22 พ.ค. 2568 | 10:30 น.
ศูนย์นันทนาการเตชะวณิช (ชื่อเดิมคือศูนย์เยาวชนเตชะวณิช หรือศูนย์สร้างสุขทุกวัย) คือสถานที่ที่ The People และ ‘เนอส - ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย' สก.เขตบางซื่อ จากพรรคประชาชน นัดเจอกัน ยอมรับตามตรงว่าตอนแรกยังไม่เข้าใจบทบาทของสถานที่แห่งนี้มากนัก จนกระทั่งเธอบอกว่า ศูนย์ฯ แห่งนี้คือ ‘ความภาคภูมิใจ’
เพราะก่อนหน้านี้ตึกมีสภาพทรุดโทรมเสียจนน่าใจหาย ทั้ง ๆ ที่นี่คือแหล่งรวมตัวของคนทุกเพศทุกวัย เข้ามาทำกิจกรรมแบ่งปันพื้นที่ร่วมกัน ตั้งแต่ผู้สูงอายุมาเต้นลีลาศ บางคนมาออกกำลังกาย อายุน้อยหน่อยก็มาเล่นกีฬา เล่นดนตรี และนั่งทำการบ้าน ทั้งหมดนี้คือพื้นที่สำหรับทุกคน
หลังจากนั้นเธอและทีมงาน คณะก้าวหน้า - Progressive Movement รวมถึงภาคเอกชนได้ร่วมกันผลักดันการปรับปรุงศูนย์ฯ ให้สอดคล้องกับความต้องการของพี่น้องที่ไว้วางใจให้เธอมานั่งอยู่ในสภากรุงเทพมหานคร (สก.) มากที่สุด ตั้งแต่ปลายปี 2565 จนเสร็จสิ้นกระบวนการในปี 2568 ตรงกับช่วงเวลาที่เราและเธอเจอกันพอดิบพอดี
เวลา 3 ปีทำให้เธอสำรวจตัวตนของตัวเองในวัยสามสิบกว่าอย่างหนัก ว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นคนยังไงกันแน่ อุดมการณ์แรกเริ่มที่เข้ามายังคงเดิม หรือสามารถบิดเบือนเพื่อเอื้อประโยชน์ให้คนบางกลุ่มได้
แม้อากาศวันนี้ไม่สู้ดีนัก ทั้งร้อนและอบอ้าวแทบจะอาบเหงื่อต่างน้ำ แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้ทำให้เนอสหมดพลัง แถมเสื้อของเธอที่สกรีนว่า ‘ลื้อดูร้อน’ ก็ทำให้บรรยากาศดูเบาลง ตอกย้ำว่าเนอสไม่ได้มีแค่โหมดจริงจังเท่านั้น แต่ยังมีโหมดตลกแทรกอยู่ด้วย
The People พูดคุยกับ เนอส - ภัทราภรณ์ เก่งรุ่งเรืองชัย สก. เขตบางซื่อ ผู้ลงการเมืองเพราะไฟแค้น หงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นว่าทำไมไฟเสียไม่ซ่อม ท่อตันทำไมไม่ยอมลอก เลยเลือกมาลงสนามการเมืองท้องถิ่นด้วยตัวเอง
The People : การที่เราต้องเกิดมาเป็นลูกสาวคนโตในครอบครัวที่คุณพ่อเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ส่งผลกระทบต่อชีวิตเราในแง่ไหนบ้างไหม
ภัทราภรณ์ : คือเอาจริง ๆ ตอนนั้นที่พ่อเป็น สก. เราก็ยังเด็กมาก รู้สึกจะที่รู้เรื่องจริง ๆ จะเป็นสมัย 2 แกเป็น 2 สมัยเนอะ แล้วก็พอสมัย 2 เราอายุประมาณ 14 15 ก็ ม.ต้น คือตอนนั้นน่ะ เพิ่งรู้ว่าพ่ออยู่ในตําแหน่งที่คนอื่นรู้จัก เพราะว่าเพื่อนเอาสติ๊กเกอร์พ่อมาล้อ แล้วก็สติ๊กเกอร์มาติดเต็มประตูห้องเรียนเลย แล้วเราก็เริ่มรู้ว่า อ๋อ มีคนรู้จักพ่อเราข้างนอกด้วยเหรอ มันก็เลยเป็นแบบนั้นแหละ แล้วก็อีกอย่างนึงคือเวลาที่เราอยู่บ้าน บางทีก็จะมีคนมากดกริ่ง แล้วก็บอกว่า ท่าน สก. ไปลอกท่อให้หน่อย ซึ่งตอนนั้นเราก็จะรู้ว่า อ๋อ งานพ่อเรา คือลอกท่อก็คือจะรู้ประมาณนี้ แต่อย่างอื่นตอนนั้นเหมือนเป็นวัยรุ่นอยู่ในโลกตัวเอง แล้วก็จะไม่ได้รู้เรื่องงานพ่อเท่าไหร่
The People : คุณพ่อเคยเอาเรื่องงานเข้ามาคุยในบ้านบ้างไหม
ภัทราภรณ์ : ไม่มี แต่ว่าแกจะเอาวิธี อันนี้ก็ฮาอยู่ ก็คือแกก็เอาวิธีการพูดในสภา กลับมาพูดที่บ้านคือเวลาคุยกันก็แบบเนอสเรื่องที่หนึ่งนะ มันเป็นอย่างนี้ ๆ เรื่องที่สองเป็นงี้ เราก็จะงง แต่นอกนั้นก็คือแทบไม่มีเลยค่ะ
The People : การที่คุณเป็นลูกสาวคนโต แน่นอนมันอาจจะมีความกดดันบางอย่าง คุณเคยได้รับความกดดันเหล่านั้นบ้างไหม
