"จอห์น ฮาร์วี่ย์ เคลล็อกก์" คิดค้นคอร์นเฟล็กให้กินแทนการช่วยตัวเอง

"จอห์น ฮาร์วี่ย์ เคลล็อกก์" คิดค้นคอร์นเฟล็กให้กินแทนการช่วยตัวเอง
กินอะไรเป็นอาหารเช้า? ถ้าเป็นคนไทยคงหนีไม่พ้นโจ๊ก หมูปิ้ง น้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ แต่สำหรับอเมริกันชนแล้ว อาหารยอดนิยมจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก...คอร์นเฟล็ก เกล็ดข้าวโพด อาหารสำเร็จรูปทำจากธัญพืชที่เติมนมพร้อมรับประทานทันที ซึ่งที่มาของอาหารสุดฮิตนี้มาจาก จอห์น ฮาร์วี่ย์ เคลล็อกก์ (John Harvey Kellogg) ที่คิดค้นคอร์นเฟล็กให้กินแทนการช่วยตัวเองยามเช้า จอห์น เคลล็อกก์ เติบโตและได้รับการเลี้ยงดูภายใต้คริสต์ศาสนิกชนนิกายเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส (Seventh-day Adventist) ต่อมาเขาได้เป็นผู้อำนวยการที่ The Battle Creek Sanitarium สถานพยาบาลที่ตั้งอยู่ในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ที่ได้ดำเนินตามหลักการด้านสุขภาพ โดยได้รับการสนับสนุนจากคริสตจักรเซเว่นธ์เดย์แอ๊ดเวนตีส ทั้งการกินแต่อาหารมังสวิรัติ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจแยกตัวออกมาในปี 1907 จอห์น ฮาร์วี่ย์ เคลล็อกก์ เป็นหนึ่งในผู้นำของการปฎิรูปด้านสุขภาพ ที่ใช้วิธี “ใช้ชีวิตแบบชีวภาพ” ด้วยการผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับความเชื่อทางศาสนา ทั้งการเน้นอาหารสุขภาพ ถือมังสวิรัติ และเชื่อว่าการเสพสังวาสทำให้สุขภาพแย่ แถมยังเป็นบาปอีกด้วย เพราะการมีเพศสัมพันธ์ส่งผลเสียต่อจิตใจอันบริสุทธิ์ แล้วยังทำให้ร่างกายย่ำแย่ . เขาแต่งงานกับ เอลล่า อีตัน (Ella Eaton) ที่อายุห่างกันหนึ่งปี แต่แยกห้องนอนกัน และไม่เคยมีอะไรกันสักครั้งในชีวิต รวมถึงใช้วิธีรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงดูแทนการให้กำเนิดบุตร เขารับเลี้ยงเด็กไว้มากถึง 42 คน และมีอย่างน้อยเจ็ดคนที่ได้รับการจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมาย “หากการค้าประเวณีเป็นสิ่งชั่วร้าย การช่วยตัวเองถือเป็นกิจกรรมที่เลวทรามกว่านั้นอีกสองเท่า” ในหนังสือ "Plain Facts for Old and Young: Embracing the Natural History and Hygiene of Organic Life" ที่ จอห์น เคลล็อกก์ เขียนขึ้น ได้บรรยายถึงผลข้างเคียงของการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองว่า เป็นการสร้างมลภาวะให้กับร่างกาย ทั้งการทำให้อารมณ์เหวี่ยงหัวร้อนง่าย มีพัฒนาการที่บกพร่อง สิวเห่อ เป็นโรคลมบ้าหมู ใจสั่น โหยหาอาหารรสเผ็ดจัด และอื่น ๆ อีกรวมแล้วร่วม 40 รายการ จอห์น เคลล็อกก์ ยังมีความเชื่ออีกด้วยว่า เนื้อสัตว์และอาหารเข้มข้นรสจัดจ้านเป็นสิ่งที่เสพแล้วไปช่วยเพิ่มความกำหนัดให้กับผู้บริโภค ซึ่งอาหารที่จะยับยั้งแรงปรารถนาทางกามารมณ์ได้นั้น มีเพียงอาหารพื้น ๆ ที่ทำจากธัญพืชพวกถั่วและซีเรียลเพื่อสุขภาพเท่านั้น นี่จึงเป็นที่มาให้เขาคิดค้นสูตรอาหาร เพื่อบริการผู้มาใช้บริการในสถานพยาบาลของเขาให้อิ่มท้องอิ่มบุญเบิกบานใจ ตัวเขาเป็นคนที่ชอบกินถั่วมาก อีกทั้งยังเชื่อว่าถั่วนี่แหละที่จะมากู้โลกจากวิกฤตการณ์อาหารขาดแคลน เขาเลยมีส่วนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้น เนยถั่ว (peanut butter) และได้พัฒนาสูตรอาหารเพื่อสุขภาพหลายอย่าง ตามแนวทางของ เอเลน ไวท์ (Ellen White) และ ซิลเวสเตอร์ เกรแฮม (Sylvester Graham) กลับมาที่คอร์นเฟล็ก อาหารประเภทนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญในปี 1877 ระหว่างที่เขากับน้องชาย วิลล์ เคลล็อกก์ (Will Kellogg) กำลังหาสูตรผลิตอาหารเพื่อสุขภาพจากธัญพืช ที่อ่อนนุ่ม เคี้ยวง่าย แล้วเผลอลืมแป้งที่ผสมไว้ จนมันเริ่มพองตัว ซึ่งแทนที่จะทิ้ง ทั้งคู่ลองเอามาบดเป็นแผ่นบาง ๆ ก่อนเอาไปอบให้แห้งอย่างช้า ๆ จนได้แผ่นแป้งบางกรุบกรอบรสชาติดีเยี่ยม พอเอาไปเสิร์ฟให้คนไข้ ก็ปรากฏว่าได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก ตอนแรก จอห์น เคลล็อกก์ จะตั้งชื่ออาหารชนิดนี้ว่า กรานูล่า (Granula) แต่ติดเรื่องลิขสิทธิ์ที่มีผู้นำชื่อนี้ไปจดทะเบียนไว้ก่อนแล้ว เขาเลยเรียกอาหารที่ใช้เสิร์ฟในสถานพยาบาลของเขาว่า กราโนลา (Granola) แทน การที่มันได้รับความนิยมขายได้มากกว่าปีละ 5,000 กิโลกรัม ช่วยให้เคลล็อกก์รู้ตัวว่ามาถูกทาง เขาเลยตั้งบริษัท เซนิตาส ฟู้ด ขึ้นในปี 1890 โดยมีศรีภรรยาและน้องชายช่วยพัฒนาสูตรเพื่อให้คอร์นเฟล็กมีรสชาติดีขึ้นเรื่อย ๆ และเก็บได้นานยิ่งขึ้น ช่วงแรกเขาทำการตลาดโดยอ้างว่ามันเป็นอาหารเช้าที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ พร้อมรับประทาน แถมยังช่วยลดความอยากในการช่วยตัวเองอีกด้วย ภายหลัง วิลล์ เคลล็อกก์ น้องชายของเขาซึ่งไม่ค่อยสนใจเรื่องสุขภาพเท่าพี่ชาย ได้เติมน้ำตาลเข้าไปในสูตรเพื่อรสชาติที่ถูกปากมากขึ้น แต่ได้กลายเป็นจุดขัดแย้งสำคัญ เพราะ จอห์น เคลล็อกก์ เชื่อว่าน้ำตาลเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีที่ทำให้คนมีอารมณ์ทางเพศมากขึ้น ในปี 1906 วิลล์เลยแยกตัวออกมาขายสินค้าของตัวเองภายใต้ชื่อบริษัท เคลล็อกก์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานอาหารเช้าที่เรียกว่าซีเรียลในปัจจุบัน สมัยที่ วิลล์ เคลล็อกก์ อยู่ช่วยงาน