ไกรสร พันธ์ทิพย์ เปลี่ยนหมู่บ้านสีแดงที่ไม่มีใครกล้าผ่าน ด้วยฟุตบอลและเวทีมวย

ไกรสร พันธ์ทิพย์ เปลี่ยนหมู่บ้านสีแดงที่ไม่มีใครกล้าผ่าน ด้วยฟุตบอลและเวทีมวย
การที่มีภูเขาล้อมรอบ แล้วมีคลองเสน่ห์โพธิ์ที่มีต้นกำเนิดจากน้ำใสสะอาดบนเทือกเขาน้อยใหญ่ ทำให้อากาศของหมู่บ้านพรุสมภาร ค่อนข้างเย็นสบายกว่าบริเวณอื่น ๆ ในเกาะภูเก็ต และยังตั้งอยู่ไม่ห่างจากหนึ่งในเส้นทางประวัติศาสตร์สงครามเก้าทัพ ของทุ่งถลางชนะศึก น่าจะทำให้ที่นี่ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมเยียนได้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่น่าเชื่อว่า ย้อนกลับไปสิบกว่าปีที่แล้ว แทบไม่มีใครกล้าเข้ามาที่นี่ เพราะคำว่าหมู่บ้านสีแดง “ก่อนหน้านี้ผมว่าหมู่บ้านพรุสมภารเป็นหมู่บ้านที่คนข้างนอกเขากลัว เพราะคิดว่าเป็นพื้นที่สีแดง คือในช่วงนั้นยาเสพติดมันเยอะมาก คนภูเก็ตจะรู้เลยว่าถ้าชาวบ้านหมู่ที่ 8 พรุสมภารไปหางาน เขาจะไม่ค่อยรับเข้าทำงาน เพราะมันเป็นพื้นที่สีแดงในช่วงนั้น” เรื่องปัญหายาเสพติดที่ระบาดหนักในช่วงปี 2553 จากการปล่อยปละละเลยของผู้นำชุมชนและคนในท้องถิ่น เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ ‘ไกรสร พันธ์ทิพย์’ ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งที่ผูกพันกับชุมชนพรุสมภารนี้ ตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษที่ย้ายมาจากเกาะลังกาวี ประเทศมาเลเซีย เข้ามาอยู่ปักหลักทำมาหากินในบริเวณนี้เป็นตระกูลที่สอง ตัดสินใจลุกขึ้นมาต่อสู้กับปัญหานี้อย่างจริงจัง ด้วยแรงสนับสนุนของคนส่วนใหญ่ในชุมชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ไกรสร พันธ์ทิพย์ เปลี่ยนหมู่บ้านสีแดงที่ไม่มีใครกล้าผ่าน ด้วยฟุตบอลและเวทีมวย ในปี 2554 ผู้ใหญ่บ้านคนเก่าหมดวาระ ชาวบ้านพรุสมภารเลยขอให้เขาลงสมัครเป็นผู้ใหญ่บ้าน จนได้รับเลือกเป็นผู้นำชุมชน หมู่ที่ 8 บ้านพรุสมภาร ตำบลเทพกระษัตรี อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 “ก่อนที่ผมจะมาเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตอนนั้นผมทำธุรกิจนำเที่ยว พาลูกทัวร์นักท่องเที่ยวต่างชาติขึ้นรถนำเที่ยวซิตี้ทัวร์ ลงเรือไปเที่ยวเกาะพีพี และเกาะต่าง ๆ ในจังหวัดภูเก็ต แล้วธุรกิจหลักอีกอย่างคือทำค่ายมวยไทย ชาวบ้านอยากให้เรามาเป็นผู้ใหญ่บ้าน เพื่อจะได้เปลี่ยนจากหมู่บ้านสีแดงมาเป็นหมู่บ้านสีขาว เพราะคิดว่าเราเป็นคนไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีพิษภัย เขาเห็นการทำงานแล้วเราน่าจะทำได้ ตอนเราช่วยชุมชน เรามีแต่ให้กับชุมชนทั้ง ๆ ที่เราทำงานอื่น แต่ว่างานชุมชนอย่างงานมัสยิดหรืองานอะไรเราก็ยื่นมือเข้ามาช่วยทุกครั้ง ส่วนหนึ่งก็เพราะชุมชนนี้เป็นเครือญาติกันทั้งหมดเลยช่วยเหลือกันอยู่ตลอด” ด้วยความที่เป็นคนทำงานจริงและกว้างขวาง ชาวบ้านส่วนใหญ่ให้ความเคารพนับถือ ทำให้เขามีโอกาสไกล่เกลี่ยปัญหาของคนในหมู่บ้าน