ภัทราภรณ์ : ตลอดเวลา (นิ่งคิด) เนอสว่าพอเป็นลูกคนโต มันก็ต้องยอมรับว่าพ่อแม่เรา เขาก็ไม่เคยมีลูก แล้วเราก็เหมือนเกิดมา เราก็ไม่รู้ว่ามาตรฐานของการเป็นลูกที่ดีหรือเป็นครอบครัวที่ถูกต้อง มันเป็นยังไง แล้วด้วยความที่เป็นลูกสาว มันก็จะมีความเป็นห่วงในอีกเลเวลหนึ่งที่มากกว่าลูกชาย มันก็เลยกลายเป็นความคาดหวังที่สูงมาก แล้วมันเหมือนกับมันไม่มีที่สิ้นสุด คือเราไม่รู้ว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน เออ ก็เลยส่วนหนึ่งทําให้เรารู้สึกว่าเราดีไม่พอตลอดเวลา กับอีกอันนึง ก็คือเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้อง ๆ ด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าตัวอย่างที่ดี มันควรเป็นยังไง มันก็เลยมีความกดดันหลาย ๆ อย่างตอนเด็ก
The People : ความกดดันแรกเลยที่คุณเริ่มรู้สึก เกิดขึ้นในช่วงอายุประมาณเท่าไหร่ พอจําเรื่องนั้นได้ไหม
ภัทราภรณ์ : ที่จําแม่น มันจะมีตอน ม.1 เราสอบได้ที่หนึ่ง ตอนนั้นเราได้ 3.8 กว่า ๆ แล้วเราก็ดีใจมากกลับไปบอกที่บ้าน ปรากฏว่าสิ่งแรกที่เขาพูดคือได้แค่นี้เองเหรอ แล้วเราก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย มันไม่ใช่ 4.0 ว่ะ คือมันเป็นที่หนึ่งแหละ แต่ว่ามันก็ยังไม่พออีกเหรอ ซึ่งตอนนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าเราไม่รู้ละว่าการที่ดีพอสำหรับพ่อแม่เราเป็นยังไง ซึ่งเขาเอง เขาก็ไม่ได้ผิด เพราะว่าเขาถูกเลี้ยงมาแบบนั้นเหมือนกัน คือด้วยความที่เป็นครอบครัวคนจีน มันจะมีคําหนึ่งที่บอกว่าอย่าไปชมเดี๋ยวมันเหลิง ให้ด่ามันแล้วเดี๋ยวมันจะเก่งขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะประสบความสําเร็จ ซึ่งมันก็เวิร์คกับชีวิตพ่อแม่เราจริง ๆ ในความเป็นคนจีนก็คือเขาก็สร้างตัวเองมาจากศูนย์ จนธุรกิจเขาประสบความสําเร็จ แล้วมันก็สร้างเราให้มาถึงจุดนี้เหมือนกัน แต่ว่าระหว่างทางจนถึงตอนนี้คือมันแลกมาด้วยการที่ชีวิตมันไม่มีความสุข
ตอนที่เนอสยังเด็ก ๆ เป็นช่วงเริ่มต้นของธุรกิจ เราก็จะเห็นตั้งแต่ที่บ้านเรา คือที่บ้านเป็นโรงงานทําเศษเหล็ก ตอนนั้นที่บ้านก็จะเป็นรถหกล้อกับรถสี่ล้อ ตอนนั้นก็ยังไม่มีสิบล้อ รถพ่วง มันก็เป็นช่วงที่เขาต้องพยายามมาก ๆ ที่จะสร้างเนื้อสร้างตัว เราก็เลย เหมือนกับพื้นฐานไม่ได้โตมาในครอบครัวที่รวย คือเราเห็นพ่อแม่เราตั้งแต่เขาเริ่ม
The People : มีความฝันหรือความคิดตอนเด็ก ๆ ไหมว่า โตขึ้นมาเราอยากจะทําให้ครอบครัวสุขสบาย เหมือนกับที่พ่อแม่เคยลําบากมา
ภัทราภรณ์ : ตอนแรกเราก็ตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้แบบนั้น ตอนที่ทําธุรกิจกับที่บ้าน แต่ว่าพอมาถึงจุดนึง เราก็เข้าใจว่า เขาไม่ได้อยากพักผ่อนหรอก เราคิดไปเองว่าเขาอยากจะเกษียณอยากจะเอาเงินที่มีอยู่ไปเที่ยวรอบโลกไปอะไร คือเราคิดไปเอง เขาก็พูดอย่างนั้นมาด้วย แต่จริง ๆ เขาไม่ได้ต้องการแบบนั้น คือเนอสว่ามันก็อาจจะเกี่ยวกับการเป็นคนจีนด้วยส่วนหนึ่ง คือเขารู้สึกว่าเขาทํางานมาตลอดชีวิตแล้วเขารู้สึกมีคุณค่าในการทํางาน ลูกน้องที่อยู่ด้วยกันมาคือไม่ใช่ลูกน้องเฉย ๆ เพราะเขาก่อร่างสร้างตัวด้วยกันมา มันก็เลยทําให้ที่ทํางานเป็นคอมฟอร์ตโซนของเขา เขาก็เลยไม่อยากเลิกทํางาน คือเราคิดไปเอง ถึงจุดหนึ่งเราก็เลยรู้สึกว่าโอเค ถ้าเขายังอยากทํางานอยู่ แล้วแนวทางในการทํางานมันอาจจะไม่ค่อยตรงกัน ถ้างั้นเราก็ทําอย่างอื่นดีกว่า
