิ่งโตขึ้นอะไรแบบนี้ยิ่งหายาก ไปหาไม่ได้ด้วย มันอยู่ที่ว่าเจอรึเปล่าเลย ต่อให้หาจะแบบคือใครก็ไม่รู้อะไรอย่างงี้ มันเลยเป็นความโชคดีเหมือนกันที่แบบมันมีสิ่งนี้อะไรแบบนี้ครับ ประมาณนั้น The People : ในชีวิตเราเป็นดอม โทเร็ตเต๋อให้กับใครไหม (center ของเพื่อน) นวพล : อูหู คือตอบยากจัง ตอบแล้วเหมือนแบบเข้าข้างตัวเอง ไม่แน่ใจแต่คิดว่าพยายามจะเป็น ดอม โทเร็ตเต๋อที่ดีละกันครับอะไรอย่างงี้ คือบางครั้งเราแต่ เราไม่กล้าไปเดานะ ว่าแบบเราเป็น บางทีเราอาจจะรู้สึกว่าคนนั้นเป็นดอมของเรา แต่เราไม่รู้เราเป็นดอมของเรารึเปล่าอะไรอย่างงี้ ก็หวังว่าจะเป็นดอมของใครสักคนได้อะไรอย่างงี้เหมือนกันครับ The People : ‘เรื่องเล่า’ ของเรา มีพลังอย่างไร นวพล: ผมว่า คือผมบางทีเราทำเราไม่ได้คาดถึงแบบปลายทางขนาดนั้น แต่เวลาทำเราแค่จะคิดว่า บางทีหนังที่เราทำมัน ส่วนใหญ่มันจะพูดถึงคนที่กำลังต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองหรือบางที system ที่เอาชนะยากหรืออะไรก็ตาม หรือว่าเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ทางอาชีพการงาน หรือบางอย่าง คือผมไม่ได้ไปคาดหวังว่ามันจะต้องแบบพลิกชีวิตผู้คนจำนวนมากอะไรอย่างงี้ แต่อย่างน้อยผมจะรู้สึกว่า ถ้าหนังผมมันเป็น มันไปพูดคุยกับใครสักคนได้ ที่อาจจะเจออะไรคล้าย ๆ กัน แค่นั้นก็อาจจะพอแล้ว มันเหมือนแบบ เพื่อนกันไม่เหงา คล้าย ๆ กับ ผมจะชอบ feel ประเภทแบบผมฟังเพลงของวงที่มัน สมมติวงต่างประเทศที่มันแบบไม่ได้ดังมาก แต่เพลงมึงเหมือนคุยกับกูสุด ๆ ไปเลยว่ะ แล้วผมรู้สึกว่า โห โคตรแบบนี่เองสินะ คือความหมายของผลงานที่แท้จริงที่มันแบบ มันไม่ได้เกี่ยวว่ามันต้องดังหรือมันต้องแบบยอดขาย 1,000,000 copies อะไรแบบนี้ ถ้ามันได้ก็ดีไม่ได้ปฏิเสธแต่ว่า การที่เพลงหนึ่งมันส่งข้ามไปถึงอีกคนที่มันอยู่อีกพื้นที่หนึ่ง แล้วมันเป็นบางอย่างให้เขาได้บ้างอะไรแบบนี้ ผมจะรู้สึกดีกับมันมาก สมมติทำฟรีแลนซ์แล้วมีคนมาบอกว่า แบบคุณเป็นโรคนี่ด้วยหรอครับ ผมก็เป็นเหมือนกัน ผมไม่เคยบอกใครเลยอะไรอย่างงี้ แบบเขารู้ว่ามีคนอื่น จากการดูหนังของเราอะไรอย่างงี้ หรือว่า ผมเคยล้มไปแล้วครับ แบบเคยทำงานจนล้มไปอย่างนั้นเหมือนกัน ผมดูแล้วคิดถึงตัวเอง ขอบคุณมาก ผมแบบเหมือนกับ เหมือนเพิ่งเห็นตัวเองผ่านหนังเรื่องนี้ว่า อ๋อ ตอนกูล้มแม่งเป็นอย่างงี้หรอวะอะไรอย่างงี้ บลา ๆ ต่าง ๆ ผมว่า ผมไม่ได้คิดมันไปไกลขนาดนั้นเลยครับเพราะว่า สำนึกตัวเอง มันคือเราทำหนังเล็กมาตลอด แล้วเราก็แค่ทำเสร็จก็ดีใจมากแล้ว แค่นั้นก็จบ เอาจริง ๆ คือจบแล้ว แบบได้อย่างที่คิด ที่เหลือคือ ถ้ามันนั่นแหละ ถ้ามันไปสื่อสารกับใครสักคนได้หรือว่ามันมีประโยชน์กับใครสักคน สักคนนี่หมายถึงว่า 10, 20, 30 ไม่ได้ถึงขั้นแบบพลิกขนาดนั้น แค่นี้เราก็แบบรู้สึกดีมากแล้วประมาณนั้นครับ