25 ต.ค. 2565 | 19:11 น.
ทำนองเพลง นะหน้าทอง ลีลาการร้อง และพฤติกรรมต่าง ๆ ของ โจอี้ - ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ ลอยล่องไปทั่วโลกออนไลน์ บทสัมภาษณ์นี้จะแกะตัวตนของนักร้องเพลง นะหน้าทอง แบบหมดเปลือก
เสียงร้อง “ฉันจึงเป่าคาถาเพื่อให้เธอหลงใหล..” ในเพลง ‘นะหน้าทอง’ เพลงฮิตติดหูมากสุดของปี โจอี้ - ภูวศิษฐ์ ผู้ร้องเพลงนี้อัดเดโมอยู่ 6 ชั่วโมง เขายังเล่าว่า สำเนียงร้องได้อิทธิพลอย่างหนึ่งจากสไตล์การร้องของ ‘แบงค์ วง Clash’
เพลงนี้เป็นผลงานของ โจอี้ – ภูวศิษฐ์ อดีตนักร้องเวที The Voice ที่โด่งดังจากเพลงฮิตด้วยสำเนียงร้องเป็นเอกลักษณ์ หลังจากผลงานนี้ออกมา โจอี้ เพิ่งปล่อยเพลง เสี่ยว เป็นเพลงเร็วเพลงใหม่ที่มาแรง ส่งให้คลิปและผลงานต่าง ๆ ของเขาได้รับความนิยมในโลกออนไลน์อีกครั้งในช่วงปลายปี 2565
The People พูดคุยกับ โจอี้ ซึ่งเขาเล่าถึงความเป็นมาของเสียงร้องที่โดดเด่นโดยชำแหละอิทธิพลสำคัญซึ่งนำมาสู่สำเนียงเฉพาะตัวในเพลงดังแบบที่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน
หากเสียง “ฉันจึงเป่าคาถาเพื่อให้เธอหลงใหล..” ยังไม่หลุดจากความทรงจำ คลิปนี้อาจช่วยให้เข้าใจความเป็นมาเบื้องหลังและตัวตนเจ้าของเพลงมากขึ้น ไม่แน่ว่ามันอาจช่วยปลดปล่อยคุณจากลูปในหัวนี้ก็เป็นได้
The People: ภูมิหลังในวัยเด็กตอนที่อยู่จังหวัดร้อยเอ็ด ใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ภูมิหลังผมเนี่ย ครอบครัวก็จะเป็นครอบครัวไม่ได้ใหญ่มาก แต่ว่าด้วยความที่แม่ผมเหมือนแต่งงานกับพ่อตั้งแต่แม่เป็นวัยรุ่น พอโตมาสักหน่อย โตมายังไม่ได้โตเลย พ่อผมก็เสียแล้ว เสียตั้งแต่อนุบาล 2 เราก็ยังเด็กเลย พ่อเสียเนี่ยก็ยังเล่นของเล่นอยู่เลย ภาพจำคือคนมาที่บ้านย่า พ่อผมจะอยู่บ้านย่า จะชอบมาบ้านย่า พาผมไปเล่นบ้านย่า
ตอนที่พ่อป่วยแล้วก็เสียเนี่ย ก็จำได้ว่าคนมาเยอะเลย แต่ผมก็ยังเล่นของเล่นอยู่เลย ไม่รู้ว่าพ่อเสียหรืออะไร แต่ก็มีที่พ่อเรียกไปหาเหมือนจำได้ว่า พ่อก็บอกว่าอย่าตีเอื้อยนะ
อย่าทำร้ายเอื้อยนะ เพราะตอนเด็กไม่ค่อยถูกกันกับพี่ ชอบแกล้งกันก็จำได้ พอโตมาสักหน่อย กลายเป็นว่าผมก็อยู่กับคุณยายซะส่วนใหญ่ คุณตาผมก็ขับแท็กซี่ ด้วยความที่ครอบครัวไม่ได้ใหญ่มาก ก็ไม่มีคนที่เป็นข้าราชการ
คือเป็นครอบครัวที่เหมือนเสาหลักก็ยังเป็นแม่อยู่ กับตา ตาก็ขับแท็กซี่
แม่ก็มาทำงานนวดแผนโบราณที่กรุงเทพฯ ก็ดูแลผมมาตั้งแต่เด็ก ดูแลทั้งบ้าน ทั้งพี่สาว ทั้งผม ดูแลทั้งบ้านเลย ก็จำได้ว่าแม่มาทำงานตั้งแต่เด็กเลย ก็ไม่ค่อยได้อยู่กับแม่ในช่วงที่เป็นเด็ก เพราะว่าเราก็เรียนหนังสือที่บ้าน
แต่ตอนเด็ก ๆ ผมเป็นคนที่เด็กเรียบร้อยมากเลยนะ เรียบร้อยแบบคือไม่เล่นกับเพื่อนผู้ชายเลย ละแวกบ้านมีแต่เพื่อนผู้หญิง ก็เล่นแต่กับเพื่อนผู้หญิง แล้วก็เล่นฟ้อน เต้น บางทีนั่งขัดสมาธิไม่ได้นะ นั่งขัดสมาธิไม่เป็นนะ นั่งพับเพียบเลยเมื่อก่อนก็โดนล้อว่าเป็น โดนล้อตามประสาเด็ก สมัยเด็ก ๆ ตุ้งติ้งหรือเปล่าอะไรแบบนี้ เราก็ไม่ค่อยชอบ เพราะเราก็แค่อยากเล่นกับเพื่อนผู้หญิง
แต่พอโตมาเรื่อย ๆ ก็เริ่มไปโรงเรียน ก็มีเพื่อนผู้ชาย รู้แล้วเราเป็นแมนนี่หว่า ดื้อเลย ดื้อแบบประถมนี่ดื้อมากเลยนะ ตั้งแต่ป.1 แทบจะพูดได้ว่าซนเลย ชอบไปแกล้งคนนู้นคนนี้ แต่ก็ไม่ได้เกเรนะ ชอบไปหยอกเขา แต่ก็พอผ่านไปผ่านมา มาดื้อพีกสุดคือตอนป.4 ก็เป็นเด็กซน ป.4 ไปเอามอเตอร์ไซค์พ่อ พ่อเสียแล้วพ่อมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง
ขับมอเตอร์ไซค์พ่อแล้วล้ม ล้มแล้วแบบฟันนี่ไถล หน้าไถลกับพื้น หัวแตก ปากถลอก