The People : ช่วงที่คุณเริ่มรับรู้ถึงความกดดัน มันทําให้คุณเปลี่ยนไปไหม วัยเด็กของคุณบุคลิกเป็นยังไง ต่างจากตอนนี้มากน้อยแค่ไหน
ภัทราภรณ์ : มีหลายแบบมากนะ ตอนที่เรียนประถมเป็นโรงเรียนหญิงล้วน เรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ด้วยความที่เป็นโรงเรียนหม่อมเจ้าก็จะค่อนข้าง traditional มาก เราก็รู้สึกว่าโดนกดดันมากจากที่โรงเรียนที่แบบต้องคลานเข่าเข้าไปหาครู ตอนนั้นก็คือเป็นเด็กเงียบมาก แล้วก็อ่านการ์ตูนอย่างเดียวคือไม่พูด แทบไม่มีตัวตนในในห้องอะไรเลย แล้วพอเข้ามาที่โยธินบูรณะตอนช่วงมัธยม มันก็เป็นช่วงการเรียนรู้อีก ว่าเราเป็นคนยังไงกันแน่ มันก็พยายามพูดมากขึ้น คือบางทีเวลามีคนมาช่วงนั้นเป็นเด็กน่ารักเป็นช่วงพีคที่สุดในชีวิตนะคะ ก็จะมีคนมาชมว่าแบบว่าพี่เนอสกรี๊ด ๆ อะไรอย่างเงี้ย ซึ่งเราก็แบบไม่รู้จะทําไงกับสิ่งนี้ แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราน่ารักอะ มันก็เป็นแบบช่วงหนึ่งในชีวิต ก็จะมีความเป็นสาวหน่อย พอเข้ามหาลัยปุ๊บมันก็ส่วนนึง มันก็เป็นเรื่องการเมืองด้วยเรื่องอะไรด้วย เราก็กลายดาร์ก ก็เป็นอีกแบบนึงก็จะมีความโกรธเกรี้ยวที่สะสมมาทั้งเด็กด้วยทั้งเรื่องการเมืองด้วย
เนอสว่าพ่อเราถูกคาดหวังเนอะ แล้วเราไม่รู้ว่าต้องทํายังไงให้มันถูกอะ ซึ่งเอาจริง ๆ เราก็คิดว่าพ่อแม่เราก็ไม่ได้มีคําตอบเหมือนกันว่าว่า ลูกคนนี้ต้องปฏิบัติตัวยังไง มันถึงจะถูก มันก็เลยทําให้เราเหมือนมีความโกรธสะสม คือเหมือนไม่รู้จะทํายังไง ทําอะไรก็ผิด ซึ่งมันก็มีมาจากข้างในด้วย แล้วก็พอมันเจอข้างนอก ที่คือเรายังรู้สึกว่าเรื่องข้างนอกมันควบคุมได้มากกว่าข้างในอีก เราก็เลยเข้าไปทําการเมืองเป็นกลุ่มการเมือง
คือตอนนั้นก็จะมีการชุมนุมเสื้อแดง ซึ่งถ้าพูดกันตรง ๆ ก็คือเราเรียนคณะแฟชั่นที่จุฬา แล้วส่วนใหญ่เขา ก็จะเป็นอีลิทนิดนึง แล้วก็ด้วยความที่จุฬาอะมัน เขาค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับฝั่งเสื้อแดง เราก็เลยรู้สึกว่าเราคุยกับเพื่อนคณะ เราไม่รู้เรื่อง ก็เลยมาอยู่กับกลุ่มนี้แหละ ซึ่งเขาก็ตั้งกันอยู่แล้ว แล้วเขาก็มีแปะโปสเตอร์ไว้ เราก็เข้าไปฟัง แล้วเราก็รู้สึกว่าที่เขาคุยกันได้อ่านหนังสือที่เค้ามีการแนะนํากัน มันก็ตรงกับสิ่งที่เราเชื่อ แต่ว่าตอนนั้นมันก็จะมีเรื่องที่ว่าเสื้อแดงโดนค่อนข้างเยอะ ถ้าจําได้ตอนนั้นก็จะมีบุกไปหาที่บ้าน จนแบบโดนมีบางคนที่ว่าโดนไล่ออกจากงาน ซึ่งมันก็ธุรกิจที่บ้านเรา ลูกค้าส่วนใหญ่เขาก็จะไม่ได้เห็นด้วย ก็เลยอยู่เบื้องหลังนิดนึง แล้วก็สกิลที่เรามีก็คือการทํากราฟิก เราก็เลยทํากราฟิกให้เขาไป แล้วก็เอกสารอะไรที่เขามีการแจกจ่ายเผยแพร่เรื่องข่าว เรื่องบทความ เราก็เป็นคนทํา ก็เลยไปช่วยแนวนั้นแทน
The People : คุณบอกว่ามันตรงกับความเชื่อของคุณ ตอนนั้นคุณเชื่อในอะไร
ภัทราภรณ์ : คือเราเชื่อว่ามันมีการโฆษณาชวนเชื่ออยู่ แล้วก็เนอสคิดว่าหลาย ๆ คนตอนนั้น เขาเรียกว่าตาสว่าง มันก็จะเป็นฟีลคล้าย ๆ กัน ซึ่งถ้าคุณคุยกับคนที่เขายังไม่ตาสว่าง คุยยังไงมันก็ไม่เข้าใจ มันก็เลยเป็นรากฐานว่า เราเจอคนที่อย่างน้อยคุยกันรู้เรื่อง ซึ่งมันก็กลายเป็นเพื่อนกันในเรื่องอื่นต่อไปด้วย
The People : ทำไมตอนนั้นถึงสนใจอยากเรียนคณะแฟชั่น