จอห์นดูแลน้องชายของเขาไม่ต่างจากพนักงานคนหนึ่ง เพราะเขาเชื่อในความอาวุโส ฉลาด และมีการศึกษาที่ดีกว่าน้องชาย หลังจากแยกตัวออกมา บริษัทของทั้งสองคนเลยมีการฟ้องร้องและแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังต้องขายแข่งกับ ชาร์ลส์ โพสต์ (Charles Post) ผู้ที่ได้สูตรการทำคอร์นเฟล็กไประหว่างพักที่ The Battle Creek Sanitarium และได้ลิ้มรสความอร่อยของเกล็ดข้าวโพดมหัศจรรย์นี้ การแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ธุรกิจคอร์นเฟล็กของ จอห์น เคลล็อกก์ ที่ไม่มีหัวทางการค้าไปไม่รอด ตรงกันข้ามกับบริษัทเคลล็อกก์ของวิลล์ที่กลับเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ความนิยมของคอร์นเฟล็กขึ้นสู่จุดสูงสุดในปี 1969 จากการที่นักบินอวกาศของยานอะพอลโล 11 เอาติดตัวเป็นเสบียงในการเดินทางขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ ในปี 2006 ชื่อของ จอห์น เคลล็อกก์ เลยได้รับเกียรติบรรจุในหอเกียรติยศนักประดิษฐ์แห่งชาติ ในฐานะผู้คิดค้นคอร์นเฟล็กที่ปฏิวัติอาหารมื้อเช้าของอเมริกันชนไปตลอดกาล รวมไปถึงสิ่งประดิษฐ์อื่น ๆ อีกมากมาย ช่วงบั้นปลายก่อนที่ จอห์น เคลล็อกก์ จะเสียชีวิต เขาใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อเขียนจดหมายขอโทษให้น้องชายอภัยในสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่จดหมายฉบับนั้นกลับไม่ถูกส่งถึงมือน้องชาย เพราะโชคร้ายที่เลขาของเขาซึ่งไม่ชอบหน้าวิลล์อยู่ก่อน และคิดว่าจดหมายที่จอห์นเขียนมีข้อความที่เป็นการดูถูกตัวเอง เธอเลยแอบเอาจดหมายไปซ่อน สองพี่น้องเคลล็อกก์จึงไม่ได้ปรับความเข้าใจกันจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตทั้งคู่ จอห์น เคลล็อกก์ เสียชีวิตในวัย 91 ปี แปดปีต่อมา วิลล์ เคลล็อกก์ ก็จากไปด้วยวัย 91 ปีเช่นกัน การเสียชีวิตในวัยไล่เลี่ยกันของทั้งคู่ อาจเป็นบทพิสูจน์ว่าคอร์นเฟล็กแบบดั้งเดิมหรือแบบที่ใส่น้ำตาล ไม่ได้แตกต่างกันเลยในเรื่องการช่วยให้มีชีวิตที่ยืนยาว ปัจจุบัน มีบทวิจัยที่ว่าคอร์นเฟล็กแบบดั้งเดิมของ จอห์น ฮาร์วี่ย์ เคลล็อกก์ ที่เขาอ้างว่าทั้งอร่อยและช่วยหยุดบาปอารมณ์ของผู้บริโภคไปพร้อมกันนั้น ก็ไม่ได้มีผลให้คนอยากช่วยตัวเองน้อยลงอย่างที่เขาต้องการ การค้นพบครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนั้นเลยได้แค่เมนูอาหารเช้าที่ช่วยให้ท้องอิ่มเพียงอย่างเดียว ที่มา : https://www.kelloggs.com https://www.news.com.au http://www.adventist.or.th http://mentalfloss.com http://www.museumofquackery.com http://allfreematerial.blogspot.com http://www.royin.go.th