แล้วหมอเขาก็พาไปโรงพยาบาลพอดี ผมก็แบบ เออ ก็ดี เหมือนล้มแล้วเสร็จ หมออนามัยขับรถมอเตอร์ไซค์ผ่านไป หมอพาผมไปอนามัยหน่อย (ทำเสียงตะโกน) ก็ขึ้นซ้อนท้ายไป หมอก็บอกว่าเนี่ยต้องเย็บนะ ตรงนี้มันแตก เลือดมันไหลอาบ แล้วมันต้องฉีดยาชาไหมครับ หมอบอกต้องฉีดยาชา กลัวเข็มไง ไม่ฉีดยา เย็บสดเลย ผมร้องลั่นอนามัยเลย โหดมาก
แล้วตอนนั้นตั้งแต่ป.4 มา ก็ทำให้เราแบบ เหตุการณ์ที่มันทำให้เรารถล้ม ทำให้เราเลิกซ่าไปช่วงหนึ่ง ก็กลับมาเป็นเด็กดีกับคุณยาย คุณยายก็ไม่ได้บ่น คุณยายก็สบายปากแล้ว ไม่ต้องมาบ่นกับผมแล้ว ผมก็เป็นเด็กดีขึ้น แต่พอ มาช่วงเข้ามัธยมก็เริ่มมีแล้ว ป.6 จะเข้า ม.1 เริ่มแล้ว เริ่มรู้จักฟังเพลงแล้ว
ฟังเพลงก็คือฟังเพลง ผมจำได้ว่าเพื่อน หมายถึงฟังเพลง Rock ครับ ครั้งแรกจะฟังเพลง Clash ของวง Clash ปี 49 จำได้ ก็คืออัลบั้ม Crashing ปีนั้น แต่จริง ๆ โดยส่วนตัวตอนเด็ก ก็ยังฟังหมอลำอะไรตามคุณตา คุณยาย คุณแม่ อะไรแบบนี้มาตลอด ลูกทุ่งเราก็ร้องเพลงเล่น ๆ มาอยู่ประจำ แต่ว่าพอพลิกผันคือการที่เราชอบเพลง เหมือนเปลี่ยนการฟังเพลงไปเลย
ก็ช่วงม.1 ฟังเพลง Clash คลั่งพี่แบงค์มาก พี่แบงค์แทบจะเป็นศาสดาของผมเลย
คือผมไม่ตัดทรงผมอื่นเลย Skinhead อย่างเดียวตามที่แบงค์เลย ในช่วงนั้นเขาก็ตัด Skinhead แล้วก็ชอบฝึกร้องเพลงวง Clash ร้องได้ทุกอัลบั้ม แล้วผ่านไปผ่านมา พอถึงม.2 พอเราร้องเพลงตามวงที่เราชอบ เราอยากเล่นกีตาร์ อยากมีกีตาร์แล้วก็ร้องเพลงตาม ก็ไปฝึกกีต้าร์
ฝึกกีต้าร์ในช่วงม.2 แต่ในช่วงก่อนหน้านี้ก็ยังฝึกพิณอยู่ เล่นพิณอยู่ แต่ก็ไม่ได้เก่งเพราะว่าที่วงโปงลางก็ยังมีคนเล่นพิณอยู่ เล่นเก่ง เราก็ไปตีฉิ่ง ตีฉาบ
The People: ย้อนกลับไปที่เคยบอกว่า อยากเข้าวงโปงลางเพราะนางรำในวงสวย เข้าไปแล้วเจอประสบการณ์อะไรบ้าง
โจอี้ ภูวศิษฐ์: อย่างแรกเลยนะ เราอยากเข้าไปเพราะว่าสาวนางรำสวย ก็อยากเข้า ถ้าเราไปเล่นดนตรีแล้วนั่งเจอสาวรำวงฟ้อน เราภูมิใจมากเลยนะ มันเหมือนเด็กผู้ชายที่ได้เจอเด็กผู้หญิง มันก็จะเจี๊ยวจ๊าว โอ้ สวยจังเลยครับพี่ โอ้โห พี่ มันจะมีความกับเพื่อนครับ ก็อยากไป ก็ฝึกพิณเลย อยากเล่นพิณ แต่ก็ไม่ได้เล่นเพราะเล่นไม่เก่ง ก็เลยไปตีฉิ่งแทน ฉับ ฉิ่ง ฉับ เหมือนที่พูดเลย ก็ออกจากวงไป ก็ไม่ได้เล่นพิณอีกเลย ก็ไปฝึกกีตาร์
ฝึกกีตาร์ทีนี้เปลี่ยนแปลงพลิกผันเลย เริ่มฟังเพลงเยอะขึ้น ฟัง LOSO ย้อนกลับไปฟัง LOSO พี่เสือ ธนพล แบบ Silly Fools มาเลย คือฟังหมดเลยที่เป็น Rock วง Bodyslam ไล่มาหมดเลย เราก็ตามฟัง เราก็แบบเริ่มแล้ว เริ่มเป็นแบบ Rock โห เราเริ่มร้องตามแล้วดีดกีตาร์ (ทำเสียงร้องเพลง) นี่คือเพลงที่ผมฝึกกีตาร์แบบจับคอร์ด F เพลงแรกเลยนะ เพลงคนหลงทาง ของ Big Ass
เพลงคอร์ด F เป็นอาทิตย์เลย เป็นอาทิตย์กว่าจะได้ ท้อมากกว่าจะจับได้ แต่พอจับได้คือผมก็เล่นเป็น ก็คือไล่ได้ทุกคอร์ดในกีตาร์แล้วก็ OK
ก็ขอบคุณเพลงคนหลงทางของ Big Ass มาก ๆ ที่ทำให้ผมได้มีกำลังใจในการเล่นกีต้าร์ต่อไป (หัวเราะ) เพราะว่ามันเล่นยากมากเลย
พอเล่นกีตาร์เสร็จปุ๊บ เราก็เล่นมาเรื่อย ๆ จนถึง ม.4 - ม.5 ก็เริ่มเกเรแล้ว เกเรแบบไม่เข้าเรียนบ้าง มีเพื่อนติดเพื่อน ไม่เข้าเรียน หนีเรียนไปเล่นเกมบ้าง หนีเรียนร้องคาราโอเกะ ชอบร้องเพลง (หัวเราะ) ก็คือชอบหนีเรียนร้องคาราโอเกะ แต่ก็แบบพักเที่ยงอะไรแบบนี้ ก็อยากแค่พักเที่ยงนะครับ ไปทานข้าว ผมก็หนีไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน เฮ้ย เพื่อน ร้องคาราโอเกะกันดีกว่าว่ะ ‘เกะกะ’ มีศัพท์ว่า เกะกะกันไหม? ไป!