ภัทราภรณ์ : คือตอนนั้นเป็นวัยต่อต้าน ก็คือไม่ว่าพ่อแม่จะบอกอะไร ดิฉันก็จะต่อต้าน (หัวเราะ) แล้วก็ตอนนั้นความเป็นครอบครัวคนจีน เขาก็อยากให้เรียนบริหารธุรกิจ ไม่ก็บัญชีอันนี้คือสแตนดาร์ด เราก็ไม่ ฉันจะไม่เรียน เราก็รู้สึกว่าเราเป็นคนชอบแต่งตัว ดังนั้นเราก็ควรจะเรียนแฟชั่น ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่เลย พอเข้าไปปุ๊บผ่านไป 2 ปีบอกแม่ว่าอยากซิ่ว แม่ก็บอก อ๋อ มึงเลือกแล้วนี่มึงอยากได้ไม่ใช่เหรอ ก็เลยได้เรียนจนจบ (หัวเราะ) ซึ่งสุดท้ายดิฉันก็ไม่ได้ชอบเลยจนจบออกมา
แต่ที่เราไปเจออย่างแรกเลย คือเรารู้สึกว่ามันสิ้นเปลือง อันนี้วิธีการเรียนที่คณะ ก็คือว่าคุณไปจ้างตัดชุดมา คอนเซ็ปต์ที่คุณออกแบบแล้วคุณก็มาส่ง แล้วบางทีชุดนึงมันก็เกือบหมื่น เราก็รู้สึกมันไม่เมคเซ้นส์เลยเพราะว่ามันส่งปุ๊บ เสร็จมันก็ใส่ไม่ได้ จริงเราก็ไม่รู้จะไปทําอะไร แต่ตอนนั้นที่เราอิน คือเราอินกับการวางแผนกับการทํางานทั้งหมดให้มันจบ ไม่ว่าจะไปสําเพ็ง มีค่าตุ๊กตุ๊กเท่าไหร่ ซื้อผ้าร้านนี้ 4-5 ร้านแล้วมันจะต้องขนไปออกตรงไหน คือกลายเป็นว่าเราไปอินกับตรงนั้นแทน ซึ่งมันก็คือรากฐานธุรกิจที่บ้านนั่นแหละที่เราซึมซับมาโดยที่เราไม่รู้ตัว เราก็มานั่งคํานวณเงินมา แม่งแพงว่ะ ทํายังไงให้มันถูกลง ก็เลยเรียนแฟชั่นไปโดยที่รู้ว่าควรจะเรียนบริหารธุรกิจ
The People : กว่าจะค้นหาตัวเองเจอว่าอยากจะเติบโตมาเป็นคุณอย่างในปัจจุบัน คุณใช้เวลาในการค้นหาตัวเองนานไหม
ภัทราภรณ์ : มันก็ตอบยากนะ ตัวตนเหรอ รู้สึกว่ามามีความมั่นใจจริง ๆ ตอนอายุ 30 เพราะก่อนหน้านั้นเรารู้สึกว่าเราพยายามหาว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นคนยังไง อย่างตอนเราวัยรุ่น เราก็จะมีความหัวแข็งว่าฉันเป็นของฉันอย่างนี้แหละ วัยรุ่นทุกคนมันเป็น แต่พอมันไปเรื่อย ๆ มันก็จะมีเหตุการณ์ เช่น เราไปดูหนัง บางทีเราอ่านหนังสือ แล้วเรารู้สึกกับสิ่งนั้นไม่ตรงกับสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็น ก็จะแบบเฮ้ย จริงๆ เราไม่ใช่คนแบบนั้นเหรอวะ แล้วมันก็เลยเปิดหน้าใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่าสิ่งที่เราคิดว่าเราเป็นคนแบบนั้นน่ะ จริง ๆ เราไม่ได้เป็นแต่เราอยากเป็น แล้วมันก็เป็นอย่างงี้มาเรื่อย ๆ จนเนอสคิดว่าตอนช่วง 30 มัน stable (มั่นคง) มากขึ้นในเรื่องนี้ แต่ว่าพอเราเข้ามาการเมือง เราก็ยังเจออีกว่า เราก็ยังเรียนรู้ตัวเองได้มากขึ้นไปอีก
The People : ความสนใจเรื่องการเมืองของคุณเริ่มขึ้นตอนไหน
ภัทราภรณ์ : ตอนแรกที่เราเรียนจบ แล้วเรากลับมาไทย มันหดหู่มาก พอเราไปอยู่เมลเบิร์นน่ะ มันเป็น Walkable City (เมืองเดินได้) แล้วเราเดินแบบเดิน 40 นาที 45 นาที ไปกลับได้โดยที่เราไม่รู้สึกว่ามันเหนื่อย แต่พอเรากลับมา คือมันก็เป็นสิ่งที่เราเคยเจออยู่ก่อนเราด้วยนะ แต่พอกลับมาปุ๊บแล้วเรารู้สึกว่าแบบ เฮ้ย เดินบนฟุตบาทมันหาย เราต้องลงไปเดินบนถนน แล้วจะไม่เดินก็ไม่ได้อีก โห ถ้าตายนี่คือตายเลยนะ ที่มีชีวิตอยู่มา นี่คือตายง่าย ๆ อย่างนี้เลยเหรอวะ หลายอย่างที่เรากลับมาเจอสภาพเดิม มันทําให้เราหดหู่ ซึ่งอันนี้ก็รู้สึกแย่มากว่าแบบหรือนี่มันเป็นความตอแหลหรือเปล่าวะ เราไปเรียนเมืองนอกแล้วเรากลับมา ก็กลายเป็นว่าเราไปเสิร์ช Google มันก็มีด้วยเขาเรียกว่า Reverse Culture Shock มันก็คือคนที่อยู่ประเทศโลกที่ 3 แล้วคุณไปอยู่ประเทศโลกที่ 1 มาแล้วคุณกลับมาบ้านตัวเอง คือคุณกลับมา Culture Shock บ้านตัวเอง ว่าแบบโหที่ผ่านมาอยู่กันมาอย่างงี้เหรอ ซึ่งเนอสว่าหลายอย่างที่เจอ มันสามารถทําให้ดีกว่านี้ได้
