‘เฉินหลง’ บาดเจ็บจนเกือบเสียชีวิตจากการแสดง จนถือเคล็ดไม่รับบทที่ต้องตายในเรื่อง

‘เฉินหลง’ บาดเจ็บจนเกือบเสียชีวิตจากการแสดง จนถือเคล็ดไม่รับบทที่ต้องตายในเรื่อง

‘เฉินหลง’ บาดเจ็บจนเกือบเสียชีวิตจากการแสดง จนถือเคล็ดไม่รับบทที่ต้องตายในเรื่อง

“แต่แจ็คกี้ได้ทำในสิ่งที่ไม่มีผู้เป็นตำนานแห่งภาพยนตร์คนใดเคยทำ ไม่มีศิลปิน นักแสดงผู้ยิ่งใหญ่คนใดเคยทำ เมื่อนำฉากหลุดเบื้องหลังการถ่ายทำมาใส่ในช่วงเอนด์เครดิต ในฉากหลุดของ จอห์น เวย์น หรือ บัสเตอร์ คีตัน จะไม่มีทางได้เห็นฉากข้อศอกแตกหรือเอ็นขาฉีกอย่างแน่นอน” นี่คือคำยกย่องของทอม แฮงค์ส ที่มีต่อเฉินหลง นักแสดงฮ่องกง ในงานพิธีมอบรางวัลออสการ์ สาขาเกียรติยศเมื่อปี 2016 มันคือคำยกย่องที่ให้เกียรติเทียบเคียงกับสตาร์ฮอลลีวูดในตำนานและเป็นการนิยาม ‘การแสดง’ ของเฉินหลงได้อย่างชัดเจน เป็นที่ทราบว่า ตลอดระยะเวลา 40-50 ปีที่เฉินหลงทำอาชีพด้านการแสดงภาพยนตร์แอ็กชัน เรียกได้ว่าเขาอุทิศกระดูกและเอ็นทุกส่วนในร่างกายให้กับการแสดงคิวบู๊ ที่เล่นเอง เจ็บเอง ไม่พึ่งสตันต์แมน บาดเจ็บนับไม่ถ้วน ถึงระดับเกือบตาย จนเขาถือเคล็ดไม่เล่นหนังที่ตัวละครที่เขาแสดงเสียชีวิตในเรื่อง และไม่เล่นหนังที่ต้องไว้ผมสั้น ดังที่จะเล่าต่อไปนี้ ตัวอย่างคิวบู๊ที่เขาใช้ร่างกายอย่างหนักหน่วงจนได้ซีนมหัศจรรย์ของโลกภาพยนตร์ก็อย่างเช่นในภาพยนตร์เรื่อง Project A (1983 - เอไกหว่า) ที่เขากระโดดลงจากหอนาฬิกาสูง 15 เมตร โดยอาศัยเพียงผ้าใบสองชั้นชะลอความแรง ในตอนทดลองเอาถุงทรายเท่าน้ำหนักตัวเฉินหลงโยนทดสอบฉากนี้ ถุงทรายตกกระแทกพื้นแตกกระจาย ทำให้เฉินหลงใช้เวลาอยู่เกือบสัปดาห์ในการตัดสินใจเล่นฉากนี้ ในครั้งแรก เขารู้สึกคอพับหนัก ๆ ครั้งหนึ่งตอนกระทบพื้น แต่เมื่อเขาดูหน้าจอ ฉากนี้ใช้เวลาเพียง 4 วินาที เฉินหลงรู้สึกว่าฉากนี้มีพลังไม่พอจึงขอเล่นใหม่เพื่อให้ฉากยืดไปถึง 10 วินาที ผ่านฉากเกือบตายมาอย่างหวุดหวิด แต่ยังอยากกลับไปถ่ายทำอีกครั้ง นับว่าเป็นนักแสดงที่เป็น perfectionist โดยแท้ แต่รอบสอง เมื่อตกถึงพื้นเขารู้สึกมึนงง จนนักแสดงร่วมในหนังอย่างหยวน เปียว เข้ามาดึงตัวขึ้นมาแล้วกระซิบข้างหูว่า “รีบยืนขึ้น รีบพูดไดอะล็อก ไม่อย่างนั้นจะตกมาฟรี!” ฉากนี้จึงถ่ายเสร็จสมบูรณ์ (ดูฉากนี้ได้ในคลิป https://youtu.be/6iI3SBEmk0A) หรืออีกฉากหนึ่ง ใน Police Story (1985 - วิ่งสู้ฟัด) ฉากคลาสสิกฉากหนึ่งที่เป็นภาพจำของเฉินหลงคือฉากต่อสู้ในห้าง ที่เขาต้องรูดเสากลางโถงใหญ่ที่ตกแต่งด้วยไฟคริสต์มาสก่อนตกทะลุกระจกน้ำตาลหนัก 600 ปอนด์ ลงมาบ้านไม้ที่บรรจุลูกกวาดหมื่นชิ้นเพื่อช่วยซับแรงกระแทก ฉากนี้มีความสูง 30 เมตร รังสรรค์ขึ้นมาด้วยฝีมือของเฉินหลงล้วน ๆ (ชมคลิปการแสดงฉากนี้ที่ลิงก์ https://youtu.be/6KxPgMcvcMI) ฉากนี้แม้จะผ่านไปได้ แต่ดาราหญิงที่ร่วมแสดงอย่าง หลินชิงเสียและจางม่านอวี้ ต้องร้องไห้ เพราะเห็นบาดแผลของเฉินหลงขณะแสดง ที่ฝ่ามือเต็มไปด้วยเศษแก้ว ผลจากการเล่นฉากนี้คือ สองมือได้รับบาดแผลไฟไหม้ระดับที่สอง เลือดเต็มหน้า เศษแก้วบาดทั่วตัว แต่ครั้งที่บาดเจ็บหนักที่สุดในชีวิต ที่ทำให้ขาข้างหนึ่งของเฉินหลงไปเหยียบอยู่บนฝั่งความตายตอนวัย 33 ปี นั่นคือการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Armour of God (1986 - ใหญ่สั่งมาเกิด) ที่ประเทศยูโกสลาเวียในยุคนั้น (ปัจจุบันไม่มีแล้ว) ในตอนนั้น เฉินหลงลองปรับสไตล์ด้วยการตัดผมสั้นเล่นหนังเรื่องนี้ และเป็นช่วงเวลาที่สไตล์ภาพยนตร์ของเฉินหลงเริ่มเดินทางไปใช้โลเคชันทั่วโลก ในครั้งนั้นทีมงานเฉินหลงเลือกเดินทางไปถ่ายทำที่ยุโรปตะวันออก - ประเทศยูโกสลาเวีย ในฉากไล่ล่าที่เฉินหลงต้องกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วคว้าจับกิ่งไม้ กิ่งไม้หักจึงเกิดอุบัติเหตุ เขาตกจากต้นไม้ศีรษะกระแทกพื้น เขารู้สึกเจ็บหลังล่าง และเลือดไหลออกจากหู จึงต้องยกเลิกกองถ่ายและพาเฉินหลงไปที่โรงพยาบาล ในตอนนั้น ทางคุณหมอให้ความเห็นว่าควรผ่าตัดสมองทันที แต่เพราะที่นี่ไม่ได้มีมาตรฐานทางการแพทย์ที่สูงขนาดนั้น ทางต้นสังกัดของเขาอย่างโกลเดนฮาร์เวสต์จึงติดต่อไปที่แพทย์ศัลยกรรมสมองมือดีระดับโลกชาวสวิสมาช่วยผ่าตัดให้ แต่ว่า...นายแพทย์ผู้นี้กำลังเดินสายบรรยายรอบโลก จนในที่สุด อาการบาดเจ็บที่ก้ำกึ่งระหว่างเป็นตายนี้รอไม่ได้ เฉินหลงจึงได้รับการผ่าตัดในที่สุด และเขาก็รอดพ้นขีดอันตรายมาได้ นั่นเพราะว่าแพทย์ชาวสวิสที่ถูกกล่าวถึงนี้ ...เดินทางมาบรรยายที่ยูโกสลาเวียพอดี แม้ว่าจะรอดตายอย่างหวุดหวิด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น หลังผ่าตัด 7 วัน กองถ่ายพยายามจะใช้วิธีการถ่ายใบหน้าเฉินหลงเพียงครึ่งซีก แต่ไม่เวิร์ก ถ้าจะให้รอ 3-4 เดือนเพื่อให้ผมกลับมายาว ทีมงานถ่ายหนังร้อยกว่าคนคงรอไม่ไหว จึงขอพักกองถ่ายหนังเรื่องนี้ไปหนึ่งปี ศีรษะของเฉินหลงส่วนที่บาดเจ็บยังเป็นหลุม และมีปัญหาการได้ยินจนถึงทุกวันนี้ และหลังจากนั้นมา เลนเนิร์ด โฮ พ่อเลี้ยงของเฉินหลง เจ้าของโกลเดนฮาร์เวสต์ ไม่อนุญาตให้เฉินหลงตัดผมสั้น และออกกฎห้ามเล่นหนังบทที่ต้องตาย เฉินหลงยึดคำสั่งนี้เป็นการถือเคล็ดมาอย่างยาวนาน จนกระทั่งมันถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแปลง  ภาพยนตร์ของเขาที่ออกฉายในปี 2009 อย่าง Shinjuku Incident (ใหญ่แค้นเดือด) หรือในปี 2010 อย่าง Little Big Sodier (ใหญ่พลิกแผ่นดินฟัด) เขาหันมาเล่นบทตัวละครที่ตายในเรื่อง และปี 2013 เขารับบทใน Police Story 2013 (วิ่งสู้ฟัด 2013) เขาก็กลับมาตัดผมสั้นเกรียนเป็นครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์ร้ายที่ยูโกสลาเวีย   ที่มา: หนังสือ ‘เฉินหลง: Never Grow Up’ (ผู้เขียน: จูม่อ, ผู้แปล: อนุรักษ์ กิจไพบูลย์ทวี, สำนักพิมพ์: สยามอินเตอร์บุ๊ค)