โรงเรียนผมจะติดกับป่า แล้วจะมีร้านคาราโอเกะติดแม่น้ำมูล จะมีสถานที่ท่องเที่ยว แล้วมีร้านคาราโอเกะร้านหนึ่งที่เป็นร้านคาราโอเกะเลย แต่มันเป็นหยอดเหรียญโชคดีหน่อย ผมเป็นนักเรียนไง ไปแอบอาจารย์ฝ่ายปกครอง เดินทะลุป่าไปเลย ป่าแบบป่าเลยนะ ทะลุจากวันแรกที่ผมเดินทะลุ จนแบบผมไปร้องบ่อยแค่ไหนรู้ไหม เส้นที่ผมเดินมันกลายเป็นถนนหนทางไปแล้ว เดินไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน ถึงร้านคาราโอเกะก็ร้องกัน จนมีปัญหาเรื่องการเรียนอยู่นิดหน่อย แต่ก็กลับมาได้
พอมาถึงช่วงที่เปลี่ยนตัวเองเลยก็คือ ช่วงม.5 ม.5 เทอม 2 ช่วง ม.4 - ม.5 เราคลั่งคาราโอเกะกับเพื่อนมากเลย กับการที่ไม่เข้าเรียน ทำอะไรก็ไม่รู้ เราก็เลยอยากเปลี่ยนตัวเอง เราอยากทำกิจกรรมโรงเรียน เพราะน่าสนุกดี ได้เจอเพื่อน เพราะว่าเราก็เอาแต่เวลาไปทำอะไรก็ไม่รู้ กับเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่แบบ 3 - 4 คน แล้วก็ไม่ได้เจอเพื่อนที่ห้องเรียนเลย จนมาเจออีกที ม.5 เลยนะ ก็ไม่ได้เจอบ่อย มาเจออีกทีก็แบบ โห มันครึกครื้น เพื่อนเยอะมากเลย แล้วก็สนุก เราก็อยากกิจกรรมด้วยไง
ตอนนั้นผมก็เปลี่ยนตัวเองกับเพื่อนที่กลุ่มเดียวกัน เราต้องเปลี่ยนตัวเอง คุยกัน ไม่สงสารพ่อแม่หรือไงวะ ไม่สงสารตายายหรือไงวะ คุยกัน เข้าเรียน เราต้องเป็นกิจกรรม ช่วยโรงเรียน เล่นกีฬาให้โรงเรียน
ดนตรีเนี่ย ช่วยผมเปลี่ยนตัวเอง ผมชอบเข้าไปเล่นห้องดนตรี คือคุณครูที่เป็นครูสอนดนตรีเขาเป็นครูนาฏศิลป์ เขาไม่มีดนตรีนะ เขาไม่ได้เล่นดนตรีแต่เขาฟ้อน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้มาดูคลุกคลีกับดนตรีสักเท่าไหร่ ผมก็ไม่มีครูดนตรี เขาก็เลยเอากุญแจห้องดนตรีให้ผม
หนักกว่าเดิมอีก ไม่ไปเรียนแล้ว เล่นดนตรีอย่างเดียว ช่วงหนึ่งก็ไปเล่นอยู่ห้อง ร้องเพลง เล่นดนตรี ชวนเพื่อนพักเที่ยงมา พักเที่ยงแล้วก็พอถึงคาบของเที่ยงคาบแรกก็ไม่ไป ขอหนีคาบนี้คาบเดียว ชั่วโมงเดียว เล่นดนตรีกับเพื่อน จากเล่นกัน 2 - 3 คน ก็มีพวกเด็ก ๆ มา เด็ก ๆ ม.1 ม.2 มาเล่นกัน เราก็ควบคุมพาเด็ก ๆ เล่น
ไป ๆ มา ๆ ก็มีงานกิจกรรมอะไร ผมก็ไปเล่นกีตาร์ เล่นดนตรีของโรงเรียนบ้าง เราก็ไม่ค่อยกล้าร้องหรอก ก็ให้คนอื่นร้อง
เหมือนในยุคที่ผมอยู่ ม.5 - ม.6 คือผมคนเดียวที่สันทัดเรื่องดนตรี ฟังเพลงแนวเพลงที่พาเพื่อน ๆ น้อง ๆ ฟัง เป็นคนที่นำเข้ามา นี่น้อง นี่วง Silly Fools ต้องฟังกับพี่นะ เขาเป็นวงนานแล้วแต่ว่าเป็นวงที่เพลงดีนะ น้อง ๆ ก็ฟังตามหมด ร้องเพลง ‘เพียงรัก’ ทั่วโรงเรียนเลย นี่เป็นจุดของการเล่นดนตรีในช่วงมัธยม
The People: อะไรที่ทำให้มาประกวด The Voice ที่กรุงเทพฯ
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ช่วงนั้นผมเรียนคุรุศาสตร์ที่ราชภัฏร้อยเอ็ดครับ แล้วทีนี้ก็พอเราเล่นดนตรีจากมัธยมแล้ว เราก็มีโอกาสมาเรียนราชภัฏร้อยเอ็ด ช่วยแบ่งเบาภาระคุณแม่ จ่ายค่าเทอม ค่าหอ อยากให้เขาสบาย ไม่อยากให้เขาลำบาก ต้องมาโอนเงินให้ลูก แล้วลูกไม่ได้ทำงานอะไรแบบนี้ ความคิดผมในตอนนั้นนะ ก็กลัวเขาลำบาก เพราะแม่ผมก็ทำงานมาทั้งชีวิต ตั้งแต่ผมเด็กจนผมอายุ 21 - 22 เขาก็ยังทำงานอยู่ ทำงานมานานแล้ว จนแบบก็อยากให้เขาสบายบ้าง เผื่อแบ่งเบาบ้างอะไรอย่างนี้ครับ
มีช่วงหนึ่งมันเป็นงาน Junior Project หรือ Senior Project ของรุ่นพี่ รุ่นตัวเองนี่แหละ แล้วเพื่อนเขาไม่รู้นะว่าผมร้องเพลงได้ เพราะผมเรียนเอกพิณ ไปด้วยเอกพิณแล้วก็ถือพิณ เขาก็หานักร้องในวง มีคนร้องเพลงได้ไหม ไม่มี เพลงที่เป็นสไตล์แบบ Rock ถ้า Rock ผมก็พอได้นะ ก็ร้อง
พอร้องเสร็จปุ๊บก็มีพี่ รุ่นพี่บอก “โจอี้มึงร้องเพลงได้นี่หว่า มึงไปเข้าร้านแทนพี่หน่อยสิ วันพฤหัสบดีนี้” ผมก็เริ่มแล้ว (ทำเสียงตื่นเต้น) “เล่นกีตาร์ได้เปล่า” ได้ครับ กีตาร์โปร่งได้ ไปเข้าร้านแทนพี่หน่อย
ก็เริ่มต้นเลยกับการเล่นดนตรีกลางคืน เราก็ชอบที่คนมานั่งดู เราก็แบบชอบร้องเพลงให้เขาฟัง เหมือนร้องแล้วก็พยายามเอาเพลงเยียวยาเขาตอนเวลาเขามาดู ก็เริ่มมีคนมาดูเราเริ่มสนุกแล้ว
The People: ที่บอกว่าตอนอยู่วงโปงลาง เล่นพิณไม่เป็น แต่ทำไมเรียนเอกพิณ
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ตอนที่ผมเข้าโปงลาง ผมเล่นพิณไม่เป็นเนี่ย ผมก็เล่นกีตาร์ไปปุ๊บ เรามี Skill กีตาร์แล้ว ผมก็ไปฝึกพิณต่อ ฝึกพอเล่น ๆ ได้ ให้พี่ข้างบ้านฝึกให้ แต่ไม่เก่งเลยนะ ผมเล่นพิณไม่เก่งเลย ตั้งแต่มัธยมไม่ใช่คนเล่นพิณเก่งเลย ก็แบบพอเล่นได้
แต่มาเรียนดนตรีเนี่ย ผมก็เห็นแต่แบบเพื่อน ๆ ที่เรียนเอกเดียวกัน ตอนที่ยังไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย เอาแซกโซโฟน ทรัมเป็ต เปียโนอะไรออกมาไม่รู้
เราทำอะไรดีเนี่ย ร้องเพลงก็ไม่มั่นใจเพราะว่าเราก็ไม่ค่อยได้ร้องเพลงเท่าไหร่ ไม่ค่อยได้แข่งประกวดร้องเพลง ไม่ได้ไปประกวด ไม่ได้ร้องให้ใครฟัง เป็นคนขี้อาย ก็เลยเอาพิณดีกว่า เอาพิณเข้าไปปุ๊บ จะเล่นพิณก็เล่นพิณเพลงง่าย ๆ แต่ว่าก็เน้น Inner เอา อาจารย์เห็นก็แบบ เออ รับเข้าสัมภาษณ์
ผมก็บอกว่าผมอยากเรียนเพราะผมอยากเป็นครู อยากให้ที่บ้านสบายอะไรแบบนี้ อาจจะเป็นด้วยจิตใจที่เราอยากเป็นครู อยากเป็นข้าราชการมาก ๆ ทางมหาลัยเขาเลยรับมั้ง
The People: พออยู่ในช่วงเรียน อยากประกวด หรือมีเข้าประกวดหรือยัง?