คือเนอสว่ามันเป็นชีวิตที่ต้องเลือก แล้วก็ถ้าเราอยู่นี่แล้วเราทําอะไรได้ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ อันนี้ก็เคยพูดกับเพื่อนเราทําอะไรได้ไหมที่จะเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตลูกของเพื่อนเรา มันดีกว่านี้ คือเราไม่มีลูกหรอก แต่ว่าเพื่อนอะมี ซึ่งเรารู้สึกว่าเรามีศักยภาพที่ทําได้ ถ้างั้นก็ควรจะทําไหม คือเราก็ไม่ควรที่จะเอาตัวรอดไปคนเดียวไหม เพราะว่าพ่อแม่เราเองก็อยู่ที่นี่ถ้าอากาศแย่ก็เขาก็อยู่ เพราะว่าคนคนสูงอายุเขาจะติดบ้านใช่ไหม เขาจะติดที่ติดอะไรที่เขาคุ้นเคย คือไม่ไปชัวร์ ๆ
The People : ที่คุณยังอยู่ไม่ไปใช้ชีวิตต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่สามารถทำได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเป็นพี่คนโตด้วยไหม
ภัทราภรณ์ : มันก็มีความเป็น people pleaser ประมาณนึง ตอนเราเป็นเด็ก จนมาถึงตอนนี้ ซึ่งตอนนั้นมันก็จะเป็นแค่ในวงเล็ก ๆ เป็นวงส่วนตัวกับเพื่อนกับครอบครัว แต่พอมาเป็น สก. พอเรารู้สึกว่าเราทําอะไรให้คนอื่นในสเกลที่ใหญ่กว่านั้นได้ ก็กลายเป็นว่าเราต้องมาดูแลคนที่อยู่ในเขตเรา 120,000 คน ซึ่งทําได้ดีมั้ย สำหรับเนอสและทีมงาน เราก็รู้สึกว่าจากฟีดแบคที่เราได้รับมันก็ค่อนข้างดี แต่มันก็แลกมาด้วยสุขภาพจิตและสุขภาพกายของเนิร์ดและทีมงาน ซึ่งก็พยายามหาบาลานซ์อยู่
The People : ก่อนจะลงเล่นการเมือง คุณปรึกษาคุณพ่อก่อนไหม
ภัทราภรณ์ : เราเป็นการปรึกษาแนวแจ้งให้ทราบ (หัวเราะ) ตอนแรกเราเข้าไปเป็นอาสาสมัครพรรคก่อน แล้วก็มาเรื่อย ๆ แรกสุดเลยคือเราไปสัมภาษณ์เพื่อที่จะเป็น สส. แต่ตอนนั้นเราไม่รู้หรอก สส. ทําอะไร เราแค่รู้สึกว่าเราอยากทําอะไรสักอย่างในการเมือง อยากจะเข้าไปอยู่ตรงจุดที่มันมีอํานาจ ปรากฏว่าสัมภาษณ์ไปเรื่อย ๆ เขาก็ถามประเด็นกฎหมายที่คุณอยากแก้คืออะไร ไม่มี คือแค่อยากซ่อมหลุมตรงหน้าหมู่บ้าน ไม่เข้าใจทําไมหลุมซ่อมไม่ได้ อยากรู้มากว่ายากตรงไหน
หลังสัมภาษณ์เสร็จ เราก็เลยบอกเขาไปว่า จริง ๆ ไม่ได้อยากเป็น สส. นะพี่ แต่ว่าพี่มีอะไรให้ช่วย พี่ก็บอกละกัน อยากช่วย หลังจากนั้น ก็เลยมาเป็นอาสาสมัครในพรรค พอมาถึงจุดหนึ่งเขาก็มาถามว่า คนลง สก. เขตบางซื่อไม่มีเลย หาให้หน่อยได้ไหม มันไม่มี คือเหมือนเป็นเขตอิทธิพลอยู่เหมือนกัน ที่คนสมัครไปก็แพ้ จนสุดท้าย เขาก็หาข้อมูล เจอว่าพ่อเราเคยเป็น สก.เขาก็บอกว่าถ้างั้นคุณมาลงไหม ก็เลยกลับไปคุยกับพ่อว่าถ้าลงจะชนะไหม เขาก็บอกว่า มันก็มีโอกาสชนะอยู่ ก็ทำได้นะ เราเลยคุยกันกับพรรคว่าตกลงโอเค แล้วก็แจ้งให้พ่อทราบว่าลงนะกับพรรคนี้ พ่อก็ว่า อ้าว แล้วพรรคอื่นที่เขามาชวนไม่ไปเหรอ เราก็อ๋อตัดสินใจละเอานี่แหละ
เพราะพรรคฝ่ายประชาธิปไตยมันก็มีอยู่แค่ 2 พรรค แล้วจริง ๆ เราก็เป็นคนหนึ่งที่เชียร์ไทยรักไทยมาจนถึงเพื่อไทย แต่จุดที่เรารู้สึกว่าถ้าเราเข้าไปพรรคนี้แล้วเราไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงอะไรได้ ด้วยโครงสร้างพรรค ก็คือตอนที่เพื่อไทยเขามีการรีแบรนด์ ตอนแรกเขาจะมีสีน้ําเงินด้วย แล้วเขามีรีแบรนด์เหลือแค่สีแดง แล้วเขาก็ประกาศว่าจะแก้ 112 ตอนนั้นแล้วเราก็รู้สึกว่า โห ใจฟูมาก ตอนนั้นสุดยอดมากคือมาละ มาละ หลังจากนั้นรู้สึกจะผ่านไปแค่วัน 2 วัน คุณทักษิณก็ออกมาโพสต์ว่าจะไม่มีการแก้แล้ว โพสต์ไปอีกแนวนึงเลย ซึ่งพรรคเพื่อไทยก็ไปตามนั้น เราก็เลยรู้สึกว่ามันไม่มีทางที่พรรคเพื่อไทยจะหลุดจากคุณทักษิณ ก็เลยคิดว่าเหลือช้อยส์เดียว
