15 ก.ย. 2565 | 14:00 น.
ตอนนั้นเรากวาดสายตาอ่านเรื่องราวของภูมิคร่าว ๆ ทราบว่าเป็นนักแสดงดาวรุ่ง อยู่ในความดูแลของช่อง 8 โดยเขาและกลุ่มเพื่อนศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ได้รวมตัวกันเปิดเพจ ‘เราช่วยกัน’ เพื่อช่วยเหลือและส่งยาสามัญประจำบ้านให้กับผู้ป่วยโควิด-19
ยอมรับตามตรงว่า หลังจากนั้นเราไม่ได้ติดตามข่าวคราวของเขาอีก จนกระทั่งเดือนสิงหาคมที่เพิ่งผ่านไปราว 2 สัปดาห์ เราได้มีโอกาสพูดคุยและทำความรู้จักกับเขาเพิ่มเติม พบว่าเบื้องหลังของชายคนนี้ ต้องดิ้นรนแทบทุกอย่าง ตั้งแต่เก็บเศษเหรียญไปโรงเรียน ช่วยคุณครูสอนเด็กว่ายน้ำ ขณะที่แม่ขายขนมปังข้างสระ มาจนถึงวันที่ต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว
ระหว่างคุยกัน เราสัมผัสได้ถึงความเรียบง่าย ท่าทางของเขาผ่อนคลายและเป็นกันเอง แม้จะมีบางครั้งที่เขาต้องหยุดคิดเพื่อไตร่ตรองหาคำพูดที่เหมาะสม จนเผลอหลุดยิ้มอย่างเขินอายออกมา แต่เขาก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างราบรื่น ภูมิแทบไม่ปิดบังตัวตน เขาพร้อมเปิดเปลือยชีวิตให้เราเห็นทุกซอกทุกมุม
เราจึงตั้งใจถ่ายทอดทุกอย่างของเขา ผ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้แบบไม่มีตัดตอน เพื่อให้ทุกคนหลงรักชายที่ชื่อ ‘ภูริพันธ์’ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
The People : ชีวิตก่อนจะเข้าวงการบันเทิงเป็นอย่างไรบ้าง
ภูมิ : ชีวิตของผมก็ปกติทั่วไปเลย เป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิดนะครับ ผมเป็นลูกคนเดียวของครอบครัว แต่ก็ลำบากเรื่องการเงิน เพราะว่าครอบครัวไม่ค่อยมีเงิน ส่วนเรื่องการแสดงผมก็ไม่เคยสนใจเลย แต่จุดเริ่มต้นจริง ๆ คงมาจากตอนน้าผมเขารู้จักกับฝ่ายแคสติ้งช่อง 8 เขาก็เลยลองส่งผมไปแคสต์ดู
จริง ๆ ผมก็รู้จักวงการบันเทิงมาตั้งแต่เด็ก อย่างเราเองก็เคยดูเคยเห็นมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเราจะต้องเข้ามาอยู่ในวงการ เพราะเราไม่เห็นว่าตัวเองจะมีความสามารถอะไรขนาดนั้น
แล้วช่วงหนึ่งผมมีโอกาสได้ไปประกวดดาวเดือนของมหาวิทยาลัยมหิดล คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ผมเป็นนักศึกษาที่คณะนี้ แล้วได้รับเลือกให้เป็นเดือน น้าเขาเลยลองส่งพอร์ตเราไป ทำให้เราได้รับโอกาสจากทางค่ายแล้วก็ได้เซ็นสัญญาตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง
แต่ว่าไม่ได้มีโอกาสทำงานตั้งแต่ตอนนั้น คือว่าเซ็นสัญญาทิ้งไว้ตลอด 4 ปีก็ยังไม่มีงานเลย ผมก็คิดว่าคงจะเป็นที่ตัวเองที่ยังไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้าน ความสามารถ รูปร่าง อาจจะด้วยบทและคาแรคเตอร์ที่น่าจะยังไม่พร้อมหรือเข้ากับเรา ด้วยช่วงของวัย ซึ่งจริง ๆ ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นที่ตัวเราเองมากกว่า