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ยังเลยครับ ผมไม่กล้าประกวดเลย เพราะว่าผมเรียนเอกดนตรีใช่ไหม ในรอบข้างผมจะมีเอก Voice คือเอกดนตรีเขาร้องเพลงเพราะกันหมดเลย พอมีงานร้องเพลงเราก็ไม่กล้า เพราะว่าเราไม่มั่นใจในเสียงตัวเอง เพราะว่าผมไม่ค่อยได้ร้องเพลงให้ใครฟัง นอกจากจนมาถึงตอนที่เล่นกลางคืน ก็เริ่มเหมือนเสียงเราแข็งแรงขึ้น เราร้องรู้วิธีการแบบร้องยังไงให้มันเพราะ ก็เริ่มมีแบบประกวด เจอเปิดประกวดในมหาวิทยาลัย ผมก็ลองสมัครดู
การประกวดมันคือยังไงวะ ก็เลยลองสมัครไป สมัครไปจับพลัดจับผลู ร้องไปร้องมา ผมได้แชมป์มหาวิทยาลัยเฉย ได้เงินค่ารางวัลมา 8,000 แต่ปีก่อนเขาให้ตั้ง 12,000 นะ แต่พอปีผม 8,000 ก็ไม่เป็นไร ก็เอาไปจ่ายค่าหอได้เดือนหนึ่งแล้วก็เอาไปซื้ออุปกรณ์ดนตรีเพิ่ม (หัวเราะ)
ก็เริ่มมีคนมาชม อาจารย์แกเป็นอาจารย์ปรึกษาบอก “โห เสียงเอ็งเนี่ย ไม่น่ามาอยู่เท่านี้ อาจารย์คนแรกที่บอกผมอาจารย์ที่ปรึกษา เสียงมันน่าจะออกเพลงแล้วนะเอ็งเนี่ย” โห ออกเพลงได้ไง ผมร้องเพลงได้แค่นี้ แต่ผมก็รู้สึกว่า เริ่มแบบเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองแล้ว เพราะว่าบางทีเราไม่มั่นใจในตัวเอง แล้วมันดูเหงา ดูหงอย ก็เริ่มให้ตัวเองมั่นใจ
“โจอี้ มึงทำได้ เสียงมึงทำได้วะ มันก็ร้องไปเถอะแบบนี้” จนมาถึงวันหนึ่งเขาเปิดประกาศรับสมัคร The Voice ...เขาประกาศว่าส่งวีดีโอไป ผมก็พยายามจะส่งไป อัดเสร็จแล้วส่งไป ส่งไม่เป็นก็เลยไม่ได้ส่งปีนั้น ก็โมฆะไป
พอมาถึงปี 2018 ตอนนั้นผมถูกฝึกสอนอยู่ที่ร้อยเอ็ด ก็เป็นครูฝึกสอน สอนนักเรียนแบบปกติเลย พอเห็นข่าวเหลืออีก 2 วันสุดท้าย เขาจะหมดเขต The Voice แล้ว เฮ้ย ลอง The Voice กันหน่อยดิวะ เพราะเราก็เริ่มเล่นกลางคืนมาเยอะแล้ว เราก็แบบพอกีตาร์ก็เก่งขึ้น หรืออะไรแบบนี้ ลองส่งคลิปดูดิวะ ก็เลยอัดคลิปส่งไป
พอส่งไปปุ๊บก็ผ่านครับพี่ ผ่านแล้วก็มาคัดอีกที ๆ จนมาถึงรอบบ่าย พอมาถึงรอบบ่ายเสร็จปุ๊บ เอาล่ะเหมือนเปลี่ยนชีวิต พี่ป๊อบ (ปองกูล) กดหันมา ความรู้สึกนี้ มันคืออะไรเนี่ย เราเคยเจอแต่ในทีวี จนมาถึงที่เราไปยืนอยู่บนเวทีแบบนั้น มันก็รู้สึกว่าพอยืนอยู่บนเวที โห มันเหมือนอะไรสาดเข้ามาในตัว ผมต้องทำให้มันดีไปเรื่อย ๆ
The People: จากที่ฟังมา คิดว่าการที่ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน เล่นดนตรีเอง ชอบดนตรีเอง กลายเป็นว่าเกิดผลดีต่อการร้องเพลงในภายหลังหรือเปล่า
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ผมก็คิดว่าอย่างนั้นแหละ เพราะผมไม่ได้เรียนร้องเพลง ไม่ได้อะไรเลย แต่ผมเป็นคนที่ฟังแล้วร้องตามได้แบบเป๊ะ พวกโน้ตพวกอะไร ผมจะร้องตามคนที่เป็นศิลปินต้นแบบได้เป๊ะเลย หูผมก็พอแบบฟังแล้วก็ร้องตามได้ ผมคิดว่า Skill นี้มันติดตัวผมตั้งแต่เด็ก เพราะว่าตาผมก็เปิดหมอลำ (ทำเสียงร้องเพลง) ผมก็ร้องตาม ผู้ใหญ่ก็ชอบ “ร้องเพลงเพราะนะเนี่ยโจอี้” เวลาแม่ผมไปกินข้าวกับเพื่อน ไปกินร้านที่มีดนตรี “เนี่ย โจอี้มันร้อง พวกลุงพวกน้า โจอี้ มันร้องเพลงได้” ก็จะให้ผมไปร้อง ผมก็แบบ ไม่เอาผมเขิน ผมอาย ผมไม่กล้าร้องเพลงเมื่อก่อน
The People: พอมีความสำเร็จกับ The Voice ได้เป็นที่รู้จัก มันนำมาสู่เพลงแรกที่เป็นเพลงของตัวเองยังไงบ้าง
โจอี้ ภูวศิษฐ์: พอจบ The Voice ผมก็เรียนจบครูพอดี ยื่นใบจบพอดี พี่แบงค์ที่เป็น Producer ทุกวันนี้ผมก็อยู่กับพี่แบงค์นี่แหละครับ แล้วก็พี่แบงค์แกก็ไปช่วยพี่ป๊อบเป็นผู้ช่วยโค้ช เพราะพี่แบงค์แกเป็นเพื่อนพี่ป๊อบตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ก็ไปรู้จักกันกับพี่ป๊อบพี่แบงค์นี่แหละครับ
เวลา Arrange เพลง (เรียบเรียงเพลง) พี่แบงค์ก็พาไปที่บ้าน ไปอัดเพลง คือในช่วงเวลาที่อัด พี่แบงค์ก็จะบอกผม รู้สึกแบบว่า โจอี้ เอ็งต้องเป็นศิลปิน บอกผม โห พี่แบงค์ผม โอ๊ย จริงเหรอ พี่แบงค์บอกว่าจริง เขาก็เชื่อตลอด
ผมก็ไม่มั่นใจหรอก แต่ผมก็แบบ มันจะจริงเหรอพี่แบงค์ ก็คิดอยู่ในใจนะครับ แต่ว่าพอหลังจากนั้น ก็คลุกคลีกับพี่แบงค์พี่ ป๊อบเป็นปี ๆ เลยนะ พี่ป๊อบไปเล่นคอนเสิร์ต ผมก็ตามไปดู พี่ป๊อบไปอัดรายการ พี่ป๊อบก็พาผมไปด้วยบางที จนมาถึงช่วงที่ทำเพลงส่ง ก็จะปล่อยเองแหละเพลงหนึ่ง แต่ว่าก่อนปล่อยเพลง ผมก็จะมาให้พี่ป๊อบฟังอยู่เสมอ