ภัทราภรณ์ : ถ้าคนในพื้นที่เนอสคิดว่าหลายอย่างมันถูกละเลยทางด้านกายภาพก็เข้ามาทําตรงนั้น แล้วก็เรื่องน้ําท่วม เราก็ถือว่าเป็นวาระที่ใหญ่มาก เพราะว่าท่วมมา 30 กว่าปี มันก็จะมีที่ว่าเขื่อนรั่วที่ชาวบ้านรู้กันหมดว่าเขื่อนรั่ว แต่ไม่มีการซ่อม ดิฉันก็งงมากก็อยู่กันมา ก็งง ถ้างั้นก็ซ่อมดิ ทยอยซ่อมไป จนเดี๋ยวสุดท้ายก็จะได้งบประมาณปี 69 อันนี้คือเบสิคที่ประชาชนเขาคาดหวังกับเรา แต่พอเราทํางานไปเรื่อย ๆ ความคาดหวังเราต่อตัวเองมันก็สูงขึ้น พอประชาชนเขาเห็นว่าคุณทําได้ขนาดนี้ แล้วก็ด้วยความเป็นพรรคนี้มันควรจะได้มากกว่านี้ มันก็มีความคาดหวังในเรื่องแบบการปราบการทุจริต มีเรื่องสเกลที่มันใหญ่ขึ้น
เอาตรง ๆ ไม่ได้คิดว่าจะแก้ปัญหาอะไรใหญ่เลย เข้ามาด้วยความหงุดหงิดว่าแบบซ่อมยากซ่อมเย็นจังวะ เปลี่ยนหลอดไฟมันยากยังไงวะ อยากรู้มากเลยว่าอะไรที่ทําให้มันยาก หรือว่าคุณแค่ขี้เกียจ คับแค้นหงุดหงิด แล้วก็พอเข้ามาเราก็เลยพยายามจะเคลียร์พวกนี้ให้หมด แต่พอเรามาเจอเนี่ยเรารู้สึกว่า การที่จะทําให้ชีวิตคนดีขึ้นในด้านกายภาพอะ มันก็ไปโดนปัญหาอื่น ๆ ที่มันใหญ่กว่า เช่นเรื่องการทุจริตที่มันทําให้สิ่งที่เขาควรจะได้รับที่คุณภาพดีกว่านี้ คือได้แค่นี้ได้ไงวะกะเงินก้อนนี้ หรือแม้แต่ที่บอกว่างบประมาณไม่พอ นู่นนี่นั่นมันก็มาจากการทุจริต มันก็เลยเหมือนกับดันให้เราต้องไปทําเรื่องที่ใหญ่ขึ้นโดยอัตโนมัติ เพื่อที่จะมาตอบสนองสิ่งที่เราอยากจะทําตั้งแต่แรก
The People : พอคุณเข้ามาทําเอง อย่างการซ่อมเขื่อน มันยากไหม
ภัทราภรณ์ : มันก็ยากนะแต่มันไม่ได้ยากเท่าที่เราคิดไว้ คือมันงมโข่งประมาณนึง เพราะว่าไม่มีคู่มือการเป็นนักการเมืองต้องทํางานยังไง แต่มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เราก็เลยคิดว่ามันอาจจะเป็นความไม่ใส่ใจ โฟกัสกันคนละจุดมากกว่า หรือว่าถ้าลงให้ลึกไปกว่านั้น มันก็มีปีแรกที่เราเข้ามา เราเข้ามาช่วงมิถุนายน แล้วน้ําจะท่วมประมาณพฤศจิกายน แล้วตอนนั้นก็คือทําอะไรไม่ได้แน่นอน ก็คือท่วม มันจะท่วมก็ต้องท่วมใช่ป่ะ เราก็เลยไม่รู้จะทํายังไงก็แบ๊วอยู่ เลยคุยกับทางสํานักงานเขต เขาก็บอกมีถุงทรายเต็มเลย ท่าน สก. มาขนไปได้เลยนะ ชาวบ้านเขาอยากได้ แต่ว่าเราไม่มีกําลังพอ
เราก็เลยเอารถแห่เราไปขน แล้วก็ทีมงานก็ช่วยกันขนไปไปลงให้ชาวบ้าน โห ชาวบ้านออกมากันเต็มเลย แล้วก็มารับกันแบบขอบคุณมาก ซึ้งใจสุด ๆ แล้วมีหน้าเราอยู่ที่รถ คือเราเลยรู้สึกว่า เฮ้ย ไอ้การที่คุณไม่ซ่อมน้ําท่วม เพราะนี่แม่งเป็นการหาเสียงที่แม่งดีที่สุดเลยปะวะ คือคุณเป็นฮีโร่ในตอนที่เขาลําบาก แล้วคุณทําแม่งได้ทุกปี แม่งเป็นอีเว้นท์น่ะ คุณจะซ่อมทําไมวะ อันนี้เราก็เลยไม่รู้ว่ามันจริงไม่จริงยังไง แต่พอเราซ่อมเขื่อนปุ๊บ เราไม่ต้องเข้าไปที่ซอยนี้เลย คุณเข้าใจป่ะ แล้วเขาก็คงลืมเราไปแล้ว มันก็คือสิ่งที่แลกมา คุณเลือกว่าคุณจะเป็นนักการเมืองแบบไหน คุณจะเข้ามาชนะเลือกตั้ง เพื่ออยู่ในอํานาจเฉย ๆ หรือเปล่า หรือคุณต้องการมาทําให้ชีวิตคนเขาดีขึ้นจริง ๆ แต่คุณไม่ได้หน้านะ แต่ชีวิตเขาดี ก็ต้องเลือกยืน
The People : คำถามสำคัญ สก. คือใครในสมการการเมือง