The People : รู้สึกอย่างไรหลังจากได้เซ็นสัญญาแล้วแต่ไม่มีงานเข้ามาเลย
ภูมิ : เสียใจครับ เพราะว่าตอนแรกที่เราเข้ามา เราก็อยากที่จะหางานทำ อยากหาเงินช่วยที่บ้าน ซึ่งหลังจากที่เซ็นสัญญา เราก็มีงานแสดง MV ของอาร์สยาม 2 ตัวตลอด 4 ปี (MV เพลงอยากรู้ใจจัง ของ แพรว - รัตนาพร อาร์สยาม และเพลงเสียบกลางอก ของ กล้วย อาร์สยาม)
หลังจากนั้นเราเลยคิดว่าจะพอแล้ว เพราะสำหรับ 4 ปีเรามองว่าระยะเวลามันนานมาก ๆ พร้อมกับตอนนั้นเราก็ตัดสินใจที่จะไปทำงานเป็นเทรนเนอร์ด้วย ตอนนั้นก็เป็นทางเลือกของชีวิตเลยก็ว่าได้
อย่างในช่วงที่เราฝึกงานก็มีโอกาสทางการแสดงเข้ามาแต่เราก็ปฏิเสธไป เนื่องจากตอนนั้นเรารู้สึกว่าถ้าหากเรารับงานซีรีส์เรื่องนี้เสร็จแล้ว หลังจากจบงานเราต้องรอต่อไปอีก 4 ปีเลยมั้ย กว่าจะได้งานอีก
ในใจเราก็คิดอย่างนั้น เลยคิดว่าจะหันมาทำงานเป็นเทรนเนอร์ แต่ด้วยโอกาสแล้วอะไรหลาย ๆ อย่างที่เข้ามาแล้วทำให้เราลองดู หลังจากนั้นก็มีงานต่อไปตามมาเรื่อย ๆ ทำให้ผมก็ยังทำมาตลอด
The People : มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษไหมว่าทำไมคุณถึงตัดสินใจเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา
ภูมิ : เพราะผมเป็นนักกีฬามาตั้งแต่เด็ก ๆ ครับ แล้วก็เคยซ้อมกีฬาอยู่ที่มหิดลด้วย พอมีโอกาสก็เลยลองมาสอบดูครับ แล้วก็ผูกพันกับที่นี่ด้วย ผมเป็นนักกีฬาว่ายน้ำตั้งแต่ช่วง 8 ขวบ แล้วก็เล่นมาตลอด
แต่ที่บ้านผมไม่มีใครมาสายกีฬาเลย ผมเป็นนักกีฬาคนเดียวของบ้าน จริง ๆ ผมว่าความสนใจเรื่องกีฬา เริ่มมาจากการที่ผมมีญาติเป็นนักกีฬาว่ายน้ำด้วย เราก็เลยสนใจกีฬาชนิดนี้ เห็นว่าเท่ดี เลยอยากลองบ้าง ก็ลองสมัครเรียน ที่บ้านผมเองเขาก็พร้อมสนับสนุนเต็มที่ ไม่ค่อยขัดเวลาผมอยากจะทำอะไร อาจจะเพราะผมเป็นลูกคนเดียวด้วยครับ
The People : นอกจากความสนใจเรื่องกีฬา มีอะไรอีกไหมที่คุณสนใจเป็นพิเศษ
ภูมิ : ดนตรีครับ เคยเล่นกีตาร์แนวฟิงเกอร์สไตล์ (ใช้เฉพาะนิ้วมือขวาในการดีดสายเป็นหลัก) เล่นมาตั้งแต่ช่วง ม.5 เพราะว่าเราเห็นเพื่อนเล่น เราก็เลยลองหยิบมาเล่นมาลองหัดดู แล้วตัวเองรู้สึกชอบก็เลยได้เล่นมาตั้งแต่ตอนนั้นครับ
แล้วด้วยความที่ตอนเด็ก ผมค่อนข้างเป็นคนที่เกเร ช่วงประถมผมก็ไม่เอาอะไรเลย รู้สึกว่าตอนนั้นพ่อ-แม่เราจะเครียดมากครับ แล้วพอช่วงเข้า ม.1 ก็เริ่มคิดได้ ตอนนั้นคิดอยู่อย่างเดียวเลยว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น จากเด็กหลังห้องก็ค่อย ๆ เขยิบขึ้นมาเป็นเด็กหน้าห้อง ตั้งใจเรียนมากขึ้นเรื่อย ๆ
จนพอจะเข้ามหาวิทยาลัย ก็คิดว่าจะเอายังไงดีกับชีวิต ผมไม่ได้สนใจคณะวิทยาศาสตร์การกีฬามาตั้งแต่แรกนะ ตอนนั้นคิดแค่ว่าถ้าติดอะไรก็เรียนอันนั้น แต่คณะนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกของผมอยู่