ก็ไปบ้านพี่ป๊อบ ทีนี้พี่อาร์ม ผู้บริหาร White Music เขาประชุมเพลงใหม่ พี่ป๊อบก็ประชุมอยู่ ผมก็พอดีเลย ผมถือโอกาสนี้เปิดเพลงนี้ให้ฟัง แล้วก็เปิดแค่ Backing Track แล้วผมก็ร้องสดให้ฟัง
พี่อาร์มก็บอกว่า เฮ้ย โจอี้ เพลง Style นี้ควรอยู่กับพี่ต๋อมนะเนี่ย พี่ต๋อมที่เป็นผู้บริหารค่าย Grand Musik พี่ต๋อมซึ่งเป็นผู้กำกับ ‘นะหน้าทอง’ ผู้กำกับ ‘ดวงเดือน’ ผู้กำกับของผมทุก MV เลยครับ แกเป็นคนที่จับมือผมเซ็นเข้า Grammy ก็คือไปคุยกับพี่ต๋อม เข้ามาคุยกันก็เอาเพลงนี้มาให้ฟัง ผมก็ร้องสดเลย พี่ต๋อมก็จับมือ ผมก็ยังงงเลย นี่ผมกำลังจะอยู่ Grammy เหรอครับเนี่ย งง ขนาดจับมือผมยังไม่รู้เลยว่า พี่ต๋อมรับผมเข้ามาค่ายแล้วเนี่ย พี่ต๋อมก็งงว่าแบบก็ตลกดี
พอพี่ต๋อมรับแล้วปุ๊บ ก็เหมือนคุยกัน ผมเล่นพิณ พี่ต๋อมก็รู้กันว่าเล่นพิณ ทีนี้อยากมีเพลงที่เกี่ยวกับพิณ แต่ว่าในช่วงนั้นผมไม่มีงานเลย ถึงผมได้เซ็นสัญญากับ Grammy นะ แต่ผมก็ไม่มีงาน ไม่มีอะไรเลย เพราะว่าเราจบ The Voice มา มันก็แค่ตอนช่วงที่มีกระแส The Voice ก็พอมีงาน แต่พอ The Voice ปีนั้นจบ ผมก็หายไปจากสาธารณชน ใน Social หรืออะไรบางอย่างหายไป แต่ผมก็ใช้เวลาการ Live นู่นนี่นั่น Live ใน YouTube, Facebook ทำทุกอย่างที่เพื่อให้คนรู้ว่าเรายังอยู่นะ แต่ว่าก็ยังไม่ได้ทำเพลง
จนมาถึงพี่ต๋อมบอกว่า อยากให้ทำมาอีกเพลง ผมก็คิดว่าเพลงแรกของผม เพลงที่ผมจะทำต่อไปอยากเป็นเพลงที่แบบที่เป็นตัวผมจริง ๆ คือผมคิดถึงบ้าน คิดถึงแม่ คิดถึงตา ยาย ก็เลยบอก “พี่แบงค์ ผมอยากมีเพลงนี้ เพลงความคิดถึงของคนทั้งโลก คนคิดถึง ฟังแล้วรู้สึกว่าคิดถึงใครสักคน” ไม่ได้ตีว่าคิดถึงแฟน คิดถึงอะไรนะ คิดถึงให้ครอบคลุมไปเลย พี่เขาก็ “ได้สิโจอี้”
ผมก็แต่งทำนองไปให้พี่แบงค์ แต่งเสร็จปุ๊บ ก็ไป Camp แต่งเพลงกัน ก็มีน้องอิ๊งค์ The Voice ที่อยู่ทีมพี่ป๊อบด้วย ก็ไปช่วยด้วย ก็ไปแต่งที่หัวหิน
แล้วทีนี้ก็มานั่งอยู่ที่ชายหาดด้วย พี่แบงค์นั่งไปนั่งมาก็มองบนท้องฟ้า คิดไม่ออกว่ะ แต่งยังไงวะ พี่แบงค์ก็เลยถาม “โจอี้ แม่เอ็งชื่อดวงเดือนใช่ไหม” ผมก็บอกว่าใช่ครับ ชื่อนี้แหละดวงเดือนแหละ เห็นพระจันทร์พอดี ก็แต่งตอนนั้นเลย แต่งเนื้อตอนนั้น แต่งมา (ทำเสียงร้องเพลง) ก็แต่งมาจนจบ ในคืนนั้นก็ยังไม่ได้เคาะนะ แต่ก็แต่งได้ Hook ได้อะไรในวันนั้น
พอเสร็จปุ๊บ ก็ไป Arrange มา ต้องมีพิณว่ะ พิณนี่คือตัวแทนของผมนะพี่แบงค์ ผมเรียนเอกพิณก็ต้องมีพิณ ก็คิด Melody พิณมา (ทำเสียงดนตรี) คิดในตอนนั้นก็อัดเข้าไป โห พี่ พออัด Demo เสร็จ ยังไม่อันนี้เลยนะ แค่แบบเครื่องดนตรีไม่ครบ ผมฟังแบบ โห ร้องไห้ ทุกวันที่ฟัง ‘ดวงเดือน’ เพราะว่าเราคิดถึงบ้าน เรามาเหมือนในช่วงนั้นเราแบบรู้สึกว่า เรามาหาอะไรอยู่ก็ไม่รู้ เราตามหาอะไรอยู่ก็ไม่รู้ มันสับสนนะ
มันเป็นช่วงสับสนว่ายังไงวะ พอเพลงนี้ผมก็มองแบบฟังทุกวัน จนแบบไปอัดแล้วก็ปล่อยเพลงนี้ออกมา ก็เป็นเพลงที่น่าจะเป็นเพลงแจ้งเกิดในเพลงแรกของผมในรั้ว Grammy
The People: หลังจากเพลงแรก นำมาสู่ ‘นะหน้าทอง’ ได้อย่างไร มีกระบวนการทำงานอย่างไรบ้าง
โจอี้ ภูวศิษฐ์: เพลงแรกเสร็จปุ๊บ พอเพลงนี้มันดังมาก ดวงเดือนมันดังมาก แต่ว่าผมก็ไม่ได้มีงานอะไรนะ คนก็ยังไม่ได้รู้จักกันมาก คนก็ยังไม่ได้รู้จักตัวนักร้อง แต่พอผ่านไป ผมก็มีซิงเกิลบั้งไฟ Rocket Festival เกี่ยวกับบั้งไฟ ก็มีไปยโสธร ไปบั้งไฟ คนก็รู้จักมานิดหนึ่ง แล้วก็เริ่มมาเป็นเพลง มันมีเพลง ‘โอ๊ย’ ก่อน เพลงต้นกำเนิด ‘นะหน้าทอง’ เลย
ตอนนั้นเพลงนี้ผมก็มีส่วนร่วมแต่งเนื้อด้วย เพราะว่าคงนั่งไปนั่งมาคิดว่า อย่างโจอี้ ภูวศิษฐ์ ถ้าพูดถึงเรื่องเจ็บปวดจะพูดถึงยังไงวะ พอแต่งมาเสร็จปุ๊บ ก็ได้โอ๊ยมา แล้วก็มาเป็น Rocket Festival
Rocket Festival เสร็จปุ๊บ เกี่ยวกับบั้งไฟ เพลงเพื่อชวนคนกลับบ้านครับ พอ Rocket Festival เพลง Rocket Festival เป็นเพลงเปิดอัลบั้มผมนะ มูนไรซิ่ง เแล้วเพลงต่อไปเป็นเพลง ‘นะหน้าทอง’
