โจและโบ ไบเดน: ความรักและความตายของลูกชายผู้เป็นที่รัก ส่งต่อความฝันทางการเมืองสู่เส้นทางประธานาธิบดี

โจและโบ ไบเดน: ความรักและความตายของลูกชายผู้เป็นที่รัก ส่งต่อความฝันทางการเมืองสู่เส้นทางประธานาธิบดี
ในทุกครั้งที่มีพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ภาพที่เห็นจนกลายเป็นประเพณีไปแล้วคือภาพของมิสเตอร์เพรสซิเดนท์พาครอบครัวมาร่วมพิธีแห่งรัฐที่สำคัญนี้ด้วย วันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 2021 คือวันแห่งความทรงจำของโจ ไบเดน เขาคือ ‘ผู้ชนะ’ ในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และเข้าร่วมพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันนั้น วันนั้น คนในตระกูล ‘เดอะ ไบเดน’ มาร่วมงานนี้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งจิลล์ ภรรยาคนที่สอง ผู้เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก ฮันเตอร์และแอชลีย์ ลูกคนที่ 2 และ 3 ของทั้งคู่ และบรรดาหลาน ๆ ของประธานาธิบดีวัย 78 ปีก็มาร่วมงานนี้อย่างพร้อมเพรียง แต่หากโจ ไบเดน เลือกได้ แน่นอนว่าเขาคงอยากให้คนอีกคนหนึ่งมาร่วมงานนี้ด้วยอย่างถึงที่สุด  คนคนนั้นคือ โบ ไบเดน (‘Beau’ Biden) ลูกชายคนโตของโจ ไบเดน ผู้เสียชีวิตด้วยมะเร็งสมองเมื่อปี 2015 ความตายของลูกชายผู้เป็นที่รัก เป็นพลังให้โจ ไบเดน สานต่อความฝันในการทำงานทางการเมือง จนเดินทางมาถึงวันนี้
“พ่อต้องสัญญากับผมนะครับว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อจะไม่เป็นอะไร ให้สัญญากับผมนะครับพ่อ พ่อจะไม่เป็นอะไร”
ในหนังสือ ‘Promise Me, Dad: A Year of Hope, Hardship, and Purpose’ หรือฉบับแปลเป็นไทยใช้ชื่อว่า ‘สัญญากับผมนะครับพ่อ’ (สำนักพิมพ์ Arrow) เป็นหนังสือที่เป็นบทบันทึกของโจ ไบเดน ในช่วงปี 2014 - 2015  บทบันทึกฉบับนี้ของเขา เป็นการเล่าเรื่องสลับช่วงเวลาที่ท้าทายในชีวิตที่ต้องแบก ‘โลกสองใบ’ ไว้พร้อมกัน นั่นคือ โลกของชีวิตทางการเมืองที่เขาทำงานเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในสมัยบารัก โอบามาเป็นประธานาธิบดี ในเทอมสอง กับโลกอีกใบ คือโลก ‘พ็อพ’ คือชื่อเรียกที่เด็ก ๆ (หลาน) เรียกคุณปู่ที่แสนใจดีผู้นี้ นี่คือโลกที่เขาเป็นแฟมิลีแมน ผู้นำของตระกูลไบเดน ที่มีสายใยในครอบครัวที่แน่นแฟ้นมาก ๆ ตั้งแต่ปี 1975 ช่วงวันขอบคุณพระเจ้า ปลายปีของทุกปี ครอบครัวไบเดนจะเดินทางไปตากอากาศที่เกาะแนนทัคเก็ต ซึ่งกลายเป็นทั้งประเพณีและสัญญาทางใจของครอบครัวนี้ที่จะเดินทางร่วมกันในช่วงเวลาที่สำคัญของสังคมอเมริกัน พวกเขาไปที่นั่นทุกปีมากกว่า 30 ปี ตั้งแต่สมัยโจ ไบเดน เป็นวุฒิสมาชิก คำว่าครอบครัวในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแต่โจและจิลล์ แต่มันหมายถึงลูก ๆ ทั้งสามคน โบ ฮันเตอร์ และแอชลีย์ สามี-ภรรยาของพวกเขา รวมทั้งหลาน ๆ ซึ่งนับรวมกันสิบกว่าชีวิตที่เดินทางร่วมกัน แต่ทริปของปี 2014 ไม่เหมือนเดิม เมื่อโบ ลูกชายคนโตของ ‘เดอะ ไบเดน’ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งสมองเมื่อหลายเดือนก่อน การรักษานั้นทำให้เขาไม่แข็งแรงเหมือนที่เคย นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวในบันทึกฉบับนี้ของโจ ไบเดน โบ ไบเดน ชายหนุ่มวัย 46 ปี คือนักการเมืองดาวรุ่งพุ่งแรงฝั่งเดโมแครตซึ่งเป็นอัยการสูงสุดแห่งรัฐเดลาแวร์ ชายผู้ที่อดีตเคยเป็นทหารในดินแดนตะวันออกกลาง คือมรดกทางการเมืองของโจ ไบเดน ผู้ถูกหมายมั่นปั้นมือว่าจะสานต่อแผนงานการเมืองอันยิ่งใหญ่ของโจ ไบเดน หลายคนบอกว่าในอนาคต โบอาจจะไปไกลถึงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ (ในขณะนั้น) โจ ไบเดนยังไปไม่ถึง แต่ความฝันทางการเมืองของโบก็ชะงักลง ด้วยอาการ...มะเร็งสมอง ในขณะที่โจ ไบเดน มีงานหลายอย่างที่ต้องทำในฐานะรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ทั้งในเรื่องกิจการภายในประเทศ ที่หลายครั้งต้องเดินทางมาร่วมงานแทนประธานาธิบดี อย่างเช่นเหตุการณ์การสังหารตำรวจในนิวยอร์กซิตี้สองนาย ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีระหว่างคนของรัฐกับชุมชนคนผิวดำ ไปจนถึงการสนับสนุนการแต่งงานของกลุ่ม LGBT ในขณะเดียวกัน ในกิจการภายนอกในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โจ ไบเดนเดินทางรอบโลกด้วยแอร์ฟอร์ซทู เพื่อดำเนินการเจรจากับผู้นำทั่วโลกในประเทศต่าง ๆ ทั้งในเรื่องประชาธิปไตยในภาคพื้นอเมริกากลาง กรณีพิพาทกันระหว่างยูเครนกับรัสเซียซึ่งข้องเกี่ยวกับนาโต้ ตลอดจนสงครามภายในประเทศอิรัก ซึ่งแต่ละกรณีล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่หนักอึ้งบนบ่าของผู้บริหารประเทศพญาอินทรีที่ต้องแบกไว้ เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของโจ ไบเดน ที่ต้องแบกโลกสองใบที่แสนหนักหน่วงนี้ไว้ ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้เล่าถึงสองโลกสลับไปมาจนทำให้เราเข้าใจว่า สิ่งที่โจ ไบเดน ประสบพบเจอนั้นลำบากเพียงใด นอกจากความหวังและกำลังใจจากคนรอบข้างแล้ว เขาคิดเพียงว่า สิ่งที่ช่วยให้ชีวิตเขาผ่านช่วงนั้นไปได้ คือการตั้งใจทำงาน “ทางเดียวที่ผมจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ ก็ถ้าคุณจะแค่เก็บความยุ่งของผมไว้ จัดตารางเวลาให้ผม พยายามรักษาทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำกันเป็นปกติไว้ ปล่อยให้มันอยู่ต่อหน้าผม และคงให้ผมทำงาน” “ผู้รู้ว่าอะไรดีที่สุด เพราะโชคร้าย ผมผ่านเรื่องนี้มาก่อน ทางเดียวที่ผมจะคงอยู่ได้ ทางเดียวที่ผมจะผ่านมันไปได้ ก็คือด้วยการยุ่งกับงาน และรักษาสภาพจิตใจของตัวเองไว้ในเวลาที่ทำได้ โฟกัสอยู่ที่งานของผม” อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้นกับโบ ไบเดน เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตของโจ ที่เมื่อครั้งในอดีตเขาเคยเสียคนสำคัญในครอบครัวไปครั้งหนึ่งเมื่อครั้งที่ภรรยาคนแรกของโจ ไบเดน ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอเสียชีวิตไปพร้อมกับลูกสาว ส่วนโบและฮันเตอร์บาดเจ็บหนักจากเหตุการณ์นั้น เขาย่อมไม่ยอมที่จะให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นอีกครั้งกับครอบครัว ในขณะที่เผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่ยากลำบากในงานการเมือง แต่ในมุมหนึ่ง โจและครอบครัวก็พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหาวิถีทางในการรักษาโบ อาการของเขาทำให้ทีมแพทย์เป็นห่วงว่าเขาจะอยู่ต่อได้เพียงปีเดียวหรือปีครึ่ง โบพยายามอย่างยิ่งที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ เขาพร้อมรับมือกับการรักษาและทำกายภาพบำบัดในทุกรูปแบบ เขายังมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ และเปรียบเสมือนยาบำรุงหัวใจให้กับโจ “อย่าดูเศร้าสิครับพ่อ พ่อจะทำให้ใครเห็นว่าเศร้าไม่ได้ เพราะจะทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดี และผมก็ไม่อยากให้ใครรู้สึกเสียใจกับผม” “ทุกอย่างดีครับพ่อ ดีทุกอย่าง” เขาย้ำในช่วงเวลาที่แสนเข้มข้นในการรักษาโรคนี้ แต่ในที่สุด ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในขณะนั้นไม่อาจจะเอาชนะโรคร้ายนี้ได้ “วันที่ 30 พฤษภาคม (2015) 07.51 น. ผมบันทึกไว้ในไดอารี พระเจ้า ลูกชายผม ลูกชายผู้สวยงามของผม" โบ ไบเดน ได้จากเราไปแล้ว... ครอบครัวไบเดนที่ดูรักกันมาก ผ่านสถานการณ์นี้อย่างยากลำบาก ในงานศพของโบ โจ ไบเดนได้รับการปลอบประโลมจากทั้งคนในครอบครัว เพื่อร่วมงานอย่างประธานาธิบดีบารัก โอบามา แม้กระทั่ง ไว ทัง ลิว พ่อของตำรวจเชื้อสายจีน-อเมริกัน ที่ถูกฆ่าที่นิวยอร์กซิตี้ ก็เดินทางมาร่วมงาน การโอบกอดกันและกันของชายสองคนที่ต่างสูญเสียลูกชายผู้เป็นที่รัก มีความหมายต่อโจมาก ๆ  และชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องเดินไปข้างหน้าพร้อมหอบหิ้วความฝันของผู้ที่จากไปไปด้วยกัน ท่ามกลางกระแสข่าวในช่วงเวลานั้น เขาเผชิญหน้ากับการตัดสินใจที่หนักหน่วงอีกครั้ง ในการวางแผนเพื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อแข่งขันการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปี 2016 ซึ่งต้องแข่งขันกับฮิลลารี คลินตัน ที่มาแรงมาก แต่ท้ายที่สุดเขาก็ถอนตัวเพราะไม่อยากให้คะแนนเสียงของทางฮิลลารีแตก รวมไปถึงความอึดอัดใจจากเนื้อหาข่าวที่พูดถึงว่าเขาจะเอาความตายของลูกชายเป็นจุดแข็งในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่ถึงอย่างนั้น การเสียชีวิตของลูกชาย ยังทำให้เขาจุดประกายความฝันหนึ่งขึ้นมา นั่นคือการสนับสนุนทางการแพทย์ โดยเฉพาะการรักษามะเร็ง เพื่อให้ผู้คนอื่นในอนาคตไม่ประสบชะตากรรมแบบเดียวกันกับลูกชายของเขา
“พ่อต้องสัญญากับผมนะครับว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อจะไม่เป็นอะไร ให้สัญญากับผมนะครับพ่อ พ่อจะไม่เป็นอะไร”
คำพูดนี้ของโบ ถูกตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าในหนังสือ มันเป็นเหมือนกับ ‘ลมใต้ปีก’ ที่ทำให้แม้ว่าโจ ไบเดน จะล้มลงบนเวทีการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ความฝันของเขาที่ก้าวสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา เพื่อประสานความขัดแย้งของคนภายในประเทศภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่แสนเปราะบาง ความฝันของเขาที่บรรลุในวัย 78 ปีวันนี้ มีภาพของโบ ไบเดน อยู่เบื้องหลัง ไม่มากก็น้อย   ที่มา หนังสือ ‘สัญญากับผมนะครับพ่อ’ เขียนโดย โจ ไบเดน (กุลธิดา บุณยะกุล ดันนากิ้น แปล สำนักพิมพ์ Arrow)