เพราะเราเองก็รู้ว่าไม่ได้เป็นคนที่เรียนเก่งอะไรขนาดนั้น ตั้งแต่มาเรียนที่คณะนี้ ก็ทำให้ผมค้นพบอะไรหลาย ๆ อย่าง ตอบโจทย์ชีวิตผมค่อนข้างเยอะ ด้วยความที่ผมเป็นคนชอบออกกำลังกาย แล้ววิทยาศาสตร์การกีฬามันก็เป็นศาสตร์ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการออกกำลังกายได้
The People : ทำไมถึงคิดว่าการเป็นเทรนเนอร์คือทางเลือกสุดท้ายของชีวิตหลังเรียนจบ
ภูมิ : ตอนนั้นที่คิดจะทำ เพราะว่าเป็นอาชีพที่เราสามารถกำหนดเงินได้จากความขยันในการทำงานของเรา เราสามารถได้ค่าคอมมิชชั่น ถ้าหากเราขยันเทรนมากพอ แล้วก็เป็นการทำงานที่สามารถสร้างรายได้ให้เรามากกว่าที่จะเข้าไปทำงานเป็นพนักงานบริษัทที่มีรายได้ต่อเดือนชัดเจน ก็เลยคิดว่าจะทำงานด้านนี้ครับ
The People : ที่คุณบอกว่าครอบครัวคุณค่อนข้างลำบาก ความลำบากที่คุณและครอบครัวเผชิญมันย่ำแย่ขนาดไหน
ภูมิ : ถ้าจะให้เล่าเรื่องค่อนข้างจะยาวนะครับ คร่าว ๆ ก็คือพ่อผมเขาทำงานเป็นรัฐวิสาหกิจ ส่วนแม่ของผมขายต้นไม้อยู่ที่สนามหลวง 2 แล้วบางครั้งการขายต้นไม้รายได้ไม่ค่อยดีเท่าไร ทำให้ต้องไปกู้เงินมาใช้เพื่อทำธุรกิจใหม่ แต่ก็ล้มเหลวในหลาย ๆ ครั้งจนเป็นหนี้
แล้วมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราเคยเห็นพ่อเก็บเศษเหรียญเอาไปใช้ในที่ทำงาน เราเองก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน ต่อมาเราก็มีความคิดอยากที่จะช่วยเหลือครอบครัวในส่วนนี้ แล้วพอดีว่าตอนนั้นเราเองก็เป็นนักกีฬาว่ายน้ำอยู่ด้วยในช่วงมัธยมปลาย
ก็เลยมีโอกาสไปช่วยคุณครูสอนว่ายน้ำ แม่เราก็ไปขายขนมปังข้าง ๆ สระว่ายน้ำ จนทำให้ในบางครั้งก็มีไปอาศัยนอนพักที่บ้านญาติ หรือไม่ก็ไปนอนพักที่ห้องชมรมว่ายน้ำในเวลานั้นนะครับ เพื่อหารายได้
ช่วงเวลานั้นเราก็ทำอะไรได้ไม่มาก ทำได้มากสุดก็แค่ช่วยสอนนักเรียนว่ายน้ำ แต่พอโตมาเข้ามหา’ลัย เราก็มีโอกาสไปทำอะไรหลาย ๆ อย่าง เช่น เป็นพิธีกรให้ทางมหา’ลัยบ้าง หรือไม่ก็ทำงานเทรนเล็ก ๆ น้อย ๆ
The People : หลังจากเรียนจบคุณรู้สึกกดดันไหม ที่ต้องดูแลครอบครัวด้วยตัวคนเดียว
ภูมิ : ไม่กดดันเลยครับ เราก็ทำในฝั่งของเราอย่างเต็มที่เพื่อที่จะดูแลพวกเขาให้ดีที่สุดครับ
The People : มีเหตุการณ์ไหนบ้างไหม ที่ทำให้คุณย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองถึงความลำบากที่คุณเผชิญ
ภูมิ : จริง ๆ ผมก็รู้สึกว่าลำบากมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ เลยไม่รู้เหมือนกันว่าอันไหนลำบากที่สุด เพราะที่เราเคยเจอผ่านมามันก็ค่อนข้างที่จะลำบากต่อเนื่องมาตลอด อย่างช่วงมหา’ลัยแม่เราก็ให้เงินเป็นรายอาทิตย์
เราก็จะจัดการกับเงินที่แม่ให้มาว่าต้องใช้เท่าไรให้พอเหลือเก็บ ถ้าเหลือเราก็จะคืนเงินให้แม่ ส่วนเวลาว่างเราก็จะหารายได้อีกทางจากการสอนว่ายน้ำชั่วโมงละ 90 บาท สอนตั้งแต่ 17.00 - 20.00 น.
