แคทธารีน กัน ผู้แฉความลับชนวนสงครามอิรักว่าเป็นคำโกหกของรัฐบาล

แคทธารีน กัน ผู้แฉความลับชนวนสงครามอิรักว่าเป็นคำโกหกของรัฐบาล
หากคุณได้รับข้อมูลว่ารัฐบาลกำลังหลอกประชาชนเพื่อทำสงคราม คุณจะเปิดเผยมันหรือไม่? ย้อนกลับไปช่วงปี 2003 แคทธารีน กัน (Katharine Gun) เจ้าหน้าที่สำนักข่าวกรองอังกฤษ (GCHQ) ได้ข้อมูลลับมาว่า สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองของอังกฤษในการสอดแนมประเทศกลุ่มสหประชาชาติ (UN) เพื่อบีบบังคับสมาชิกให้ยินยอมในการทำสงครามอิรัก โดยมีข้ออ้างว่าอิรักละเมิดสัญญาสันติภาพและมีอาวุธหนักในการครอบครอง ซึ่งทั้งหมดไม่เป็นความจริง คำถามที่ว่า หากคุณได้รับข้อมูลว่ารัฐบาลกำลังหลอกประชาชนเพื่อทำสงคราม คุณจะเปิดเผยมันหรือไม่? คำตอบของ แคทธารีน กัน ก็คือ เธอเปิดเผยมัน “ในเวลานั้น ฉันจดจ่อกับประเด็นการรุกรานอิรักมาก” แคทธารีน กล่าว “ฉันได้ฟังทุกคำพูดของสองผู้นำประเทศอย่าง โทนี แบลร์ (Tony Blair) และ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George H.W. Bush) ทุกถ้อยคำ ซื้อหนังสือที่เร่งรีบตีพิมพ์กันในเวลานั้นอย่าง ‘แผนสงครามของอิรัก’ และ ‘เป้าหมายของอิรัก’ มาอ่าน แต่ฉันเชื่อว่าอิรักไม่ได้กระทำการใด ๆ ที่สมควรแก่การเปิดสงครามเลย พวกเขาใช้หลักฐานเท็จในการเปิดศึกสงคราม ทำให้ฉันต้องคิดว่า ฉันจะต้องนำเรื่องนี้ออกไปเผยแพร่ให้ทุกคนรู้” หลังจากพิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน แคทธารีน (ผู้เป็น 1 ใน 100 คน ที่ได้รับอีเมลฉบับนั้น) ตัดสินใจปรินต์สำเนาอีเมลส่งให้กับนักข่าวโดยผ่านคนกลางอีกทีหนึ่ง กระทั่งถึงมือ มาร์ติน ไบรท์ (Martin Bright) นักข่าวของสำนักพิมพ์ The Observer โดยไบรท์และเพื่อนร่วมงานได้ดำเนินการสืบหาความถูกต้องของข้อมูล และตีพิมพ์เรื่องราวนั้นบนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ประจำวันที่ 2 มีนาคม 2003 โดยพาดหัวข้อข่าวว่า “แผนสกปรกของอเมริกาในการเอาชนะผลโหวตของสงครามอิรัก” (US dirty tricks to win vote on Iraq war) เดิมทีเธอคิดว่าจะปล่อยข้อมูลนี้ออกไปโดยไม่เปิดเผยตัวตน เพื่อตัวเองจะสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างเป็นปกติ แต่สำนักงานข่าวกรองอังกฤษเริ่มทำการตรวจสอบกลุ่มคนที่ได้รับอีเมลฉบับนั้นทันที เมื่อแคทธารีนเห็นว่าเพื่อนร่วมงานต้องได้รับผลกรรมของการกระทำของเธอ แคทธารีนจึงสารภาพ โดนไล่ออกจากงาน และถูกตั้งข้อหาล่วงละเมิดกฎหมายความลับราชการ “ฉันสูญเสียเพื่อนทั้งหมดของฉันไปในทันที ฉันต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย” เธอกล่าว “มันทำให้ฉันรู้สึกผิดที่เป็นคนปล่อยข้อมูล และการล่าแม่มดในองค์กรก็ได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งฉันก็ไม่ปฏิเสธว่าไม่ใช่คนที่ปล่อยข่าว และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นค่ะ”  นักข่าว มาร์ติน ไบรท์ กล่าวถึงเธอในฐานะผู้กล้าเปิดโปงความลับของรัฐบาลไว้ว่า “คนที่เปิดเผยความลับมักจะมาในหลาย ๆ รูปแบบที่ไม่ธรรมดา ส่วนมากจะเป็นคนชอบสันโดษ เป็นคนแปลก ๆ แต่แคทธารีนนั้นเป็นคนที่มีสติดี เธอรู้ตัวว่าทำไมเธอถึงทำ และเธอทำไปทำไม นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่เหมือนใคร” กระทั่ง แดเนียล เอลส์เบิร์ก (Daniel Ellsberg) ผู้เคยแฉเอกสารลับเพนตากอนเกี่ยวกับคำลวงเรื่องสงครามเวียดนามของประธานาธิบดีสหรัฐฯ 4 คน (ประเด็นนี้เคยสร้างเป็นหนังชิงออสการ์ The Post (2017)) ว่า “มันเป็นการแฉความลับที่สำคัญและกล้าหาญที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จัก ไม่เคยมีใครแม้กระทั่งตัวผมกล้าทำอย่างแคทธารีน เธอบอกความจริงออกไป แม้จะทำให้ชีวิตของเธอตกอยู่ในอันตราย” แม้คำลวงของรัฐบาลจะเปิดเผยออกไปแล้ว