‘นะหน้าทอง’ พี่แบงค์ไปซุ่มแต่งมาคนเดียว พี่แบงค์ Producer แต่ว่าเขาก็แต่งมาก็ร้องให้ฟัง เขาก็ “เฮ้ย โจอี้ไหนลองร้องสิ” เวลาเขาแต่ง เวลาเขาร้อง เขาก็ไม่มั่นใจว่ามันจะได้หรือเปล่า เขาก็จะชอบเอามาให้ผมร้อง ผมก็จะร้อง ถ้าความรู้สึกมันได้ก็จะเอาเลย
วิธีการทำงานของผมกับพี่แบงค์คือ ผมแต่งทำนอง ถ้าผมแต่งทำนองได้ ผมก็จะส่งให้พี่แบงค์ แล้วพี่แบงค์แต่งเนื้อมา ถ้าแบบพอเรามาบวกกัน ถ้ามันมีได้ความรู้สึกที่แบบว่าความรู้สึกนั้นจริง ๆ เราก็จะทำเพลงนี้ต่อ แต่เพลงนะหน้าทอง พี่แบงค์ทำมาหมดเลย ก็ร้อง รู้สึกทำไมเพลงนี้มันเศร้าจังวะ พี่แบงค์ก็เลย “เออ ก็เศร้า มันเป็นเพลงเศร้า” แต่ว่าพี่แบงค์ก็บอกว่าพี่จะใส่ความเป็นไทยเข้าไปเนี่ย มันอยากได้มีความเป็นไทยที่บวกกับความ Shuffle ที่มันมีความจังหวะที่แบบหนึบหน่อย ให้มันดูสมัยใหม่ขึ้น แต่ทำนอง เนื้อร้องให้มันเป็นไทย
เขาก็แต่งมา ผมก็พอลองร้องดู “เฮ้ย ได้เลยโจอี้” ก็แต่งมาจนเสร็จปุ๊บ ก็ได้ ‘นะหน้าทอง’ มา คือเขาก็พูดถึงว่าเพลงนี้เขาอยากแต่งให้กับคนที่มีความรักบ้าง บางทีเพลงมันก็จะพูดถึงอกหัก เสียคนรัก สมมติถ้าพูดถึงการหวงคนรักในแบบของโจอี้มันต้องพูดยังไง
พี่แบงค์ก็แต่งมาเพื่อ Support ในมุมของผม แล้วมันเป็นตัวผมเลย แบบในเพลง คือมันก็จะเป็นเพลงที่เราหวงคนรักแหละ แต่ว่าเราก็ไม่ได้เกลียดเขานะ เราก็พยายามทำยังไงดีวะ พอนึกถึงความเป็นไทย มันต้องมีเกี่ยวกับลงนะหน้าทองหรือเปล่า ก็เลยมีท่อน “ฉันจึงเป่าคาถา...” ท่อนนั้นมา
The People: เราออกแบบเสียงร้องยังไง ท่อนนี้สำเนียงชัดแล้วติดหูมาก ฟังท่อนแรกคือจำได้เลย มีติดแบงค์วง Clash ติดหมอลำหรือเปล่า หรือมาผสมกัน?
โจอี้ ภูวศิษฐ์: พอมาถึงท่อนนี้ จุดประสงค์หลักคือเพลงนี้ที่คุยกับพี่แบงค์ มันต้องเป็นเพลงที่วนในหัวให้ได้ ต้องเป็นเพลงที่คนฟังแล้ววน คือแบบหลอนประสาท มันก็หลอนจริง ๆ ผมยังออกไม่ได้เลย เอาออกไม่ได้มาเป็นหลายเดือนแล้ว เพราะตัวเองก็ร้องเพลงตัวเองนี่...
ส่วน Design การร้อง ผมจะร้องแบบให้เข้ากับเนื้อเพลง ให้เข้ากับเนื้อหาไปเลย คือถ้าคนได้ดู MV มันจะน่ารัก ๆใช่ไหม แต่แบบเนื้อหาเพลงจริง ๆ มันเศร้า มันดิ่ง คือ Attitude ที่ผมคิดตอนอัด ตอนอัดเพลงนี้ ตอนอัดร้องคือเศร้า จะเสียคนรักไปแล้ว คือวิธีการร้องแบบไหนมันก็เลยออกมาเป็นอย่างนั้น
แล้วยากมากไอ้ท่อน “ฉันจึงเป่าคาถา” ผมอัด Demo 6 ชั่วโมง เพื่อจะให้ได้ที่ตัวเองอยากได้ ที่พี่แบงค์อยากได้
คือเหมือนจังหวะสำเนียงมันต้องได้ 6 ชั่วโมง อัด Demo อยู่อย่างนั้น ยังไม่ได้อัดจริงนะครับ “โจอี้ขอใหม่อีกที” (เสียงร้องเพลง) มันก็ไม่ถูก เพราะเราก็ไม่เข้าใจว่ามันยังไง จนเราทำให้มันเข้าใจว่ามันยังไง จังหวะเพลงมันคือยังไง มันยากมากเป็น 6 ชั่วโมง ทั้ง Verse (ท่อนร้อง) แล้วก็ Hook เลย เพลงนี้องค์ประกอบการร้องมันยากสำหรับผมเพลงนี้ร้องยากมาก
The People: อะไรที่ทำให้เราเข้าใจ สุดท้ายพออัดแล้วมันได้
โจอี้ ภูวศิษฐ์: พี่แบงค์ก็เดินมาตบบ่าผม บอกว่า “โจอี้ สมมติถ้ามึงมีแฟน แล้วแฟนมึงจะไปจากมึงแล้วจริง ๆ แบบเขาไม่มีวันกลับมา มึงจะคิดยังไง แล้วมึงเป็นแฟนเขาอยู่นะ” พี่แบงค์ก็ให้ผมจินตนาการอย่างนี้ ทีนี้จินตนาการเหรอ
“เหมือนเอ็งดูหนัง เวลาดูหนังเอ็งก็ร้องไห้อินกับหนังใช่ไหมแล้วก็เอาแบบนี้มาร้อง” เพราะว่าเพลง ‘นะหน้าทอง’ ผมก็ไม่ค่อยมีประสบการณ์แบบนี้ ไม่มีประสบการณ์ที่ต้องไปหวงใคร
เราก็จินตนาการ เออว่ะ ก็ใช้วิธีการเหมือนการดูหนัง ก็นึกภาพถ้าแบบคนที่เรารักเขากำลังจะไปจริง ๆ ผมก็ใช้อารมณ์นั้นร้องออกมาแบบที่เห็น ก็ยากมาก แบบเค้นกว่าจะได้ เพราะว่าคำบางคำมันสื่ออารมณ์มาก ท่อน Verse นี่ก็ยากมากพี่ ลมหายใจแล้วก็การร้องน้ำเสียงให้มัน (เสียงร้องเพลง) มันจะดูเป็นคนที่พูด แต่ว่ามันอยู่ข้างใน (เสียงร้องเพลง) เหมือนที่เราคิดแต่ว่าเราพูดออกมา ผมก็เลยว่าเพลงนี้ยากมาก
The People: ถ้าพูดถึงเนื้อเพลงของโจอี้ มันจะมีทั้งรัก คิดถึง มีทั้งหวง แล้วในชีวิตจริง ประสบการณ์จริง ความรักของโจอี้เป็นอย่างไร