ส่วนนี้เป็นเงินอีกส่วนที่เราเก็บเอาไว้ แล้วเอาอีกส่วนให้พ่อแม่หมดครับ พอเราเข้าวงการแล้วมีรายได้ เราก็เก็บในส่วนของเรา แล้วก็ให้เงินเดือนพ่อแม่ด้วย เพราะเราก็อยากให้พวกเขาได้พัก
ผมโชคดีที่พ่อแม่ของผมทั้งคู่สนับสนุนผมเต็มที่ไม่ว่าจะทำอะไร เอาจริง ๆ ช่วงแรกที่เราเข้ามาทำก็ไม่ค่อยมั่นใจครับ ว่าจะสามารถทำต่อไปได้แค่ไหน เพราะเราเองก็มีหลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ พ่อแม่เขาก็เป็นกังวลว่าเราจะเลือกถูกหรือเปล่า
The People : ก่อนและหลังเข้าสู่วงการบันเทิง ความคาดหวังของคุณเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างกันอย่างไร
ภูมิ : ตอนแรกที่เข้ามาก็เพื่อที่จะหางานที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้สนใจบทบาทเฉพาะเท่าไร แต่พร้อมรับหมดทุกบทบาท ขอแค่มีละครหรืองานที่เข้ามาแล้วสามารถสร้างเงินและงานให้กับเราได้ก็พอ
ตอนนั้นเราเองก็ไม่ได้ที่จะคิดมาเข้าวงการเต็มตัว เพราะเอาเข้าจริงถ้ามีงานอื่นเข้ามาก่อน เราก็พร้อมที่จะไปตลอดเลยครับ ช่วงแรกเราก็คิดไว้ว่าหากเป็นอย่างนั้นคงจะแสดงควบคู่ไปกับการสอนว่ายน้ำไปด้วย
แต่พอเรามาทำจริง ๆ เราก็รู้สึกชื่นชอบอาชีพนักแสดงมากขึ้น ได้เจอผู้คนใหม่ ๆ ประสบการณ์ใหม่ ๆ จนทำให้เรารู้สึกว่าอาชีพนี้เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ด้วยความไม่แน่นอนทางสายงานทำให้เราเองก็ไม่แน่ใจ
อย่างตอนที่ได้เล่นละครในช่วงแรกเราก็ยังไม่ได้คิดว่าเข้าวงการนะครับ คิดแค่ว่าเป็นการหางานทำควบคู่ไป แต่พอมีหลาย ๆ เรื่องตามมาทำให้เราเริ่มรู้สึกว่ามันน่าจะสามารถสร้างอาชีพสร้างรายได้ให้กับเราได้
อีกอย่างสายงานแสดงมันมีความหลากหลายที่ท้าทายน่าค้นหา เป็นการเปิดโลกใหม่ของเรา จนตอนนี้ผมก็คิดว่ามันคืออาชีพของเราจริง ๆ
The People : จากความไม่มั่นใจในอดีต ทำให้คุณรู้สึกกลัววงการมายาบ้างไหม
ภูมิ : ไม่เคยสนใจเลยครับในเรื่องนี้ เอาเข้าจริงผมกลัวอยู่แค่อย่างเดียวเลย คือจะไม่มีงานแล้วจะไม่มีเงินมาช่วยที่บ้าน คิดแค่นั้นเลยครับ
The People : คุณบอกว่าไม่ได้สนใจการแสดงมาก่อน พอต้องมารับงานแสดง คุณได้เข้าเรียนการแสดงเพิ่มเติมมาจากที่ไหนบ้างไหม
ภูมิ : ตอนที่ผมแสดงเรื่องแรกไม่ได้เรียนครับ แต่เคยมีช่วงตอนเซ็นสัญญาตอนปี 1 มีโอกาสได้เรียนอยู่แป๊บหนึ่งครับ แล้วหลังจากนั้นมันมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น จากที่เป็นอยู่ทำให้เราตัดสินใจที่จะไม่เรียน เพราะว่าเราเองก็ต้องทำงานสอนว่ายน้ำ เลยรู้สึกว่าหันมาทำงานดีกว่า ส่วนตัวเราก็คิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับวงการด้วย ผมเพิ่งจะมาดูละคร ศึกษาศาสตร์ทางการแสดง ก็ตอนที่ได้มาแสดงละครนี่แหละครับ ค่อย ๆ พัฒนาอยู่บางครั้งผมเองก็ปรึกษาพี่ ๆ ที่กองว่าแสดงเป็นอย่างไรบ้างครับ
The People : ในการแสดงแต่ละครั้ง คุณยึดโยงใครเป็นต้นแบบในการแสดงบ้างไหม