ภัทราภรณ์ : โอเค ย้อนหลังเนอะ (หัวเราะ) เอาที่คนอื่นมองก่อน ภาพใหญ่เขามองมาเขาก็จะชอบมองว่า สก. เป็นฐานให้ สส. แล้วเราต้องได้ สก. เพื่อที่เราจะได้ สส. ซึ่งเนอสไม่เห็นด้วยเลย เอาเรียล ๆ เลยนะ ต่อให้คุณได้ สก. มามันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเลือก สส. ที่ห่วยแตกเข้ามาที่เป็นพรรคเดียวกันถูกป่ะ แล้วเราก็รู้สึกว่ามันคือการที่ทําให้หน้าที่ สก. นี่มันดูไม่มีอะไรเลย มันต้องไปชนะเลือกตั้ง เพื่อที่จะเป็นบันไดให้เขา แต่เนอสมองว่า สก. มันคือนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งมันมีความใกล้ชิดกับชาวบ้านมาก ๆ คุณเดินไปตรงไหนเขาบอกตรงนี้ไม่ได้ลอกเข้ามานานแล้ว คุณประสานลอกได้เลย คือคุณเหมือนนักมายากล คุณเสกได้เลย ตรงนี้ไฟไม่ติดเหรอ ไม่เป็นไรประสานให้ เดี๋ยวติด คือมันแก้ได้แบบปึ๊บปึ๊บปึ๊บ แล้วอย่างเรื่องใหญ่ ๆ อย่างที่เนอสบอกว่าซ่อมเขื่อน มันเป็นการแก้ปัญหาที่มันเห็นในช่วงชีวิตนี้ ซึ่งเนอสคิดว่ามันต่างกับการเมืองใหญ่ของ สส.
เนอสก็ยังมองว่า สส. มันคือการแก้กฎหมาย ซึ่งบางทีต้องใช้เวลามาก อย่างดูสุราก้าวหน้า ถ้าเราเจอป้าคนนึง อันนี้ก็เจอจริงก็คือเจอป้าคนนึงในชุมชน คือความเป็นอยู่เขาแย่มาก จนแบบคุณจะไปแก้ให้เศรษฐกิจมันดี เพื่อให้ชีวิตเขาดีเหรอ แต่เขาตายก่อนนะ เราก็เลยรู้สึกว่าการเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ถ้าเขาซัฟเฟอร์กับการที่บ้านเขาน้ําท่วม เราแก้ให้เขาได้เลยไง ในช่วงชีวิตนี้เขาเห็นเลยไงแล้วสิ่งนี้มันคืออะไร สิ่งนี้มันคือประชาธิปไตยที่จับต้องได้และกินได้ของจริง มันอยู่ที่นักการเมืองท้องถิ่นเขาเลือกเราเข้ามาปุ๊บ บ้านเขาหายน้ําท่วม เขาเลือกเราเข้ามาปุ๊บ ถนนไฟติด อันนี้แหละคือสิ่งที่ทําให้เขาเห็นคุณค่าของประชาธิปไตยจริง ๆ เนอสคิดว่าบทบาทของ สก. ของมันคืออย่างงี้
แล้วจริง ๆ สก. อํานาจมันไปไกลมาก ตอนเนอสเข้ามา เราก็ไม่ได้คิดว่าอํานาจเราเยอะมากขนาดนี้ ทั้งเรื่องข้อบัญญัติด้วยที่มันสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ อย่างที่ผ่านไปล่าสุดมันก็จะมีเรื่องค่าขยะ ข้อบัญญัติที่เป็นเรื่องหมาแมว ที่ว่าจะต้องไปฝังชิบมันก็เปลี่ยนสังคมได้จริง ๆ หรือแม้แต่เรื่องพิจารณางบประมาณแผ่นดินไหว มันก็ส่งผลได้จริง ๆ กับชีวิตคนคือไอ้ตัวที่มันถูกปัดตกไปเนาะ มันจะเป็นเครื่องประเมินวัดความสั่นสะเทือน ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเตือน แต่มันเป็นตัวที่จะบอกว่าตึกนี้ยังแข็งแรงพอไหม คือมันจะไม่ถล่มใช่ไหม ถ้างั้นคุณอาจจะยังไม่ต้องอพยพลงมานะ
เมื่อตัวโครงการมันเอาไปติดที่โรงพยาบาลแล้วเราก็จะเห็นของจริงเลยว่าเขาวิ่งกันลงมา คนที่นั่งรถเข็นเขาต้องหิ้วกันลงมา คนที่ติดเตียง ต้องเข็นกันลงมาแบบทุลักทุเลมากแต่ว่าถ้ามีตัวนี้ คนติดเตียง คนที่เขาเคลื่อนย้ายยาก เขาอาจจะไม่ต้องลงมา เพราะเวลาแผ่นดินไหวเกิดแค่ไม่กี่นาที แล้วมันก็หยุด คือถ้าคุณประเมินได้ว่าตรงนั้น ตึกมันยังแข็งแรงพออยู่ได้นะ คุณก็ไม่ต้องอพยพคนเหล่านี้ลงมาขนาดนี้ แม้แต่คนที่ผ่าตัดอยู่ เราก็เลยเห็นว่า เฮ้ย นี่มันอยู่ในอํานาจของเราด้วยเหรอ การพิจารณางบที่เราแบบนั่งกันเซ็ง ๆ ก็เลยรู้สึกว่าอํานาจ สก. มันเยอะมากจริง ๆ
The People : ไฟในการทำงานเคยมอดบ้างไหม
ภัทราภรณ์ : มันไม่ได้มอดหรอก เพราะเราทํางานด้วยความแค้นไง ใช่มันเป็นแบบนี้ พอมันยิ่งเจอมันก็ยิ่งเป็นไฟสูงว่า แบบว่าก็ต้องสู้ไหม มันเป็นอย่างนี้ คือถ้าไม่สู้ก็อยู่กันอย่างนี้ใช่ไหม เลยเป็นแรงขับให้เราไปเรื่อย ๆ
The People : มีนักการเมืองต้นแบบบ้างไหม