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ความรักของผมก็เป็นเหมือนในเพลงครับ ถ้าคนที่เรารัก เราก็กลัว ผมว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติของทุกคนมั้ง แต่ผมเป็นคนไม่ได้บังคับใคร ถ้ามีแฟนก็เป็นคนที่ไม่บังคับแฟนไม่บังคับคนที่เรารัก หรือไม่บังคับคนอื่น ผมก็เป็นแบบถ้าหวง เราก็ทำตัวให้ดี ทำตัวให้เขาเห็นค่าเราก็พอ แล้วก็ทำตัวให้เป็นคนดีพยายามให้เขามีความสุข เขาก็จะอยู่กับเรา
The People: แต่มัน Contrast กับเพลง นะหน้าทอง ที่มีใช้เรื่องความเชื่อ ความศรัทธาเข้าเสริม
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ถ้าเป็นในเพลง มันก็จะเป็นการพูดถึงแค่แบบหมั่นเขี้ยวว่ะ ทำไงดีวะ เป่าคาถาเลย ดีไหมเนี่ย อะไรแบบนี้ แต่ที่จริงแล้ว ความเป็นจริงแล้วก็คือ แม้ว่าคุณจะไปลงนะหน้าทองมา หรือไปลงนะหน้าทองกับพระชื่อดัง เกจิชื่อดัง หรือกับพระอาจารย์ที่ดังลงนะหน้าทองเนี่ย ถ้ามาแล้วไปเจอสาวแล้วแบบ “ถุย รักกันไหมน้อง” อะไรแบบนี้ ผมก็ว่าน่าจะไม่ใช่
ถ้าเราทำตัวไม่ดี ผมว่านะหน้าทองก็ไม่มีผล ในมุมผมนะ ตอนที่ Attitude ที่ผมร้อง “ฉันจึงเป่าคาถา” ก็คือ คาถาของผมคือทำความดี เธอไปได้นะ แต่ฉันก็รอตรงนี้แหละ แต่ว่าถ้าเธอไปก็เสียใจ แต่ว่าฉันก็จะทำตัวดีของฉันนี่แหละ อะไรประมาณนี้ ใน Attitude นั้น
The People: พอฟังที่เล่าแล้วเหมือนผสมแบงค์วง Clash ผสม Silly Fools ผสมหมอลำ เป็นอย่างนั้นไหม เลยเห็นภาพชัดเลย
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ใช่ครับ แล้วถ้าคนที่มาวิเคราะห์ได้ก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะว่าผมเอามารวมกันหมดเลย ผมใช้วิธี พอเสียงสูง ผมฝึกร้องเสียงสูงจากพี่โต (Silly Fools) ผมฝึกร้องแบบเพลงที่เป็นเพลงช้า Inner จากพี่แบงค์วง Clash ผมฝึกร้องหมอลำจากพี่ไหมไทย พี่มนต์แคน แก่นคูน เหมือนพอมาเป็นโจอี้ตอนนี้ มันก็กลายเป็นโจอี้ที่แบบ ร้องอะไรก็ได้ แบบที่ตัวเองอยากร้อง (หัวเราะ) เหมือนที่ตัวเองร้องออกมามันก็กลายเป็น พอมันมารวมกันก็กลายเป็นเสียง โจอี้ ภูวศิษฐ์ ครับ
The People: เพลงนี้คือเพลงไทยที่มาแรง ติดหูที่สุดในปี 2565 ไปไหนมาไหนก็ได้ยิน มองอย่างไรกับความสำเร็จของเพลงนี้ แล้วมันเปลี่ยนชีวิตเราอย่างไรบ้าง
โจอี้ ภูวศิษฐ์: มันเหมือนตั้งแต่ ‘ดวงเดือน’ นี่มันเหมือนการ…ดวงเดือนนี่ถึงจะ 170 ล้าน View เป็นการปลูกต้นไม้ เหมือนเราเพาะอะไรบางอย่าง คนก็ยังไม่ได้รู้จักผมนะ ไม่ได้รู้จักคนร้องดวงเดือนนี่มันใครวะ ก็มีรู้บ้างแต่ไม่ได้รู้ซะส่วนใหญ่ จนมาถึงเพลง ‘นะหน้าทอง’ มันเหมือนระเบิดออกเลย มันเหมือนมันอั้นจากดวงเดือน แล้วมาระเบิดที่นะหน้าทอง คนก็เริ่มรู้จักว่าโจอี้นี่ร้องนะ เพลง ‘ดวงเดือน’ โห เพิ่งรู้ ต้องตาม ก็จะมีคน Comment ก็จะประมาณนี้
เหมือน ‘นะหน้าทอง’ เป็นระเบิดออกเลย จนผมก็ไม่รู้ตัว ไม่รู้ตัวเอง ผมแบบงงมาก เวลาไปเดินตลาด นี่โจอี้ คนขอถ่ายรูป ก็กลายเป็นว่าคนเริ่มขอถ่ายรูป เหมือนคนจำเราได้ ผมก็ยังงง เออ ผมก็ยังไม่รู้ตัวนะ ผมก็ยังใช้ชีวิตปกติ ไปตลาดนู่นนี่นั่น ขับมอเตอร์ไซค์ไปนั่นไปนี่ กินข้าวหน้าปากซอยแบบปกติ
ผมก็ใช้ชีวิตแบบถ้าใครเห็น Lifestyle ของผมก็เป็นเหมือนคนโง่ ๆ คนหนึ่ง (หัวเราะ) ใช้ชีวิตปกติไม่มีอะไรมาก แต่เหมือนเขาเห็นในเพลง ‘นะหน้าทอง’ เขาก็เริ่มรู้จักตัวผมโจอี้ ภูวศิษฐ์ โจอี้ นะหน้าทอง กลายเป็น โจอี้ นะหน้าทองไปแล้วตอนนี้
The People: เล่ากระบวนการอัดเพลง อย่างที่เล่าแค่อัด Demo ใช้เวลา 6 ชั่วโมง แล้วเวลาอัดจริง หรือว่าทำงานจริง มันมีความยากของมันยังไงบ้างในการอัดต้นตัวฉบับจริง Master จริง
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ยากครับ...ผมจะใช้กับพี่แบงค์คือวิธี เราเค้น Demo ให้รู้เลยว่า ตรงนี้มันอย่างนี้นะโจอี้ ต้องร้องอย่างนี้ ตรงนี้เยอะเลย เยอะ ๆ พอไปห้องอัดก็ไม่ได้ทำอะไรเยอะ อัดแปบเดียว เพราะว่าเราหนักจากตรงนี้ เรารู้แล้วว่าจุดนี้เราต้องร้องแบบนี้ เหมือนไปหนักตอน Demo แล้ว แต่พออัด Master อัดร้องก็สบาย
The People: ในแง่เนื้อหา ในความเป็นจริงแล้วโจอี้เชื่อในแบบการเป่าคาถามันมีผลอะไร มันเชื่อไหม ในเชิงความเชื่อเหนือธรรมชาติของคนอีสาน เรามีความเชื่อยังไงบ้าง
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ผม 70/30 นะพี่ ผมอยู่ 30
The People: 30 นี่เชื่อหรือไม่เชื่อ?