ภูมิ : จริง ๆ ชื่นชอบอยู่หลายคนเลยครับ แต่ถ้าให้ยกตัวอย่างคงเป็น พี่โอ - อนุชิตครับ รู้สึกว่าการแสดงของพี่เขามันน่าหลงใหล ซึ่งในการแสดงแต่ละครั้งของพี่เขา ค่อนข้างมีความหลากหลาย ทั้งบทบาท คาแรคเตอร์ของตัวละครที่มีหลายมิติ ทำให้เราชื่นชอบพี่เขามากเป็นพิเศษ
ส่วนวิธีการศึกษาศาสตร์การแสดงเพิ่มเติมของผม ก็จะใช้วิธีการอ่านเพื่อทำความเข้าใจตัวบทพร้อมกับแสดงควบคู่กับพี่ ๆ เพื่อจะได้เข้าใจในส่วนของคาแรคเตอร์ตัวละครให้มากขึ้น ซึ่งช่วงแรก ๆ ในแต่ละครั้งที่ได้เราก็ใช้เวลาในการเรียนรู้ เพื่อที่จะเก็บเกี่ยว แล้วนำมาถ่ายทอดผ่านการแสดงให้ดีที่สุด
The People : มีตัวละครไหนที่ทำให้คุณรู้สึกเข้าถึงบทบาทเป็นพิเศษบ้างไหม
ภูมิ : ก็คงจะเป็นตัวละครจากซีรีส์ ‘เจนนี่ กลางวันครับ กลางคืนค่ะ’ นอกนั้นก็ชอบตัวละครของ ‘ไม้’ ในมงกุฎกรรม บทบาทนี้เป็นอีกบทที่พัฒนาศักยภาพทางการแสดงของผม ด้วยระยะเวลาที่อยู่กับตัวละครมาตลอดการถ่ายทำ ผมเลยรู้สึกชอบตัวละครนี้ครับ
The People : ในฐานะที่เป็นนักแสดงคนหนึ่ง คุณคิดว่าละครส่งผลต่อทิศทางสภาพสังคมมากน้อยแค่ไหน
ภูมิ : ผมคิดว่าส่งผลในระดับหนึ่งนะครับ แต่ผมว่าเราก็ควรที่จะมีวิจารณญาณในการรับชมด้วยว่ามันเป็นเพียงสื่อบันเทิง แม้ว่าในบางครั้งจะเป็นการสะท้อนสภาพสังคมที่เกิดขึ้นจริง
The People : คิดว่าละครจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ไหม
ภูมิ : ผมคิดว่าได้นะครับ ถ้าเกิดว่ามีพลังมีเสียงมากพอ จนเกิดกระแสให้ผู้คนหันมาสนใจแล้วจะเกิดมุมมองต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นจากเรื่องราวเหล่านั้น ผ่านผู้คนที่สนใจว่าจริง ๆ ภายในเรื่องต้องการจะสื่ออะไรให้คนเข้าใจ
The People : แล้วตอนนี้คุณคิดว่าอุตสาหกรรมบันเทิงไทยเดินทางไปถึงจุดนั้นแล้วหรือยัง
ภูมิ : คิดว่าก็ครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วกันครับ อาจจะมีบางเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ทำได้
The People : ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราเห็นเพื่อนนักแสดงยื่นจดหมายเรียกร้องสวัสดิการแรงงาน คุณคิดว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ สมเหตุสมผลกับคุณหรือนักแสดงคนอื่นไหม
ภูมิ : ถ้าเกิดมีงานเข้ามาเยอะ ผมคิดว่าสมเหตุสมผลนะครับ แต่ถ้ารับแต่งานแสดงอย่างเดียวเลยแล้วงานน้อย ผมว่ามันก็อยู่ไม่ได้ แต่ถ้าเราอยู่คนเดียวอาจจะพออยู่ได้ แต่ผมเองมีครอบครัวที่ต้องดูแล งานนักแสดงก็หนักอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะอย่างเวลานัดกองบางครั้งก็ต้องไปตั้งแต่หกโมงลากยาวไปจนถึงตีสองบ้างบางที
ทั้งนักแสดง คนในกองทุกฝ่ายเหนื่อยหมดเลยครับ ผมคิดว่าระบบการทำงานไม่ควรที่จะหนักขนาดนั้นนะ เพราะมันจะส่งผลกระทบในหลาย ๆ อย่าง เช่นการพักผ่อนที่ไม่เป็นเวลา หรือไม่ก็ไม่มีเวลาที่จะพักผ่อน มันส่งผลเสียตามมาค่อนข้างมากกับคนทำงาน
ถึงผมจะมีงานไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่ถ้ามีงานเยอะเข้ามาเห็นผลแน่นอนครับ เพราะจะส่งผลต่อระบบการทำงาน จากเรื่องการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
The People : คุณคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะสามารถเกิดขึ้นจริงได้ไหม
ภูมิ : เรียกร้องให้มันเป็นจริงคิดว่าได้นะครับ แต่คงต้องใช้ระยะเวลาหน่อย เพราะอย่างตัวภูมิเองก็เพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นาน แต่ภูมิก็เห็นระบบการทำงานที่ผ่านมาว่าเขาทำกันมาแบบนี้ ถ้าเทียบกับก่อนหน้านั้น ก็ถือว่าปรับกันมาเยอะแล้วครับ เพราะอย่างสมัยก่อน บางทีออกกองถ่ายทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีเวลาพักผ่อนกันเลยก็มี
The People : การที่คนก่อน ๆ เขาทำกันมา คุณอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งผิดปกติที่ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องธรรมดาเหล่านี้บ้างไหม
ภูมิ : ก็ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนไม่ได้ ผมคิดว่ามันควรที่ต้องปรับตัวกันครับ เพราะถ้าให้มาเปลี่ยนในตอนนี้เลยคงเป็นเรื่องยาก ผมเลยคิดว่าต้องค่อย ๆ ปรับกันไปครับ
The People : สิ่งไหนในชีวิตที่คุณรู้สึกว่าหากไม่ได้ทำในชีวิตนี้จะไม่คอมพลีต
ภูมิ : คงจะเป็นเรื่องการใช้หนี้ให้กับที่บ้านครับ แค่อย่างเดียวเลยในตอนนี้ มันเลยคิดอยู่แค่อย่างเดียว แต่ถ้าหากปลดหนี้เสร็จ อย่างอื่นที่สนใจอยากจะทำคงจะตามมา อย่างสร้างบ้านให้กับทางบ้านให้พวกเขามีความสุข เพราะความสุขของเขาก็คือความสุขของเราครับ
The People : ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้เห็นคุณในฐานะนักแสดง เราจะเห็นคุณในบทบาทไหน
ภูมิ : คงจะรับจ้างทั่วไป หรือไม่ก็เป็นเทรนเนอร์ครับ
The People: อาชีพที่คุณบอกมันเป็นสิ่งที่อยากทำตั้งแต่แรกไหม หรือเพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ คุณมีความฝันอะไรไหม
ภูมิ : คิดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นนะครับ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงจะเป็นการแสดงที่ชอบ
The People: คิดว่าการได้เข้ามาสู่วงการบันเทิงและได้สัมผัสกับศาสตร์การแสดง ศาสตร์นี้มีความหมายอะไรกับคุณเป็นพิเศษ
ภูมิ : จริง ๆ ในเรื่องของการแสดงอยู่ในวงการ คือมันให้อาชีพกับเรา ที่ให้เด็กคนหนึ่งได้เลี้ยงดูครอบครัวในระดับที่โอเค ให้สามารถที่จะยืนหยัดขึ้นได้ เพราะถ้าไม่ได้อาชีพนี้ก็คงจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ครับ
The People : ฝากผลงาน
ภูมิ : ตอนนี้ก็มีเรื่อง ‘ศีรษะมาร’ ที่กำลังออนแอร์อยู่นะครับ แล้วก็ประมาณตุลาคมจะมีเรื่อง ‘เจนนี่ กลางวันครับ กลางคืนค่ะ’ ส่วนของปีหน้าที่ตอนนี้ถ่ายทำอยู่ 2 เรื่องคือ ‘บุหลันมันตรา’ กับ ‘เรือนชฎานาง’
ภาพ : อภิวิชญ์ แสงโสภา The People Junior