น่าเสียดายที่เธอไม่สามารถหยุดยั้งการรุกรานอิรักได้ สงครามอิรักกินระยะเวลากว่า 3 สัปดาห์ มีการวิเคราะห์ว่าสงครามคร่าชีวิตคนไปกว่า 500,000 คน หรือมากกว่านั้น ชีวิตของเธอที่ต้องตกอยู่กับความหวาดระแวงนานถึง 1 ปี กว่าการสอบสวนคดีจะเริ่มขึ้น แคทธารีนได้รับความช่วยเหลือจากทนายฝีมือดี เบน เอมเมอร์สัน (Ben Emmerson) ในที่สุดคดีของเธอก็ได้รับการยกฟ้อง สร้างความเคลือบแคลงใจต่อความเชื่อมั่นในรัฐบาลจากประชาชน และเมื่อสงครามสงบ ความจริงก็ปรากฏ แผนการค้นหาอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงคว้าน้ำเหลว เพราะอาวุธที่ว่าไม่มีจริง แต่ผลของสงครามเกิดขึ้นจริง ความสูญเสียเกิดขึ้นจริง ทำให้สองประเทศต้องขายหน้าไปทั่วโลก เรื่องราวของแคทธารีนกลายมาเป็นหนังสือ The Spy Who Tried to Stop a War: Katharine Gun and the Secret Plot to Sanction the Iraq Invasion ก่อนจะดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ Official Secrets (2019) โดยผู้กำกับ กาวิน ฮูด (Gavin Hood) เจ้าของผลงาน Ender's Game (2013) และ Eye in the Sky (2015) [caption id="attachment_12911" align="alignnone" width="1100"] แคทธารีน กัน ผู้แฉความลับชนวนสงครามอิรักว่าเป็นคำโกหกของรัฐบาล เคียรา ไนท์ลีย์ ผู้รับบท แคทธารีน กัน ใน Official Secrets (2019)[/caption]   ทีมงานค้นคว้าข้อมูลด้านต่าง ๆ ในเวลาหนึ่งปีเต็ม ผู้กำกับเองก็เดินทางไปสัมภาษณ์ มาร์ติน ไบรท์ และเพื่อนนักข่าวในสำนักพิมพ์ The Observer เพื่อจำลองเหตุการณ์ออกมาให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงให้มากที่สุด และแต่งเติมเรื่องราวให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เพื่อความสมบูรณ์ของบทภาพยนตร์ คุณก็จะต้องปรับเปลี่ยนใส่สิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจลงไป บีบอัดและเลือกช่วงเวลาที่ควรให้ความสำคัญ แต่สิ่งเหล่านั้นก็ต้องยืนอยู่บนฐานความถูกต้อง” แน่นอนว่าระยะเวลาผ่านไปนานหลายปีแล้ว แต่สงครามอิรักได้ทิ้งบาดแผลมากมายให้กับโลก สำหรับแคทธารีน ความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นเธอผ่านมันมาได้ และกล่าวถึงประเด็นนี้ว่า  “สงครามอิรักทิ้งรอยแผลให้กับเรามากมาย ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย ผลกระทบจากการเปิดสงครามในครั้งนั้นได้ส่งผลกระทบไปทั่วโลก รวมถึงสหรัฐฯ และอังกฤษ แต่ไม่เคยมีใครที่ออกมารับผิดชอบผลของการกระทำในสงครามครั้งนั้น สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงแต่ประเทศอิรักที่ยังคงต้องแบกรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ “ผู้คนหลายล้านชีวิตต้องเผชิญหน้ากับผลกระทบของสงคราม แม้กระทั่งปัจจุบันพวกเขาก็ยังคงต้องเผชิญกับผลลัพธ์จากสถานการณ์นั้นอยู่ ผู้คนทั่วไปต่างรู้สึกหวาดกลัว ทหารที่ผ่านศึกสงครามต่างมีอาการหวาดกลัว” เธอบอก และเพิ่มเติมว่า  “ใจของฉันแทบสลายเมื่อฉันได้เห็นภาพของคนที่ได้รับผลกระทบของสงครามในครั้งนั้น พวกเขาทำไปเพื่ออะไร พวกเขารุกรานอิรักกันไปทำไม ฉันคิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้คนหันกลับมาเผชิญหน้ากับคำถามนี้อีกครั้ง”  การกระทำของเธอแม้จะทำให้ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับคดีร้ายแรง แต่นั่นก็แลกมาด้วยการเปิดโปงความจริงของรัฐบาลที่หลอกลวงคนทั้งโลก ทั้งหมดก็เพื่อการสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม และฉีกหน้ากากคนลวงโลกออกจากรัฐบาลตัวเอง   ที่มา https://www.esquire.com/entertainment/a28868776/katharine-gun-official-secrets-true-story/ https://www.vanityfair.com/hollywood/2019/08/keira-knightley-official-secrets-katharine-gun-interview/amp https://themomentum.co/iraqi-war-colin-powell/