โจ ดิตต์มาร์: ผู้วิ่งลงบันได 105 ชั้น จนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ ‘9/11’ เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด

โจ ดิตต์มาร์: ผู้วิ่งลงบันได 105 ชั้น จนรอดชีวิตจากเหตุการณ์ ‘9/11’ เครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด
บางเหตุการณ์ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ยากจะลืม เช่นเดียวกับโศกนาฏกรรรมช็อกโลกเมื่อวันที่ 11 เดือน 9 ปี ค.ศ. 2001 หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ‘9/11’ แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมาแล้ว 2 ทศวรรษ แต่ยังคงติดตรึงในความทรงจำของใครหลายคนไม่เคยจาง โจเซฟ หรือ โจ ดิตต์มาร์ คือหนึ่งในผู้ไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาคือไม่กี่คนที่อยู่ในตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ที่นครนิวยอร์ก ขณะผู้ก่อการร้ายจี้เครื่องบินพุ่งชนและรอดชีวิตมาได้ ที่สำคัญ มันเป็นการเอาตัวรอดจากชั้น 105 ของตึกสูง 110 ชั้น นับเป็นชั้นที่สูงที่สุดซึ่งมีคนอยู่ ณ เวลานั้น โจใช้เวลาหนีตายลงมาทั้งหมด 50 นาที โดย 50 นาทีชีวิตของเขาครั้งนี้ คือ การโกงความตายที่ทำให้ได้พบเรื่องราวมากมาย เป็นเรื่องราวของการตัดสินใจในเสี้ยววินาที การพบเจอความเสียสละและนาทีสุดท้ายของชีวิตใครหลายคน เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยลืมและไม่เคยหยุดเล่า เพราะอยากให้เรื่องราวเป็นอุทาหรณ์สอนใจผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป   เครื่องบินลำแรกชนตึกทิศเหนือ เช้าตรู่ของวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ท่ามกลางท้องฟ้าแจ่มใส พนักงานขายประกัน 54 คนมีนัดประชุมกันบนยอดตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในมหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เวลานั้น คือ ศูนย์กลางของวงการธุรกิจประกัน เนื่องจากบริษัทประกันยักษ์ใหญ่ทั่วโลกล้วนมีสำนักงานตั้งอยู่ในอาคารดังกล่าว การจัดประชุมของนักธุรกิจประกันจากทั่วทุกสารทิศที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก และ โจ ดิตต์มาร์ (Joe Dittmarr) ตัวแทนขายประกันจากนครชิคาโก ก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมวันนั้น ห้องประชุมที่โจและเพื่อนร่วมอาชีพใช้มีลักษณะเป็นผนังทึบทั้ง 4 ด้าน ตั้งอยู่บนชั้นที่ 105 ของตึกเวิลด์เทรดฝั่งทิศใต้ ซึ่งเป็นชั้นสูงที่สุดที่มีคนอยู่ เนื่องจากชั้น 107 และ 110 เป็นจุดชมวิวที่ยังไม่เปิดให้บริการ ส่วนชั้นที่เหลือเหนือ 105 ขึ้นไป เป็นที่ตั้งเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งเครื่องปรับอากาศ ระบบประปา และลิฟต์ขนส่งผู้โดยสาร “เราไม่รู้สึกและไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย” โจเล่าวินาทีเครื่องบินลำแรกพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดฝั่งทิศเหนือ เมื่อเวลา 08:46 น. โดยระบุว่า เขารู้สึกได้เพียงไฟในห้องกะพริบเท่านั้น หลังจากตึกทิศเหนือถูกโจมตีบริเวณชั้นที่ 90 กว่า เจ้าหน้าที่อาสาสมัครป้องกันไฟประจำอาคารทิศใต้ก็เข้ามาสั่งให้โจและผู้ร่วมประชุมทุกคนอพยพออกจากตึกทันที โจบอกว่าเวลานั้นยังไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะห้องประชุมไม่มีหน้าต่างและไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เนื่องจากเสาสัญญาณตั้งอยู่บนยอดตึกเวิลด์เทรดทิศเหนือ และได้รับความเสียหายจากการโจมตีของเครื่องบินลำแรก กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก เขาต้องลงบันไดหนีไฟมาถึงชั้นที่ 90 และพบว่าประตูบันไดหนีไฟเปิดอยู่ หลายคนจึงเดินออกไปเพื่อหาทางออกจุดอื่น ซึ่งโจก็เดินตามไปจนได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองของสิ่งที่เกิดขึ้นกับตึกแฝดด้านข้าง “นั่นเป็นช่วงเวลา 30 - 40 วินาที ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต” โจกล่าวถึงภาพเปลวเพลิงและควันไฟที่พวยพุ่งออกมาจากตึกฝั่งตรงข้าม ซึ่งทำให้เขาตระหนักได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่เพลิงไหม้ธรรมดาและต้องรีบเดินกลับมาที่บันไดหนีไฟเพื่อออกไปให้เร็วที่สุด   เวลาชี้เป็นชี้ตายก่อนตึกทิศใต้ถูกโจมตี ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตึกทิศเหนือเหมือนมีมนต์สะกดให้เพื่อนร่วมทางหลายคนหยุดดูและไม่รีบหนีไป ขณะเดียวกัน โจยังสวนกับเพื่อนที่เดินออกจากบันไดหนีไฟเพื่อไปแวะเข้าห้องน้ำ และนั่นคือภาพสุดท้ายที่เขาได้เห็นหน้าเพื่อนร่วมงานเหล่านั้น ระหว่างลงมาถึงชั้น 78 เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งยังชักชวนให้โจหยุดรอลิฟต์เพื่อลงสู่ชั้นล่างโดยไม่ต้องลงบันได แต่ด้วยประสบการณ์ขายประกันอัคคีภัยมาทั้งชีวิต เขารู้ดีว่าลิฟต์ไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยระหว่างเกิดเพลิงไหม้ จึงตัดสินใจไม่ตอบรับคำชวนและเลือกเดินลงบันไดหนีไฟต่อไป “นั่นคือการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่ผมเคยมีในชีวิต” โจเล่าย้อนถึงวินาทีชี้เป็นชี้ตายก่อนจะลงมาถึงประมาณชั้น 72 - 74 และมีเครื่องบินลำที่สองพุ่งชนตึกทิศใต้บริเวณชั้น 77 - 83 เมื่อเวลา 09:03 น. ห่างจากเครื่องบินลำแรกที่ชนตึกทิศเหนือเพียง 17 นาที นั่นเป็นอีกครั้งที่เขาทราบดีว่า การตัดสินใจไม่ใช้ลิฟต์คือสิ่งที่ถูกต้อง “ราวบันไดหลุดออกมาจากผนัง ขั้นบันไดใต้ฝ่าเท้าผมสั่นไหวคล้ายเกลียวคลื่นในมหาสมุทร เรารู้สึกได้ถึงความร้อนจากผนัง และกลิ่นของน้ำมันเครื่องบินไอพ่นที่ลอยมาเตะจมูก” โจ ดิตต์มาร์ เล่าสิ่งที่เขาประสบหลังเครื่องบินลำที่สองพุ่งชนตึกทิศใต้ เหนือจุดที่เขาอยู่บนบันไดหนีไฟขึ้นไปไม่กี่ชั้น แรงกระแทกทำให้ตึกโคลงเคลงไปมา และเขาเป็นเพียง 1 ใน 7 จากจำนวนผู้เข้าร่วมประชุม 54 คนบนชั้นที่ 105 ซึ่งรอดชีวิตออกมาในวันนั้น   ผู้ก่อการร้าย ผู้เคราะห์ร้าย วีรบุรุษ เหตุวินาศกรรม 9/11 มีเครื่องบินพาณิชย์ทั้งหมด 4 ลำ ถูกผู้ก่อการร้าย 19 คน กระจายกำลังกันจี้ลำละ 4 - 5 คน เพื่อใช้เป็นอาวุธพุ่งชนเป้าหมายหลายจุดพร้อมกัน โดยนอกจากตึกแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ยังมีอาคารเพนตากอน ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และลำที่ 4 มีผู้โดยสารช่วยกันต่อสู้ ทำให้พลาดเป้าไปตกกลางทุ่งในรัฐเพนซิลเวเนีย แทนที่จะเป็นอาคารรัฐสภา หรือทำเนียบขาว โศกนาฏกรรมครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 2,977 คน ไม่รวมผู้ก่อการร้ายทั้ง 19 คนจากเครือข่ายอัลกออิดะห์ ซึ่งเป็นพลเมืองซาอุดีอาระเบีย 15 คน ชาวยูเออี 2 คน และชาวอียิปต์กับเลบานอนอีกชาติละคน ผู้บริสุทธิ์ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่ใน 9/11 อยู่ในอาคารแฝดเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ มีจำนวนทั้งหมด 2,606 คน ในจำนวนนี้เป็นตำรวจ พนักงานดับเพลิง และทีมแพทย์ฉุกเฉินที่รุดไปช่วยเหลือผู้ประสบภัย และได้รับการยกย่องเป็นฮีโร่ผู้พลีชีพทั้งหมด 441 ราย “ภาพในดวงตาของพวกเขามันฟ้องว่า พวกเขารู้ตัวดีว่ากำลังวิ่งขึ้นไปและจะไม่ได้กลับลงมา คุณช่างมีความกล้าหาญเช่นนั้นได้อย่างไร คุณมีความเข้มแข็งอย่างนั้นได้อย่างไร”  โจเล่าถึงแววตาฮีโร่พนักงานดับเพลิงและหน่วยกู้ภัยที่วิ่งสวนขึ้นไป ระหว่างที่เขาลงมาถึงชั้น 35 และเมื่อมาถึงชั้นที่ 15 เขาก็พบว่ามีพนักงานรักษาความปลอดภัยอีกคนถือโทรโข่งร้องเพลงปลุกใจ ‘God Bless America’ เพื่อทำให้บรรยากาศคลายความตึงเครียด “เขาร้องด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังแต่มันเปี่ยมไปด้วยความหมาย คล้ายบนเรือไททานิก เมื่อกัปตันขอให้นักดนตรีบรรเลงเพลงเพื่อคลายความตื่นตระหนก ขณะพยายามอพยพผู้คนลงเรือกู้ชีพออกมา” คนขายประกันวัย 44 ปี และคุณพ่อลูก 4 จากชิคาโก เล่าถึงภาพที่เจอระหว่างทาง  นอกจากความเสียสละของพนักงานดับเพลิง หน่วยกู้ภัย และพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ได้พบ โจยังเห็นน้ำใจของผู้ประสบภัยด้วยกันอีกมากมาย บางคนช่วยกันอุ้มคนพิการ จูงผู้บาดเจ็บและต้องการความช่วยเหลือลงบันไดหนีไฟมาอย่างไม่เห็นแก่ตัว เรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้นภายในเวลา 50 นาทีที่โจ ดิตต์มาร์ เดินจากชั้น 105 ลงมาถึงชั้นล่าง   ตึกถล่มและเสียงกรีดร้องก้องโลก แม้จะหนีออกจากตึกได้อย่างปลอดภัย ภาพที่โจเห็นเบื้องล่าง คือ ความเสียหายราวกับมันเป็นวันสุดท้ายของมนุษยชาติ เศษเหล็กและคอนกรีตของตัวอาคารที่บิดงอและแตกร้าวเพราะความร้อน ร่องรอยคราบเลือดสีแดงขนาดใหญ่จากผู้เคราะห์ร้ายที่กระโดดหนีตายลงมาบนพื้น แต่นั่นยังไม่ทำให้เขาฝันร้ายเท่ากับเสียงกรีดร้องของคนบนท้องถนนเมื่อตึกแฝดสูงระฟ้าทั้งคู่พังถล่มลงมา เวลา 09:59 น. ตึกเวิลด์เทรดทิศใต้ ซึ่งโจเพิ่งหนีออกมาพังลงมาเป็นหลังแรก หลังถูกเครื่องบินพุ่งชน 56 นาที ส่วนตึกทิศเหนือถล่มตามมาในเวลา 10:28 น. หรือ 1 ชั่วโมง 42 นาที หลังเครื่องบินลำแรกพุ่งชน ตึกแฝดทั้งคู่มีโครงสร้างหลักเป็นเหล็ก ออกแบบให้ต้านแรงลมได้มากกว่า 320 กม./ชม. และสามารถทนความร้อนจากอัคคีภัยทั่วไป แต่ความร้อนจากน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่นขนาดมหึมามีอุณหภูมิสูงกว่ามาก ทำให้โครงสร้างไม่สามารถต้านทานได้ “เสียงกรีดร้องของคนหลายแสนคนตามท้องถนนในนิวยอร์กที่เปล่งออกมาพร้อมกันขณะอาคารทิศใต้พังลงมา นั่นคือเสียงแรกที่ผมได้ยินทุกเช้า และเป็นเสียงสุดท้ายในยามค่ำคืน” โจกล่าวถึงความทรงจำจากเหตุวินาศกรรม 9/11 โดยระหว่างที่ตึกหลังแรกพังลงมา เขาวิ่งจาก ‘กราวด์ซีโร่’ หรือฐานที่ตั้งของตึกเวิลด์เทรดทั้งสองห่างออกมาประมาณ 8 ช่วงถนน  “ผมคือคนที่โชคดีมาก ๆ” โจยอมรับกับชะตากรรมที่เจอ เพื่อเป็นการตอบแทนความโชคดีที่เพื่อนร่วมชะตากรรมผู้เสียชีวิตเกือบ 3,000 รายไม่ได้รับ โจ ดิตต์มาร์ ตัดสินใจนำเรื่องราวที่พบ ไม่ว่าจะเป็นความโหดร้ายของการก่อการร้าย ความเสียสละของฮีโร่มากมาย และการยืนหยัดไม่ยอมแพ้โชคชะตา มาบอกเล่าถ่ายทอดแก่คนรุ่นหลังทุกครั้งที่มีโอกาส โดยเฉพาะทุกปีที่มีการรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ “มันรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน บางทีก็รู้สึกเหมือนมันอยู่ตลอดไป แต่ความทรงจำ สิ่งที่เรารู้สึกและได้เจอวันนั้น มันหวนกลับมาทุกปีโดยเฉพาะช่วงเวลานี้ (พิธีรำลึกครบรอบ 9/11) อย่างที่ผมบอกไป มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน”    ภาพ: https://www.youtube.com/watch?v=q7S61-geibA Getty image ข้อมูลอ้างอิง: https://www.barrons.com/news/joseph-dittmar-sharing-memories-of-9-11-escape-is-my-therapy-01627522508 https://spacecoastdaily.com/2021/09/special-tv-series-9-11-survivor-joe-dittmar-recalls-horrifying-day-with-steve-wilson-to-mark-20th-anniversary/ https://www.chicagotribune.com/suburbs/daily-southtown/ct-sta-911-survivor-sandburg-high-school-orland-park-st-0910-20190909-q5muejcwcjadlkcqvyfrfex76e-story.html https://abc7news.com/911-survivor-sept-11-never-forgotten-remembering-pictures/6419324/ https://www.bbc.com/news/world-us-canada-57698668