ภัทราภรณ์ : ถ้าเป็นต้นแบบก็มี 2 คน คนแรกก็คือพี่เอก-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แต่อย่างพี่เอกเนี่ยก็จะมองว่าเป็นเป้าหมายที่ไกลมาก ๆ คือเรารู้สึกว่า เขาเป็นคนมีวิสัยทัศน์มาก แล้วเขาสามารถมองภาพได้กว้างกว่าเราเยอะ ซึ่งอันนี้เราก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่เรายังต้องพัฒนาไปอีกมาก ๆ เลย แต่การที่จะไปให้ถึงจุดที่เขาอยู่เนี่ย มันห่างไกลมาก แต่โอเคแหละต๊ะไว้เป็นต้นแบบ
อีกคนหนึ่งที่เราชื่นชมเนี่ยก็คือพี่วิโรจน์ คือพี่วิโรจน์จะเป็นแนวเพื่อนร่วมรบ คือเราอยู่บนสนามรบด้วยกัน เรารู้ว่าเราต้องเจออะไร แล้วก็พี่วิโรจน์ก็มีความเป็นมนุษย์สูง ซึ่งตรงนี้เราก็แชร์กัน บางทีทํางานไปแล้วมันเบิร์นเอ้าท์ มันหดหู่ โห เจอมาแล้วไม่ไหวเลยว่ะ แล้วเราจัดการกับตัวเองยังไง แล้วเราไปยังไงต่อ หรือแล้วอย่างพี่วิโรจน์เองเนี่ยก็มองว่าแกเป็น สส. ปาร์ตี้ลิสต์ที่อยู่ระดับสุด ๆ ของการเป็น สส. ปาร์ตี้ลิสต์ เราก็เรียนรู้อะไรกับแกเยอะมาก หรือแม้แต่วิธีอ่านงบประมาณ เราก็รู้สึกว่าเรายังไม่เก่งขนาดนั้น ตอนนั้นก็ไปกับทีมงานก็ขนเอกสารไปเลย รถเข็นไปให้ที่ห้องแกที่สภา แล้วก็เปิดทีละหน้าเลยบอกพี่สอนหน่อยดิ รู้สึกแม่งไม่ไหวแล้วอ่ะ อ่านไม่รู้เรื่องเลยว่ะ ไม่เก่ง แกก็นั่งจิ้มไล่เลย ตรงนี้ดูตรงนี้ พอดูเสร็จเราก็เหมือนมันซับซ้อนมาก มันจะเล่ายังไงให้คนเขาเข้าใจ แกก็มีวิธีเล่าเรื่องที่แบบคุณเล่าอย่างนี้ดิให้มันสนุกให้ประชาชนเข้าใจ แล้วเอาเรื่องมันมาเรียงกัน ซึ่งเรารู้สึกมันเป็นสกิลที่แบบเก่งมากจริง ๆ แล้วเขาก็เป็นเป็นครูให้เราในหลายเรื่องมาก ๆ
The People : อันนี้ไม่แน่ใจถามได้หรือเปล่า มีนักการเมืองที่เคยเป็นต้นแบบ แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นต้นแบบคุณแล้วไหม
ภัทราภรณ์ : อย่าเลย อย่าเลย (หัวเราะ)
The People : เคยจินตนาการถึงการเมืองในอุดมคติบ้างไหม
ภัทราภรณ์ : มันยากนะการเมืองในอุดมคติ แต่ที่คิดคือการที่ประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าคุณจะเป็นพรรคอะไร จริง ๆ คือการเมืองที่เนอสคิดว่าจะเจอในในสภาท้องถิ่นก็คือเอาประชาชนเป็นที่ตั้ง
ซึ่งในสภาท้องถิ่น เรื่องมันแทบจะเถียงไม่ได้เลยอ่ะ เช่น เรื่องแผ่นดินไหว ก็ไม่น่าจะเถียงได้ เรื่องแก้ PM2.5 ไม่น่าจะเถียงกันได้ใช่ไหม เราเคยยื่นข้อบัญญัติพื้นที่สีเขียวเพื่อที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับ กทม. โดยที่บังคับไปเลยว่าถ้าคุณปลูกสร้างอาคารใหม่จะต้องมีพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่ได้ คือเรารู้สึกว่ามันคือการเมืองที่แบบไม่รู้ใช้คําว่าอะไร
แต่เราคาดหวังว่าเราจะเข้ามาเจอสิ่งที่มันเป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่านี้ เพราะเราไม่ใช่สภาใหญ่ ตรงนี้มันตรงไปตรงมามากเลย เรื่องอากาศ สิ่งแวดล้อม การสัญจร ก็นั่นแหละ ก็อยากให้สภากทม. มองเห็นประชาชนบ้าง
เหนื่อยค่ะ เหนื่อย ก็เหนื่อยกว่าทุกวัน จริง ๆ มันก็มีความคิดนะว่าชีวิตเราก่อนที่จะเข้ามาการเมืองมันมีความสุขมาก คือชีวิตก็ดีอยู่แล้ว แต่เราก็รู้สึกว่ามันก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ ถึงบางอย่างมันจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็เลยคิดว่ายังไงก็ควรต้องทําต่อนั่นแหละ แต่มันก็แลกมาด้วยความสุขของตัวเอง คือเราทําได้ แล้วเราก็ทําได้ดี แต่ว่าเรามีความสุขไหมก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าความสุขของเรามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ใช่ไหมล่ะ เมื่อเทียบกับเรื่องอื่น