และคอยแก้ปัญหาเรื่องเยาวชนติดยาเสพติดอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเขามองว่าการช่วยเหลือคนในหมู่บ้านเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะทุกคนที่นี่เป็นญาติพี่น้องกันเกือบทั้งหมด แต่ไม่น่าเชื่อว่าวันแรกที่ไกรสรได้รับตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน เขากลับได้รับหมายแจ้งจากโรงพักว่ามีส่วนพัวพันในคดีมากมาย ซึ่งส่วนมากเป็นการกล่าวหาว่าเขาเป็นมาเฟียผู้มีอิทธิพลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งที่เขาเป็นผู้อาสาเข้ามาจัดการกับปัญหานี้ด้วยตัวเอง “เขากล่าวหาว่าเรามีส่วนร่วมในเรื่องยาเสพติดอะไรพวกนั้น เป็นการกล่าวหาพูดลอย ๆ ไปเรื่อย แต่มันก็ยากที่จะอธิบาย เราต้องลงมือทำให้เห็นว่าการที่เราเข้ามาทำงานในชุมชน เรามาทำงานจริง ๆ พอเราเป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วเราจะทำยังไงให้ชุมชนเราเจริญ เพื่อพิสูจน์ให้เขาได้เห็น” ไกรสร พันธ์ทิพย์ เปลี่ยนหมู่บ้านสีแดงที่ไม่มีใครกล้าผ่าน ด้วยฟุตบอลและเวทีมวย ผู้ใหญ่ไกรสรได้ใช้การทำงานเป็นเครื่องพิสูจน์ด้วยการตั้งสโลแกนเอาไว้ว่า ถ้าผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน ในชุมชนต้องไม่มียาเสพติด แล้วประกาศออกไปให้ชาวบ้านรับรู้เงื่อนไขว่า เขาพร้อมที่จะช่วยเหลือลูกบ้านทุกกรณี ทั้งการติดต่อประสานงานกับทางราชการ การช่วยเหลืออาชีพคนในหมู่บ้าน แต่ถ้าหากลูกบ้านคนไหนไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแล้วถูกจับได้ เขาจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือแม้แต่น้อย “ตอนแรกที่ชาวบ้านมาบอกให้ลงสมัคร ผมบอกว่าถ้าได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน ชาวบ้านจะต้องช่วยทำงานด้วยนะ พอได้เป็นจริง ๆ ผมก็เอานโยบายของอำเภอเรียกชาวบ้านมาประชุมกันที่บ้านผม ประชุมทุกเดือนหาอาสาสมัครเป็น ชรบ. (ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน) ได้อาสาสมัครมา 20 กว่าคน ควักกระเป๋าตัดชุดเอง ตั้งกฎกติกาหมู่บ้านขึ้นมา เรื่องยาเสพติด เรื่องลักเล็กขโมยน้อย ทางอำเภอก็อนุญาตให้ออกปฏิบัติหน้าที่ได้เลย ตั้งด่านตรวจ ขับรถออกลาดตระเวน กลั่นกรองคนโดยบุคคลภายนอกห้ามเข้า บุคคลภายในให้อยู่แต่ภายใน ตั้งด่านตรวจทุกคืน จนเริ่มได้ผล ยาเสพติดลดลง ทางจังหวัดเริ่มยอมรับ เลยทำให้ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน ผมก็เดินรณรงค์กับเด็กนักเรียนในชุมชน คนไหนที่ติดยาอยากจะเลิกเราก็ส่งไปบำบัด ยาเสพติดในบ้านพรุสมภารเลยแทบไม่มีแล้ว” ผู้ใหญ่ไกรสรยังใช้กีฬาต้านยาเสพติด ด้วยการชวนเยาวชนในชุมชนให้หันมาออกกำลังกายเล่นกีฬา โดยการลงทุนเปลี่ยนพื้นที่ว่างเปล่าในชุมชนประมาณ 4-5 ไร่ ให้กลายเป็นสนามฟุตบอลหญ้าเทียมได้มาตรฐาน และเวทีมวยในร่ม ซึ่งคนในชุมชนพรุสมภารสามารถมาใช้ได้ฟรีทุกอย่าง ส่วนใหญ่เด็กในชุมชนจะมาเล่นฟุตบอลช่วงหลังเลิกเรียน ไปจนถึง 6 โมงเย็น และมาฝึกชกมวยไทยที่ผู้ใหญ่ไกรสรเปิดเป็นอะคาเดมีเล็ก ๆ เพื่อฝึกมวยไทยให้กับเยาวชนที่สนใจ ที่ผ่านมาลานกีฬาเล็ก ๆ แห่งนี้ได้เปลี่ยนเยาวชนที่หลงผิดเพราะยาเสพติด