24 พ.ค. 2562 | 17:43 น.
และด้วยการรณรงค์อย่างแข็งขันของโอลิเวอร์ ทำให้เขาได้รับการเชิดชูให้เป็น “แชมเปียน” ที่ต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ รวมไปถึงองค์กรที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมอีกหลายแห่ง เขายังมีส่วนช่วยสร้างสรรค์สังคมด้วยการให้โอกาสกับคนรุ่นใหม่ที่เคยก้าวผิดพลาด โดยได้ตั้งมูลนิธิ Fifteen Foundation ขึ้นมาในปี 2002 มีเป้าหมายเพื่อให้ทุนสนับสนุนคนรุ่นใหม่ผู้ด้อยโอกาส รวมถึงคนที่เคยมีประวัติอาชญากรรม หรือประวัติการใช้ยาเสพติดให้เข้ามาฝึกทำงานในครัวปีละ 15 คน และรับเข้าทำงานในร้าน Fifteen ของเขาในกรุงลอนดอน ก่อนมีการขยายโครงการออกไปที่คอร์นวอล และอีกหลายเมืองในหลายประเทศ (The New York Times) เมื่อชื่อเสียงโด่งดังขึ้น อาณาจักรธุรกิจของเขาก็ขยายตัวตาม โดยในช่วงรุ่งเรือง Jamie's Italian ร้านอาหารอิตาเลียนที่เปิดในย่านธุรกิจของอังกฤษของเขามีมากถึง 42 สาขา ไม่รวมสาขาในต่างประเทศ ซึ่งเขาเคยกล่าวถึงการเปิดร้านเครือข่ายนี้เอาไว้ว่า "เราเปิด Jamie's Italian ในปี 2008 ด้วยเจตนาที่จะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกกับตลาดร้านอาหารระดับกลางในย่านการค้าของสหราชอาณาจักร ด้วยราคาที่แสนคุ้มค่าและวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงกว่ามาก ใช้เนื้อสัตว์ที่มีมาตรฐานการเลี้ยงดูดีที่สุดในคลาส และยังประกอบด้วยทีมงานคุณภาพที่มีแรงผลักดันเพื่ออาหารและการบริการที่ดีที่สุด ซึ่งผมและเราก็ทำได้ตาม[ความตั้งใจ]นั้น" (The Conversation) แต่การเร่งขยายสาขาอย่างรวดเร็วในช่วงที่เฟื่องฟูกลายเป็นการตัดสินใจที่ผิด เพราะมันไม่ใช่การเติบโตที่ยั่งยืน ร้านของเขาต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากเครือข่ายร้านอาหารที่มุ่งเป้าจับลูกค้ากลุ่มเดียวกัน ภาวะความสับสนอันเป็นผลกระทบจาก Brexit (การแยกตัวของอังกฤษจากสหภาพยุโรป) ทำให้ผู้บริโภคลดการจับจ่ายใช้สอยลงมาก และพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป เมื่อคนรุ่นใหม่นิยมใช้บริการอาหารส่งถึงบ้านมากขึ้น ก็ทำให้รายได้จากธุรกิจร้านอาหารของเขาลดลงอย่างรวดเร็ว รายได้จากร้านอาหารของเขาเริ่มชะลอตัวในปี 2013 เมื่อมีรายได้รวมลดลง 7% แต่ตัวเลขกำไรของเขาตกลงมากถึง 37% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่เขาก็ยังพยายามหานักลงทุนมาช่วยขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ (The New York Times) สัญญาณวิกฤตเริ่มเห็นชัดขึ้นในปี 2017 หลังการประชามติ Brexit ได้ไม่นาน เมื่อเขาต้องปิดร้านสาขาของ Jamie’s Italian ไป 6 ร้าน และมีตัวเลขขาดทุนรวมในปีนั้นราว 30 ล้านปอนด์ ปี 2018 สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น โอลิเวอร์กล่าวว่าเขามีเวลาตัดสินใจเพียงสองชั่วโมงว่าจะหาเงินมาอุดหนุนเพื่อให้บริษัทรอดจากภาวะล้มละลายไปได้หรือไม่ ซึ่งเขาตัดสินใจใช้เงินส่วนตัวจำนวน 13 ล้านปอนด์ ช่วยพยุงกิจการไปได้อีกระยะหนึ่ง ประกอบกับเงินกู้จากธนาครอีก 37 ล้านปอนด์ (The Guardian) และไม่รู้ว่าเพราะความบีบคั้นทางธุรกิจหรือไม่ โอลิเวอร์ทำให้แฟน ๆ ที่ตามผลงานของเขาต้องผิดหวัง เมื่อเขาหันไปจับมือกับ “เชลล์” ยักษ์ใหญ่ธุรกิจน้ำมันแลกกับผลตอบแทน 5 ล้านปอนด์ แม้ว่าเขาจะรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมมายาวนานก็ตาม (Metro) ถึงต้นปี 2019 โอลิเวอร์อัดฉีดเงินเข้าบริษัทอีก 4 ล้านปอนด์ เพื่อช่วยต่อลมหายใจให้กับธุรกิจ พร้อมกับเร่งหาผู้สนใจเซ้งต่อกิจการแต่ก็ไม่สำเร็จ ทำให้ต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมจัดการทรัพย์สิน (into administration-กระบวนการตรวจสอบบริษัทที่ตกอยู่ในภาวะหนี้สินล้นพ้นตัวจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก) ผลที่ตามมาคือการปิดร้านอาหารในอังกฤษไป 22 ร้านจาก 25 ร้าน เหลือเพียง Jamie Oliver's Diner ที่สนามบินแกตวิก, Barbecoa และ Fifteen ในกรุงลอนดอน ทำให้ลูกจ้างนับพันรายต้องตกงาน (ส่วนร้านเฟรนไชส์อย่าง Fifteen สาขาคอร์นวอล รวมไปถึง Jamie’s Italian ในต่างประเทศ ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด - The Guardian) จบเส้นทางธุรกิจอาหารที่เขาพยายามชูเรื่องความยั่งยืนลงในระยะเวลาเพียงทศวรรษกว่า ๆ เท่านั้น "ผมรู้สึกสูญเสียเป็นที่สุด เมื่อร้านอาหารในสหราชอาณาจักรอันเป็นที่รักของเราต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมจัดการทรัพย์สิน ผมเสียใจอย่างสุดซึ้งกับผลที่ตามมา และอยากจะขอขอบคุณทุกคนที่ทุ่มเทหัวใจและวิญญาณให้กับธุรกิจนี้ตลอดปีที่ผ่านมา" โอลิเวอร์ทวีตข้อความเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2019Guys, if we don't act on #ClimateChange, none of the #GlobalGoals can happen. This is everyone's problem #COP1 pic.twitter.com/diXsqAbyek
— Jamie Oliver (@jamieoliver) December 10, 2015
I’m devastated that our much-loved UK restaurants have gone into administration. I am deeply saddened by this outcome and would like to thank all of the people who have put their hearts and souls into this business over the years. Jamie Oliver
— Jamie Oliver (@jamieoliver) May 21, 2019