โจอี้ ภูวศิษฐ์: เชื่อครับ 30 ไม่ได้ 50 นะ คือโดยผมเนี่ย ผมก็เป็นคนที่ไม่ค่อยได้รู้เรื่องคาถาอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้แบบลบหลู่นะ ผมก็ยังเชื่อว่า บางทีสิ่งเหนือธรรมชาติมันก็มีจริง ๆ เพราะผมก็ยังเชื่อเรื่อง UFO อยู่เลย ทุกวันนี้ผมก็ยังหมกมุ่นอยู่กับ UFO อยู่เลยเนี่ย กับมนุษย์ต่างดาว ไม่รู้เป็นอะไร ก็ยังแหงนมองท้องฟ้าเผื่อจะเจอ UFO อยู่บ้าง แล้วมันไม่เจอ
ผมเชื่อว่าสิ่งเหนือธรรมชาติมันมีจริง บางทีเราก็เชื่อไว้ก็ดี เชื่อไว้นิดหน่อยก็ดี แต่ก็ไม่ได้ไปเบียดเบียน ไปด่าว่าคนนั้นเชื่อ โห ไม่ดี เราแค่เชื่อไว้ก็ดี บางทีมันก็ไม่เสียหาย บางทีมันก็อาจจะช่วยยึดเหนี่ยวจิตใจใครบางคนได้บ้าง
The People: ในเชิงความเป็นอยู่ มันทำให้วิถีชีวิต หรือทำให้ครอบครัวเปลี่ยนแปลงไปด้วยไหม
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ใช่ครับ คือมันทำให้ผมกล้าวางแผนอนาคตอะไรบางอย่างมากขึ้น คือผมวางแผนไว้ อนาคตผมอาจจะทำบ้านให้ครอบครัวอยู่แล้ว ก็คือน่าจะไม่สิ้นปีนี้ ก็สิ้นเดือนตุลาคมนี้แหละ ก็แบบจะไป Renovate บ้าน ซ่อมบ้านให้ตา ให้ยาย ให้แม่ แล้วก็จะเผื่อแบบจะกู้เงินซื้อบ้านสักหลังที่กรุงเทพฯ เพื่อแบบมีห้องอัดทำเพลงเป็นของตัวเอง ถ้าผมมีงานเยอะ ๆ เผื่อมีเงินเก็บก็ลงทุนเปิดร้านนวดให้แม่ ความฝันของแม่เขา อยากทำตอบโจทย์แม่
The People: ศิลปินหลายคนเวลาออกเพลงแล้วมีเพลงที่ฮิตระเบิด ที่เขาเรียก One-Hit Wonder บางคนก็พอหลังจากเพลงฮิตของตัวเองแล้ว กระแสจะค่อย ๆ Fade ไปเรื่อย ๆ เราวางแผนหรือว่ามีกลยุทธ์ในการรักษาความต่อเนื่องในแง่การทำงานอย่างไรบ้าง
โจอี้ ภูวศิษฐ์: มีครับ เหมือนพี่ ๆ ก็บอกอยู่มาตลอด ตั้งแต่ยังไม่ปล่อยเพลงพี่ป๊อบ (ปองกูล) ก็เป็นคนที่แบบสอนผมตลอด ‘ดวงเดือน ’ดัง พี่ป๊อบพาผมทำนู่นทำนี่ตลอด ทำให้คนเห็นตลอด พอจน ‘ดวงเดือน’ กระแสซาลง อย่างน้อยคนก็ยังเห็นผม เพราะว่าเหมือนดวงเดือนดัง แต่ว่าผมก็ยังเคลื่อนตัวตลอด ผมมี Cover พยายามไปไหนก็ไป เพื่อให้คนเห็นเรา ให้เราไม่ได้หาย ก็พยายามรู้วิธีการ เหมือนพี่ป๊อบเขาก็สอนผมแบบนี้มาตลอด
จนมาถึง ‘นะหน้าทอง’ มันดังเนี่ย ก็วางแผนตลอด ผมก็มีเพลงตุนไว้ที่จะปล่อย ปล่อยหลังจากนี้อยู่เรื่อย ๆ คือเพลงที่จะปล่อยก็คือคนจะฮือฮามากว่า โจอี้ทำอย่างนี้ มีร้องอย่างนี้ด้วย ทำอย่างนี้ด้วย ก็คิดว่าตัวนี้น่าจะเป็นตัวที่ทำให้คนไม่ลืมเรา ได้เสพผลงานเราเรื่อย ๆ ครับ ก็ใช้วิธีแบบเราไม่หาย เราพยายาม Live บ่อย ๆ
ผมทัวร์คอนเสิร์ตก็ทัวร์ทั้งเดือนเลย ถ้าวันว่างผมก็ Live ใน TikTok เผื่อคนที่ยังไม่ได้เห็น เราก็เห็น เหมือนผมไม่ได้หยุดเลย ผมไม่อยากให้ผมหายไปกับเพลงดัง
ผมก็อยากที่จะอย่างน้อย เพลงมันหมดกระแสไป มันก็มีเพลงอื่นมาแทน แต่ว่าผมก็ยังอยู่ในนี้นะ ในโลก Social นะ ผมก็ยังทำเพลง Cover อะไรอยู่ ผมก็ยังมี Vlog มี YouTube ให้ติดตามนะครับ ผมก็พยายาม Active ตัวเองอยู่ทุกวันครับ
The People: พอจะพูดได้ไหมว่าอิทธิพลการร้องแบบของแบงค์ วง Clash คือการร้องส่วนหนึ่งของเพลง ‘นะหน้าทอง’
โจอี้ ภูวศิษฐ์: คือในนะหน้าทอง ผมไม่ได้มี Attitude ที่จะร้องแบบพี่แบงค์นะ แต่ว่าอาจจะเป็นเพราะผมติดแบบพี่แบงค์ Clash พี่โต Silly Fools เพราะว่าผมฟังเพลง Clash เยอะมาก แล้วร้องตามเพลง Clash เยอะมาก แต่แบบเหมือนด้วยโทนเสียงของผม วิธีการออกเสียง มันก็กลายเป็นว่า เป็นการคล้ายแบบพี่แบงค์ แต่เป็นคล้าย ๆ กัน
แต่เหมือนเราก็ชอบพี่แบงค์ด้วย ก็แบบบางทีการออกเสียงขึ้นเสียงสูงแบบนี้บางทีมันก็ออกมา มันก็กลายเป็นคล้ายพี่แบงค์โดยบังเอิญมั้ง อาจจะเป็นได้กลิ่นมานิดหนึ่ง แต่มันก็ไม่ได้เหมือนนะ
ผมรู้สึกว่าผมก็ร้องแบบวิธีของผม แต่ผมรู้สึกว่ามันได้กลิ่นเพราะว่าเราฟังเพลง Clash มาเยอะ ผมฟังเยอะมากเลย ผมร้องเพลง Clash ได้ทุกอัลบั้ม ตอนที่แบบคลั่งวง Clash มาก ๆ คือแทบจะไปสักตามที่แบงค์เลย แบบนั้นเลย
The People: การใช้ชีวิตตั้งแต่วัยเด็กแบบที่เล่า แล้วมาเป็นศิลปิน มีอะไรที่ทำให้เป็นคติในการใช้ชีวิต คติในการทำงาน คติของโจอี้คืออะไร
โจอี้ ภูวศิษฐ์: คติของผมคือพยายามใจดีกับคนอื่นเยอะ ๆ พยายามมอบสิ่งดี ๆ ให้กับคนอื่นและก็คนที่ได้รับจากเราก็ส่งพลังมาให้เรา ผมคิดอย่างนี้ทุกวัน ไปนู่นนี่นั่นก็คิดแค่วันนี้เราพยายามทำให้คนอื่นมีพลังบวกจากเราให้ได้
The People: เส้นทางต่อไปหลังจากนี้ของโจอี้ จะทำอะไรบ้าง
โจอี้ ภูวศิษฐ์: ก็มีผลงานเร็ว ๆ นี้ มีแน่นอน เป็นเพลงที่ 3 ของอัลบั้ม เป็นเพลงเร็วด้วย ชื่อเพลง ‘เสี่ยว’ ผมคิดว่าเพลงนี้ เสี่ยว ที่แปลว่าเพื่อน เพื่อนรัก ถ้าภาษาอีสานนะ ก็ทุกคนจะได้เจอสิ่งที่ผมไม่เคยทำ สิ่งใหม่ ๆ ที่ผมไม่เคยร้องแบบนั้นมาก่อน แล้วก็จะได้เห็น จะได้ Featuring ด้วย Featuring กับเซียนหรั่ง มะลายยายอยาก มา Featuring ด้วย ก็เป็นเพลงที่สนุก มัน เฮฮา แน่นอนครับ ใครที่แบบชอบเพื่อน รักเพื่อนเนี่ย
ไปกับเพื่อนบ่อย ๆ ฟังเพลงน่าจะได้ แล้วก็มีเพลงกับพี่ป๊อบด้วย แต่ขอยังไม่บอกว่าเป็นเพลงอะไรนะครับ อาจจะเป็นฐานความลับของบริษัทนะครับ
หมายเหตุ: สัมภาษณ์เมื่อ 30 กันยายน 2565