ให้กลายเป็นนักกีฬาไปแล้วหลายคน ซึ่งบางคนไปไกลจนถึงลงเล่นระดับอาชีพเลยทีเดียว ผู้ใหญ่บ้านคนนี้ย้ำว่าเราต้องมองไปข้างหน้า อย่าหันไปมองอดีตข้างหลังที่เคยพลาดมา ซึ่งภายหลังจากที่ยาเสพติดหมดไปจากชุมชน ช่วยให้คนของหมู่บ้านพรุสมภารมีการงานที่ดีขึ้นกว่าในอดีต ส่วนใหญ่จะได้ทำงานที่สนามบินภูเก็ต ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนี้ นี่เป็นอีกความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านไกรสรเข้ามาดูแลที่นี่อย่างใกล้ชิด “เรามีพื้นที่อยู่แปลงหนึ่งประมาณ 4-5 ไร่ แล้วเราก็ทิ้งเอาไว้ไม่ได้ทำอะไร แล้วก็คุยกับญาติพี่น้องบอกว่าถ้าไม่ทำอะไรเดี๋ยวผมจะเอามาทำเป็นศูนย์เรียนรู้ อีกไม่กี่ปีผมก็เกษียณ อยากทำตรงนี้ให้คนข้างนอกได้เห็นว่าชุมชนของเราเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง พอดีน้องชายเป็นคนที่ชอบฟุตบอลเลยขอทำสนามฟุตบอลหญ้าเทียม ผมก็ทำศูนย์เรียนรู้ ปลูกผักสวนครัว ปลูกสับปะรด ทำมะนาวบ่อ ลงบ่อเลี้ยงปลาดุก เลี้ยงไก่บ้าน ครบหมดทุกอย่างตามเศรษฐกิจพอเพียง” ไกรสร พันธ์ทิพย์ เปลี่ยนหมู่บ้านสีแดงที่ไม่มีใครกล้าผ่าน ด้วยฟุตบอลและเวทีมวย ศูนย์เรียนรู้ของบ้านพรุสมภารแห่งนี้ เป็นที่รวมตัวกันของคนในชุมชนที่สนใจอยากฝึกอาชีพ ทั้งการจักสานกระเป๋าจากใบเตยหอม ทำการเกษตรแบบผสมผสานปลูกทุกอย่างที่กินได้ ทำทุกอย่างที่ขายได้ ทำให้หมู่บ้านนี้ได้เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ 30 ครัวเรือนต้นแบบ ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของราชการในการอบรมอาชีพ ตอนนี้หมู่บ้านพรุสมภารภายใต้การนำของผู้ใหญ่บ้านไกรสร พันธ์ทิพย์ เลยมุ่งหน้าก้าวเดินไปข้างหน้า เปลี่ยนจากหมู่บ้านพื้นที่สีแดงเป็นพื้นที่สีขาวสะอาด ที่ใครก็อยากเข้ามาออกกำลังกาย ไปจนถึงเข้ามาลงทุน ตั้งแต่ฝรั่งนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อน ฝึกหัดมวยไทย โครงการหมู่บ้านหลายร้อยหลังคาเรือนที่เพิ่งมีเมื่อสองปีที่ผ่านมา ไปจนถึงโครงการคอนโดมิเนียมหลายชั้นจากต่างประเทศ ที่กำลังดำเนินการขอก่อสร้างในพื้นที่หมู่บ้านพรุสมภาร ผู้ใหญ่บ้านไกรสร พันธ์ทิพย์ ถ่อมตัวว่าการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่ปีที่เขาเข้ามาดูแลที่นี่อย่างใกล้ชิดนี้ เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของคนในชุมชนทั้งหมด ที่เสียสละทุ่มเทจนอนาคตและชีวิตความเป็นอยู่ของเยาวชนและคนในชุมชน ดีขึ้นเรื่อย ๆ “ผมคิดอยู่เสมอว่าแค่ผู้ใหญ่บ้านคนเดียวทำไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นแขนขา ไม่มีคณะกรรมการหมู่บ้าน ไม่มีชาวบ้านที่มาช่วย หมู่บ้านเราจะเกิดไม่ได้ มันต้องได้รับความร่วมมือจากคนในชุมชนช่วยกันดูแล ในชุมชนผมมี Line กลุ่ม ‘คนรักพรุสมภาร’ คนในชุมชนมีปัญหาอะไรก็ส่งเข้ามาเพื่อช่วยกันแก้ไข ชุมชนเราต่อไปจะเจริญก้าวหน้าไปข้างหน้าได้ อย่าไปมองข้างหลัง อย่าไปติดภาพพรุสมภารในอดีต ให้มองพรุสมภารปัจจุบัน แล้วในอนาคตว่าจะเป็นยังไง”